หลังออกจากจวนโหวมาแล้วซ่งเหวินจิ้งก็เร่งรุดไปที่บ้านหลังหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นแม้ว่าจะตั้งอยู่ในกำแพงของเมืองหลวงแต่กลับเปลี่ยวร้างและห่างไกล บ้านที่เขาเดินเข้าไปสภาพภายนอกบ้านทั้งเก่าและทรุดโทรมแต่เมื่อเดินเข้าไปด้านในกลับแตกต่างจากสภาพด้านนอกเป็นอย่างมาก สภาพเรือนด้านในทั้งสะอาดสะอ้านเครื่องเรือนที่ใช้ประดับตกแต่งล้วนเป็นของใหม่ แม้ว่าจะดูเรียบง่ายและเน้นการใช้งานอย่างแท้จริงแต่เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าล้วนเป็นของดีที่หาซื้อได้ยาก
“เป็นอย่างไรบ้าง! เจ้าสะสางเรื่องส่วนตัวเรียบร้อยแล้วหรือ” คำถามขององค์ชายรองที่ประทับอยู่ด้านในทำให้ซ่งเหวินจิ้งทอดถอนใจออกมาด้วยความหนักใจ
“ยังไม่นับว่าเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ แค่กระหม่อมยืดเวลาที่จะแตกหักออกไปเพียงเท่านั้น คนเช่นนางถ้าได้ลองตัดสินใจแล้วต่อให้เป็นท่านแม่ทัพโม่ผู้เป็นพ่อตาของกระหม่อมลุกขึ้นมาจากหลุมด้วยตนเองก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจของนางได้” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้องค์ชายรองทรงส่ายพระพักตร์
“ข้าไม่รู้ว่าสมควรจะเห็นใจเจ้าหรือว่าควรจะสมน้ำหน้าเจ้าดี เอาเป็นว่าข้าพูดได้คำเดียวว่า…ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า
“เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของกระหม่อมเอง เรื่องส่วนตัวของกระหม่อมเอาไว้ทีหลังเถิด พวกเรามาเอ่ยถึงเรื่องใหญ่ในยามนี้กันก่อนดีกว่า” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้องค์ชายรองจึงได้ทรงตรัสถามถึงเรื่องที่คนของซ่งเหวินจิ้งพึ่งจะมาแจ้งข่าวด้วยสีพระพักตร์ที่จริงจังขึ้น
“ที่คนของเจ้ารายงานว่าสกุลสุ่ยของพระมารดาของข้าเกี่ยวข้องกับฉินอ๋องนั้นมันหมายความว่าอย่างไร” คำถามขององค์ชายรองทำให้ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังมากขึ้นเช่นกัน
“เรื่องนี้องค์ชายคงต้องไปสอบถามกับองค์ฮองเฮาด้วยพระองค์เองแล้วว่าทรงรู้เห็นเรื่องที่ท่านเจ้ากรมพิธีการสุ่ยกำลังทำอยู่หรือไม่ ยามนี้ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง ทั้งองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองต่างก็ถือว่าเป็นองค์ชายที่มีความเหมาะสมมากที่สุด แต่หากท่านเจ้ากรมพิธีการมีความสนิทชิดเชื้อกับฉินอ๋องมากเป็นพิเศษเช่นนี้กระหม่อมมั่นใจเลยว่า ยามที่ฝ่าบาทตรงตัดสินพระทัยเลือกองค์รัชทายาทจะต้องไม่มีชื่อขององค์ชายรองเป็นแน่” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้องค์ชายรองทรงแย้มพระสรวลออกมา
“ไม่แน่ว่าการที่เสด็จพ่อทรงมอบหมายภารกิจนี้ให้เจ้าและข้าลงมือสืบร่วมกันคงเป็นเพราะเสด็จพ่ออาจจะทรงทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้วก็เป็นได้” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งจึงได้พยักหน้า
“เช่นนั้นกระหม่อมก็มีความจำเป็นที่จะต้องกราบทูลรายงานตามความเป็นจริง”
“ควรจะต้องทำเช่นนั้น ไม่ใช่แค่เพื่อความปลอดภัยของเจ้าและครอบครัว แต่ความอยู่รอดของข้าก็ขึ้นอยู่กับความเถรตรงของเจ้าแล้ว หากเจ้าถวายรายงานด้วยความเอนเอียงมาทางข้า ไม่แน่ว่าพวกเราทั้งคู่อาจจะถูกเสด็จพ่อกำจัดในเร็ววัน” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า
“หลังจากที่กระหม่อมถวายรายงานไป องค์ชายรองก็จะมีจุดด่างพร้อยในสายพระเนตรของฝ่าบาท ถึงยามนั้นก็จะมีแค่เพียงองค์ชายใหญ่แล้วที่บริสุทธิ์ไร้มลทิน คราวนี้ความหวาดระแวงของฝ่าบาทก็จะพุ่งเป้าไปที่องค์ชายใหญ่เพียงพระองค์เดียว” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้องค์ชายรองหัวเราะออกมาเบาๆ
“เจ้าก็ไม่ได้โง่นี่นา เหตุใดเรื่องในเรือนหลังของเจ้าจึงได้ยุ่งเหยิงถึงเพียงนี้ได้” เมื่อองค์ชายรองตรัสเช่นนี้ใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งก็พลันมืดครึ้มไปในทันทีองค์ชายรองจึงได้ตรัสต่อด้วยพระสุรเสียงหยอกล้อ
“อันที่จริงแล้วเจ้าปรึกษาข้าได้นะ ข้าเติบโตท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีของบรรดาพระสนมของเสด็จพ่อย่อมจะรู้ใจของสตรีมากเป็นพิเศษ” เมื่อองค์ชายรองตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งจึงได้เอ่ยถามออกมาตามตรง
“เช่นนั้นกระหม่อมจะขอถามองค์ชายสักข้อสองข้อ กระหม่อมเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าหากเป็นองค์ชายจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ข้อแรก หากสตรีเกลียดชังพระองค์แล้วพระองค์จะทำเช่นไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“หากนางบอกว่าเกลียดแสดงว่านางรัก ข้าก็จะไม่ทำอะไรมากแค่เอาอกเอาใจนางให้มากขึ้น คนเราเมื่อมีใจให้กันไม่ว่าจะความผิดพลาดใดๆ นางล้วนให้อภัย” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ขมวดคิ้วและคิดเข้าข้างตนเองว่านางยังไม่ได้เอ่ยคำว่าเกลียดชังเขาออกมา
“หากนางบอกว่าอยากจะขอหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยาเล่าพ่ะย่ะค่ะ” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้องค์ชายรองรีบตอบกลับในทันที
“แน่นอนว่าความหมายย่อมตรงกันข้าม นางไม่ได้อยากจะหย่าขาดกับเจ้า” ถ้อยคำประโยคนี้ทำให้ซ่งเหวินจิ้งพลันหรี่ตาลงในทันที
“กระหม่อมรู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ว่าเพราะเหตุใดท่านหญิงเจียหลีจึงไม่ยอมตอบตกลงและยินยอมรับการหมั้นหมายจากพระองค์สักที” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้องค์ชายรองก็พลันนิ่วพระพักตร์
“อย่าได้เอ่ยถึงนาง ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็ล้วนไม่ถูกใจนางทั้งนั้น ข้าคิดว่าพยายามไปก็เท่านั้น ยามนี้นางคงจะกำลังจับจ้องตำแหน่งพระชายาของพี่ใหญ่ของข้ามากกว่า” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า
“นี่คือข้อพิสูจน์แล้วว่ากระหม่อมไม่อาจจะเชื่อองค์ชายได้” เมื่อเอ่ยจบเขาก็เดินออกจากเรือนร้างที่สภาพภายนอกทั้งเก่าและทรุดโทรมโดยไม่สนใจองค์ชายรองที่ยังประทับอยู่ด้านใน
“ซ่งเหวินจิ้งวันหน้าเจ้าอย่าได้มาขอปรึกษาข้าเชียว” เสียงขององค์ชายรองที่ดังไล่หลังมาทำให้ซ่งเหวินจิ้งได้แต่ส่ายหน้า เมื่อเดินพ้นบริเวณเรือนเปลี่ยวร้างหลังนั้นแล้วเขาจึงได้เดินทางไปหาคนของเขาที่ยังคงรออยู่บริเวณด้านนอกของจวนโหว
“จ้าวหรง เจ้าไปสืบให้ข้าทีว่าเพราะเหตุใดจดหมายที่ฮูหยินเคยส่งไปให้ข้าจึงได้ไปไม่ถึงมือข้า ส่วนเจ้าจ้าวรุ่ยไปคอยอารักขาลูกชายและลูกสาวของข้าให้ดีอย่าให้พวกเขาได้รับอันตราย” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้คนของเขาจึงได้รับคำแล้วจึงได้แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองตามที่ได้รับมอบหมาย ส่วนซ่งเหวินจิ้งนั้นยามนี้เขายังคงมีภารกิจให้ต้องสะสางอยู่ เขาจึงเร่งฝีเท้าไปที่กองบัญชาการลับที่คนของเขาอีกกลุ่มหนึ่งกำลังรอรับคำสั่งอยู่
ส่วนทางด้านโม่ชิงเยว่นั้นหลังจากที่เจรจาเรื่องการหย่ากับซ่งเหวินจิ้งไม่เป็นผล นางก็หาได้ยอมถอดใจไม่ เพียงแต่ในยามนี้สิ่งที่นางคำนึงถึงมากที่สุดก็คือลูกดังนั้นนางจึงยังคงวางแผนเรื่องการจัดการในจวนให้เรียบร้อย ยามนี้นางมีอำนาจปกครองจวนโหวแล้วอีกทั้งศัตรูที่เคยทำร้ายนางอย่างฮูหยินผู้เฒ่าก็ล้มป่วยจนน่าจะลุกขึ้นมาวางแผนทำร้ายนางกับลูกไม่ได้ชั่วคราว ส่วนสุ่ยอี้โหรวนั้นในยามนี้ยังคงถูกกักขังอยู่ที่หอบรรพชนทั้งกินไม่อิ่มทั้งนอนไม่อุ่น ซึ่งแน่นอนว่านี่ล้วนเป็นการจัดการของโม่ชิงเยว่ ในเมื่อสุ่ยอี้โหรวเคยสร้างความลำบากให้นาง ยามนี้นางจึงตั้งใจว่าความลำบากที่นางเคยได้รับถึงเวลาแล้วที่นางจะส่งคืนให้สุ่ยอี้โหรว
ยามที่ชุ่ยเหมยได้พบกับหรงมามาเดิมทีนางก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดด้วยรู้ดีว่าโม่ชิงเยว่ต้องการคนที่สามารถไว้ใจได้มาคอยช่วยดูแลอยู่ข้างกาย แต่เมื่อได้รู้ว่าหรงมามาได้รับการแนะนำมาจากผู้ใดทำให้นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้จนต้องสอบถามโม่ชิงเยว่ออกมาตามตรง“ในเมื่อนางเป็นคนที่ท่านโหวพามา แล้วฮูหยินก็ยังยินดีที่จะให้นางมาอยู่ข้างกายอีกหรือเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า“เขาจะมาไม้ไหนข้าเองก็อยากจะรู้ อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปที่สกุลสุ่ยแล้ว ข้ากำลังขาดคนข้างกายที่จะคอยแนะนำเรื่องการคบค้าสมาคมกับบรรดาสตรีที่อยู่ในเรือนหลังของบรรดาขุนนางชั้นสูงพอดี เจ้าก็รู้ว่าเมื่อก่อนเพราะท่านแม่ชาติกำเนิดไม่สูง อีกทั้งท่านพ่อก็ไม่ได้ถือกำเนิดในแวดวงเดียวกันกับชนชั้นสูงเหล่านั้น ข้าจึงแทบจะไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของบรรดาสตรีที่เป็นชนชั้นสูงของแคว้นเหลียนดังเช่นบุตรสาวของแม่ทัพคนอื่นๆ เลย” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาพลางจ้องมองด้านนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มแล้วจึงได้เอ่ยต่อ“คนสกุลสุ่ยมีแผนการเช่นไรกับข้า ตัวข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน คิดจะเหยียบย่ำข้าเพื่อแก้แค้นให้สุ่ยอี้โหรวหรือว่าคิดจะใช้ข้าเป็นข
เมื่อส่งสุ่ยฮูหยินแล้วโม่ชิงเยว่ก็เดินกลับเรือนหลัก แต่เมื่อเห็นเงาของคนผู้หนึ่งอยู่แถวเรือนของนาง นางก็หันไปโบกมือไล่สาวใช้ที่ติดตามนางมาให้จากไปแล้วจึงได้เดินเข้าไปหาเขา“ท่านกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าท่านกลับมาแล้วเช่นนั้นหรือ เหตุใดจึงได้มาวนเวียนอยู่ที่นี่ดุจภูตผีที่มาขอส่วนบุญเล่า” คำถามของโม่ชิงเยว่ทำให้คนของซ่งเหวินจิ้งลอบสบตากันแล้วก็พากันล่าถอยออกไป“ข้าก็แค่เป็นห่วงเจ้า กลัวว่าเจ้าจะไม่ทันเล่ห์ของคนสกุลสุ่ย ช่วงนี้สกุลสุ่ยมีความประพฤติที่ไม่ดีเท่าใดนัก คบหากับคนที่ไม่ควรจะคบหาทำให้ฝ่าบาทกำลังจับตามองพวกเขาอยู่ หากเป็นไปได้เจ้าอย่าได้ข้องแวะกับพวกเขา” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่ขมวดคิ้ว“คนไม่ดีที่ท่านเอ่ยถึงใช่ท่านหรือไม่” คำถามของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดนางจึงได้เอ่ยต่อเพื่ออธิบายความข้องใจของตนเอง“องค์ชายรองประสูติจากองค์ฮองเฮาที่มาจากสกุลสุ่ย ท่านเป็นคนขององค์ชายรองมิใช่หรือนั่นไม่เท่ากับว่าท่านก็ข้องเกี่ยวกับคนสกุลสุ่ยมิใช่หรือ ยังไม่นับคนรักของท่านที่ยามนี้ถูกคุมขังอยู่ที่ศาลบรรพชนนั่นอีก” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้
หลังจากทำการคารวะและเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสที่จวนสกุลเจียงเรียบร้อยแล้วโม่ชิงเยว่ก็พาลูกๆ ของนางกลับจวน แม้ว่าเด็กทั้งสองจะรบเร้าขอให้นางพาพวกเขาไปนั่งรถม้าเล่นรอบเมืองแต่เพราะวันนี้นางทิ้งจวนออกมาข้างนอกนานแล้วจึงกังวลว่าภายในจวนจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น จึงได้แต่สัญญากับลูกๆ ว่าวันหน้านางจะหาโอกาสพาพวกเขาออกไปเที่ยวเล่นซึ่งพวกเขาก็ยินยอมรับคำสัญญาด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเมื่อกลับไปถึงจวนนิ่งอันโหวแล้วโม่ชิงเยว่ก็สั่งให้ชุ่ยเหมยพาซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่กลับเรือนพักไปก่อน ส่วนนางก็ไปสะสางบัญชีกับผู้คุมบัญชีที่ห้องหนังสือก่อน หลังจากที่สะสางบัญชีเสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็ตั้งใจว่าจะกลับเรือนไปกินอาหารร่วมกับลูกๆ แต่ยังไม่ทันออกจากห้องบัญชีกลับมีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานนางด้วยน้ำเสียงระมัดระวังเข้าเสียก่อน“ฮูหยินเจ้าคะ สุ่ยฮูหยินมาขอเข้าพบฮูหยินเจ้าค่ะ” คำพูดประโยคนี้ของสาวใช้ทำให้โม่ชิงเยว่พลันเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ“เจ้าหมายถึงสุ่ยฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของท่านเจ้ากรมพิธีการสุ่ยน่ะหรือ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยถามเช่นนี้สาวใช้ผู้นั้นก็พยักหน้า“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ยามนี
แม้ว่าจะรู้สึกเห็นใจมารดาของตนแต่เมื่อคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงเองก็เป็นมารดาเช่นเดียวกันย่อมจะรักและเป็นห่วงลูกมากเป็นธรรมดา เพียงแต่การแสดงออกอาจจะรุนแรงเกินไปหน่อยทำให้พลาดพลั้งเอ่ยคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจออกมา ส่วนมารดาของนางก็เป็นคนอ่อนแอที่ไม่กล้าทำตามที่ใจของตนคิด สิ่งที่ท้าทายที่สุดในชีวิตก็คือการเลือกแต่งกับคนที่ครอบครัวไม่เห็นด้วย พอถูกมารดาเอ่ยวาจาตัดขาดก็เศร้าเสียใจจนทำสิ่งใดไม่ถูก พอคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว ก่อนที่เจียงหวั่นหว่านผู้เป็นมารดาจะตายความปรารถนาสุดท้ายก็คืออยากจะขอขมาฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียง นางในฐานะบุตรสาวจึงได้ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของมารดาด้วยตนเอง“เดิมทีตอนที่ท่านพ่อได้เป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว ท่านแม่ก็เคยคิดว่าจะมาขอขมาท่านยายด้วยตนเอง แต่เพราะเกิดล้มป่วยขึ้นมาเสียก่อนจึงไม่ได้มีโอกาสมาขอขมาท่าน ยามนี้ข้าจึงขอเป็นตัวแทนท่านแม่มาขอขมาท่านยายแทนท่านแม่นะเจ้าคะ” เมื่อเอ่ยจบโม่ชิงเยว่ก็เดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงแล้วโขกศีรษะเพื่อขอขมานางอย่างเต็มพิธีการ“ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้หลานโง่เขลา ไม่รู้จักมาขอขมาตามความตั้งใจของท่านแม่ ทำให้ท่านยายยังคงขุ่นเคือ
เมื่อจวนนิ่งอันโหวอยู่ในความสงบเรียบร้อยดีแล้วโม่ชิงเยว่จึงได้จัดเตรียมของขวัญและของกำนัลหลายคันรถเพื่อนำไปเป็นของกำนัลให้แก่คนสกุลเจียง ในฐานะที่นางเป็นฮูหยินแต่กลับถูกคนในจวนโหวกดขี่มานานถึงสามปีข้าวของเหล่านี้นางจึงถือว่าเป็นของชดเชยที่นางควรจะได้รับ ในเมื่อเป็นของที่นางควรจะได้รับนางก็มีสิทธิ์ที่จะนำไปมอบให้แก่ผู้ใดก็ได้ ดังนั้นวันต่อมานางจึงได้พาลูกทั้งสองไปคารวะเยี่ยมเยียนเหล่าผู้อาวุโสในจวนสกุลเจียงด้วยตนเองพร้อมด้วยของกำนัลอีกหลายคันรถยามที่นางลงจากรถม้าซุนต้าเหนียงผู้เป็นฮูหยินใหญ่ของสกุลเจียงเป็นผู้มารอรับนางด้วยตนเอง แม้ว่าโม่ชิงเยว่จะไม่เคยพบหน้าแต่เมื่อได้เห็นสัญญาณที่ชุ่ยเหมยส่งมาให้นางก็รีบพาลูกๆ ไปคารวะซุนต้าเหนียงในทันที“โม่ชิงเยว่คารวะท่านป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ” ซุนต้าเหนียงรีบเบี่ยงกายหลบการคารวะของนางแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความยกย่องอย่างเต็มที่“ข้าเป็นแค่เพียงสตรีจากสกุลพ่อค้าจะรับการคารวะจากนิ่งอันโหวฮูหยินได้อย่างไร แค่ท่านยินดีมาเป็นแขกที่จวนสกุลเจียงของข้าก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติข้าและสกุลเจียงแล้ว” เมื่อซุนต้าเหนียงเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า“ท่า
หลังออกจากจวนโหวมาแล้วซ่งเหวินจิ้งก็เร่งรุดไปที่บ้านหลังหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นแม้ว่าจะตั้งอยู่ในกำแพงของเมืองหลวงแต่กลับเปลี่ยวร้างและห่างไกล บ้านที่เขาเดินเข้าไปสภาพภายนอกบ้านทั้งเก่าและทรุดโทรมแต่เมื่อเดินเข้าไปด้านในกลับแตกต่างจากสภาพด้านนอกเป็นอย่างมาก สภาพเรือนด้านในทั้งสะอาดสะอ้านเครื่องเรือนที่ใช้ประดับตกแต่งล้วนเป็นของใหม่ แม้ว่าจะดูเรียบง่ายและเน้นการใช้งานอย่างแท้จริงแต่เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าล้วนเป็นของดีที่หาซื้อได้ยาก“เป็นอย่างไรบ้าง! เจ้าสะสางเรื่องส่วนตัวเรียบร้อยแล้วหรือ” คำถามขององค์ชายรองที่ประทับอยู่ด้านในทำให้ซ่งเหวินจิ้งทอดถอนใจออกมาด้วยความหนักใจ“ยังไม่นับว่าเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ แค่กระหม่อมยืดเวลาที่จะแตกหักออกไปเพียงเท่านั้น คนเช่นนางถ้าได้ลองตัดสินใจแล้วต่อให้เป็นท่านแม่ทัพโม่ผู้เป็นพ่อตาของกระหม่อมลุกขึ้นมาจากหลุมด้วยตนเองก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจของนางได้” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้องค์ชายรองทรงส่ายพระพักตร์“ข้าไม่รู้ว่าสมควรจะเห็นใจเจ้าหรือว่าควรจะสมน้ำหน้าเจ้าดี เอาเป็นว่าข้าพูดได้คำเดียวว่า…ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่ง
เรื่องราวความวุ่นวายของเรือนหลังในจวนนิ่งอันโหวถูกเอ่ยถึงอย่างแพร่หลาย โม่ชิงเยว่ไม่คิดจะปกปิดข่าวลือใดๆ แถมยังให้ชุ่ยเหมยนำเงินบางส่วนไปมอบให้แก่ชาวบ้านที่พูดถึงเรื่องนี้อย่างลับๆ และกำชับไปว่าเรื่องที่พวกเขากำลังเอ่ยถึงเหล่านี้ฮูหยินของจวนนิ่งอันโหวเช่นนางล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ เรื่องราวที่นางถูกส่งไปอยู่เรือนเหมันต์และถูกรังแกสารพัดถูกเอ่ยถึงอย่างแพร่หลายอีกทั้งยังแพร่กระจายออกไปในหมู่ชาวบ้าน แน่นอนว่าความยากลำบากที่ชาวบ้านเหล่านั้นเอ่ยถึงล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ซึ่งนางเชื่อว่าข่าวลือเหล่านี้ย่อมจะทำให้คนผู้หนึ่งนั่งไม่ติดแน่และจะต้องมาหานางในเร็ววันนี้เป็นแน่หลังจากที่นางย้ายออกจากเรือนเหมันต์เข้ามาอยู่ในเรือนหลักก็มีเรื่องราวมากมายให้ต้องจัดการ ทั้งการกำจัดข้ารับใช้ที่ไว้ใจไม่ได้ทั้งพยายามรวบรวมอำนาจการดูแลจวนทั้งหมดมาไว้ในมือ แน่นอนว่าเรื่องการดูแลจวนไม่ใช่เรื่องที่นางถนัด ดังนั้นนางจึงต้องส่งชุ่ยเหมยไปขอยืมคนที่สามารถไว้ใจได้มาจากสกุลเจียงให้คอยช่วยเหลือนาง แต่ถึงกระนั้นนางก็พยายามที่จะศึกษาและเรียนรู้พลางคิดถึงความฝันที่ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำทำโม่ชิงเยว่ไม่คิดจะถอดใจ นางเอ
โม่ชิงเยว่จ้องมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยโกรธแค้นและชิงชังบนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความพึงพอใจ ยามนี้สิ่งที่นางต้องการก็คือทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีโทสะมากที่สุดยิ่งมีโทสะมากเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลดีต่อนางมากเท่านั้น“เหตุใดข้าจึงจะไม่กล้าเล่าเจ้าคะ ข้าทนเสแสร้งมาถึงสามปี ประสบกับความยากลำบากมาตั้งเท่าไหร่ท่านย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าเคยป่วยจนเกือบตายมาแล้วเสียด้วยซ้ำก็เพราะอยากจะเอาชนะใจท่าน แต่ยามนี้ข้ารู้แล้วว่าตัวข้านั้นโง่เขลา หวังใช้ความดีเอาชนะใจสามี ใช้ความกตัญญูขอความเมตตาจากท่าน แต่พอใกล้ตายขึ้นมาข้าจึงพึ่งจะคิดได้ว่าข้าคิดผิด เหตุใดจะต้องเอาชนะใจเขาด้วยเล่าในเมื่อข้าเองก็ไม่ได้มีใจให้เขา เหตุใดจะต้องขอความเมตตาจากท่านในเมื่อต่อให้ข้าตายไปท่านก็ไม่มีวันที่จะมอบความเมตตาให้” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาตามที่ใจคิดแล้วจึงได้เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“ยามนี้โอกาสของข้ามาถึงแล้ว ในเมื่อท่านและบุตรสาวของท่านคิดจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย ข้าก็ควรจะตอบแทนท่านให้มากสักหน่อย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ร้อง เฮอะ! แล้วส่ายหน้า“เจ้าคิดว่าจะทำอะไรข้าได้ จำที่ท่านผู้บัญชาการเยี่ยเอ่ยเตือนเจ้าไม่ได้
ยามที่ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นขึ้นมาแล้วได้ยินว่าซ่งเหวินหนิงถูกจับตัวไปที่กรมอาญาแล้วนางก็เป็นลมหมดสติไปอีกครั้ง พอฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้งนางก็บอกกับเฉินมามาว่านางจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่กรมอาญา แล้วประกาศให้ผู้คนภายนอกรู้ว่าบุตรชายและสะใภ้ของนางนั้นเป็นคนอกตัญญู..“หากฮูหยินผู้เฒ่าทำเช่นนั้นไม่ใช่แค่เพียงท่านโหวจะได้รับความยุ่งยาก แม้แต่ตัวท่านเองก็อาจจะถูกผู้คนภายนอกหัวเราะเยาะด้วยนะเจ้าค่ะ ยังไม่นับคนสกุลสุ่ยอีกหากพวกเขารู้ว่าเกิดข้อพิพาทระหว่างฮูหยินและท่านโหว พวกเขาจะต้องหาช่องว่างเพื่อโจมตีท่านกลับแน่เจ้าค่ะ” คำพูดของเฉินมามาทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง“แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรจะทำเช่นไรดี ถ้าโม่ชิงเยว่ยึดอำนาจการปกครองเรือนไปแล้วข้าจะอยู่อย่างไร ยังมีหนิงเอ๋อของข้าอีก ยามนี้ชีวิตของนางป่นปี้แล้วข้าควรจะทำเช่นไรดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าสับสน ดวงตาอันล่องลอยของนางทำให้เฉินมามาได้แต่ทอดถอนใจออกมา นางอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ามาตั้งแต่สาวจนแก่ชรา นี่นับเป็นครั้งแรกที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีท่าทางอับจนหนทางเช่นนี้“เรื่องนี้ข้าเองก็จนปัญญาเจ้าค่ะ” เฉินมามาเอ่ย