Share

บทที่ 36 เล่นงานสุ่ยอี้หรง

Author: BigM00N
last update Last Updated: 2025-05-23 21:45:31

หลังจากเกิดเรื่องที่งานเลี้ยงน้ำชาในจวนสกุลสุ่ย สุ่ยเม่าเจ้ากรมพิธีการของแคว้นเหลียนก็ถูกตามตัวกลับมาที่จวนอย่างเร่งด่วน เมื่อเขาเข้าไปในโถงหลักของสกุลก็เห็นว่าในยามนี้ฮูหยินและบุตรสาวทั้งสองของเขากำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้านายท่านผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาของเขาอยู่ เขาจึงรีบเข้าไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าบิดาของเขาเพื่อแสดงออกถึงความสำนึกผิดในทันที

“ท่านพ่อเรื่องในวันนี้พวกนางล้วนทำเต็มที่แล้ว แต่เพราะเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นทำให้แผนการที่วางเอาไว้เสียหาย” คำแก้ตัวของสุ่ยเม่าทำให้นายท่านผู้เฒ่าสกุลสุ่ยตวาดออกมาในทันที

“เหตุสุดวิสัยหรือเจ้าลองสอบถามบุตรสาวและภรรยาของเจ้าให้ดีว่าแท้จริงแล้วเป็นเหตุสุดวิสัยหรือเป็นเพราะความโง่เขลาของพวกนาง หากบุตรสาวของเจ้าไม่โง่เขลาจนทำแผนการที่วางเอาไว้ของข้าแตกป่านนี้ข้าก็คงจะสามารถทำให้ชื่อเสียงขององค์ชายรองด่างพร้อยได้ดังที่ข้าเคยรับปากกับองค์ชายใหญ่เอาไว้แล้ว ถึงยามนั้นเรื่องการแต่งงานของลูกสาวคนเล็กของเจ้าก็คงจะสามารถคว้าตำแหน่งพระชายาเอกขององค์ชายใหญ่เอาไว้ได้ดังที่ข้าหมายมั่นปั้นมือเอาไว้” คำพูดของนายท่านผู้เฒ่าทำให้สุ่ยเม่าก้มหน้าลงเพื่อปิดบังสีหน้าของตนเอง

“ท่านพ่อขอแค่พวกเราสามารถผลักดันองค์ชายรองจนสามารถคว้าตำแหน่งองค์รัชทายาทได้พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้แล้ว” คำพูดของสุ่ยเม่าทำให้นายท่านผู้เฒ่าเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย

“เช่นนั้นเหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่พยายามให้มากกว่านี้กันเล่า ทั้งเจ้าและน้องสาวของเจ้าได้ทำสิ่งใดเพื่อผลักดันองค์ชายรองกันบ้าง อย่าว่าแต่เลี้ยงดูให้ดีให้มีความสามารถเทียบเท่าองค์ชายใหญ่ได้เลย แค่ทำให้องค์ชายรองทรงอยู่กับร่องกับรอยอย่างที่องค์ชายพระองค์อื่นทรงเป็นกันก็ยังทำไม่ได้เลย มีตำแหน่งฮองเฮาอยู่ในมือแล้วอย่างไรหากวันหน้าองค์ชายใหญ่ได้ขึ้นครองราชย์ก็จะต้องหาทางยกย่องพระมารดาผู้ให้กำเนิดอย่างหยางเต๋อเฟยอยู่ดี ถึงยามนั้นอย่าว่าแต่ฮองเฮาที่ไร้อำนาจอย่างน้องสาวของเจ้า แม้แต่จวนสกุลสุ่ยของพวกเราก็คงจะต้องถูกกำจัดในเร็ววันแน่” เมื่อนายท่านผู้เฒ่าสกุลสุ่ยเอ่ยเช่นนี้สุ่ยเม่าก็ทอดถอนใจออกมา

“เหตุใดลูกจึงจะไม่พยายามกันเล่าท่านพ่อ ที่ยามนี้ลูกไปประจบประแจงฉินอ๋องก็ไม่ใช่เพื่อองค์ชายรองหรอกหรือ กองกำลังของฉินอ๋องมีไม่น้อยไปกว่ากองกำลังรักษาเมืองของฝ่าบาท ยิ่งหากสามารถดึงนิ่งอันโหวมาเป็นพวกได้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงอนาคตของสกุลสุ่ยของพวกเราแล้ว” คำพูดของสุ่ยเม่าทำให้นายท่านผู้เฒ่าร้องเฮอะ! ออกมา

“ฉินอ๋องผู้นั้นเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถซื้อใจเขาได้แล้วหรือ แค่เพียงส่งลูกสาวที่ถือกำเนิดจากอนุของเจ้าไปเป็นพระชายารองของฉินอ๋องได้เจ้าก็ถือว่าตนเองสามารถดึงเขามาเป็นพวกได้แล้วหรือ บุตรสาวผู้นั้นของเจ้านอกจากชาติกำเนิดจะต้อยต่ำแล้วยังไม่ค่อยจะฉลาดเฉลียวสักเท่าไหร่ แค่นางสามารถยืนหยัดในจวนอ๋องได้นานขนาดนี้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว” คำพูดของนายท่านผู้เฒ่าทำให้สุ่ยเม่าเม้มปากแน่นเพื่อระงับความอยากจะโต้เถียงบิดาของตนเอง นายท่านผู้เฒ่าสกุลสุ่ยจึงได้เอ่ยต่อเพื่อตำหนิบุตรหลานของตนเอง

“ส่วนบุตรสาวภริยาเอกของเจ้าก็ช่างงามหน้านัก คนโตอุตส่าห์คว้าตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อจวนกั๋วกงเอาไว้ได้แต่กลับไม่อาจคว้าใจของสามี ส่วนคนรองก็โอ้อวดว่าจนเป็นที่โปรดปรานของสามีแต่กลับไม่อาจจะคว้าตำแหน่งฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกมาได้ ยังไม่นับน้องสาวสุดที่รักของเจ้าที่อุตส่าห์ความตำแหน่งฮองเฮามาอยู่ในมือได้แต่อำนาจการปกครองวังหลังกลับอยู่ในมือของเต๋อเฟยที่มาจากสกุลหยาง ข้าผู้นี้ทำเวรทำกรรมอันใดไว้กันแน่เหตุใดจึงได้มีแต่ลูกหลานที่ไม่ได้ความเช่นนี้” นายท่านผู้เฒ่าเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมา

“ไป! อี้หรง เจ้าจงกลับไปที่จวนกั๋วกงของเจ้าเสียยามนี้แม่สามีของเจ้าคงจะรู้เรื่องที่เกิดในงานเลี้ยงแล้ว จงรีบกลับไปอธิบายให้นางได้เข้าใจไม่เช่นนั้นอย่าว่าแต่คว้าใจของสามีเอาไว้ไม่ได้แต่ต่อไปเจ้าอาจจะไม่ใช่คนโปรดของแม่สามีของเจ้าอีกเป็นแน่” เมื่อนายท่านผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้สุ่ยอี้หรงก็โขกศีรษะที่พื้นอีกครั้งแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ขอท่านปู่ได้โปรดลดโทสะด้วย หลานจะรีบกลับไปอธิบายให้แม่สามีของหลานเข้าใจก่อนว่าเรื่องในวันนี้เป็นการเข้าใจผิดกัน เมื่อแม่สามีของหลานไม่คิดตำหนิหลานเรื่องนี้แล้วหลานจึงจะขออนุญาตจากนางเพื่อมาน้อมรับคำตำหนิของท่านปู่อีกครั้ง” เมื่อสุ่ยอี้หรงเอ่ยเช่นนี้นายท่านผู้เฒ่าก็สะบัดชายแขนเสื้อแล้วเอ่ยกับนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เจ้ารีบกลับไปเถอะ” เมื่อนายท่านผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนั้นสุ่ยอี้หรงก็ขยับตัวลุกขึ้นแล้วย่อกายคารวะอำลาผู้อาวุโสทุกคนภายในห้องอีกครั้งแล้วก็เดินออกจากห้องโถงหลักของจวนสกุลสุ่ยไป

ยามที่อยู่บนรถม้าแล้วสุ่ยอี้หรงจึงได้ระบายโทสะที่เก็บกักเอาไว้กับสาวใช้ของตนเอง สำหรับนางแล้วเรื่องในวันนี้นางคิดว่าไม่ใช่ความผิดของนาง แต่เป็นความผิดของโม่ชิงเยว่ รวมทั้งคนวางแผนการอย่างนายท่านผู้เฒ่า

“เหตุใดคนอย่างโม่ชิงเยว่จึงได้ดวงดีทุกครั้ง ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมทุกครั้งที่ข้ากับน้องรองวางแผนทำลายนาง นางจึงโชคดีสามารถรอดพ้นจากการวางแผนของพวกข้าได้แทบจะทุกครั้ง” สุ่ยอี้หรงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ สาวใช้ของนางจึงได้รีบรินน้ำชาแล้วส่งให้นาง

“บ่าวคิดว่าอาจจะไม่ใช่เพราะความโชคดีก็ได้นะเจ้าคะ” เมื่อสาวใช้เอ่ยเช่นนี้สุ่ยอี้หรงที่กำลังจิบน้ำชาเพื่อดับความกระหายก็ขมวดคิ้วแน่น

“เจ้าคิดว่านางอาจจะมีความสามารถที่พวกเราคาดไม่ถึงเช่นนั้นหรือ” คำถามของสุ่ยอี้หรงทำให้สาวใช้พยักหน้า สุ่ยอี้หรงจึงได้หัวเราะออกมา

“หากนางมีความสามารถจริงก็คงจะไม่ถูกน้องรองส่งไปอยู่อย่างอดอยากท้ายจวนโหวได้หรอก ข้าคิดว่าล้วนเป็นเพราะแผนการที่วางเอาไว้ไม่รัดกุมเสียมากกว่า” สุ่ยอี้หรงเอ่ยออกมาพลางคิดถึงถ้อยคำตำหนิของนายท่านผู้เฒ่าสกุลสุ่ย

“เอาแต่โทษลูกหลานหากตนเองมีความสามารถจริง แล้วเหตุใดจึงยังต้องพึ่งพาลูกหลานที่เป็นสตรีของสกุลเล่า หากไม่ใช่เพราะแผนการของท่านปู่ท่านอาจะกลายเป็นฮองเฮาที่ไร้อำนาจในวังหลังเช่นนี้หรือ หากไม่ใช่เพราะแผนการของท่านปู่น้องรองจะต้องแต่งไปเป็นอนุเช่นนี้หรือ ส่วนข้าหากไม่เพราะแผนการของท่านปู่สามีของข้าก็คงจะไม่คิดรังเกียจข้ามากมายถึงเพียงนี้” คำพูดของสุ่ยอี้หรงทำให้สาวใช้ของนางทอดถอนใจออกมา ด้วยตัวนางเองก็มีฐานะเป็นแค่เพียงสาวใช้ไม่มีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์เจ้านายได้อยู่แล้ว

“ว่าแต่เสี่ยวเหยาเหตุใดวันนี้บนรถม้าจึงได้ร้อนอบอ้าวเช่นนี้กันเล่า” เมื่อสุ่ยอี้หรงเอ่ยถามเช่นนี้สาวใช้ของนางก็พยักหน้า

“นั่นสิเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยพลางเปิดม่านออก เมื่อสายลมอันเย็นฉ่ำพัดเข้ามาทางหน้าต่างความร้อนรุ่มที่ระบุไม่ได้ของสุ่ยอี้หรงก็พลันผ่อนคลายลง แต่ยามที่สายตาของนางสบเข้ากับสายตาขององครักษ์ประจำกายที่คอยคุ้มกันความปลอดภัยให้นางอยู่ด้านนอกความร้อนรุ่มภายในกายของนางก็พลันก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

“เสี่ยวเหยา เจ้าไปเรียกเขาเข้ามา” เมื่อเจ้านายเอ่ยเช่นนี้เสี่ยวเหยาก็ไม่ได้คิดอันใดรีบสั่งให้คนขับรถม้าหยุดรถแล้วตนเองก็ออกไปเชิญองครักษ์ผู้นั้นให้ขึ้นไปบนรถม้าในทันที ส่วนตัวนางเพราะคิดว่าเจ้านายอาจจะกำลังวางแผนการเล่นงานผู้อื่นนางจึงไม่ได้ขึ้นไปบนรถม้าดังที่มักจะทำ

“ฮูหยิน...” เสียงปฏิเสธขององครักษ์พร้อมด้วยเสียงกุกกักแปลกๆ บนรถม้าทำให้เสี่ยวเหยาอดใจหายไม่ได้ นางรีบเดินไปที่หน้าต่างแล้วเอ่ยถามเจ้านายของตนเองในทันที

“ฮูหยินเจ้าคะ” นางส่งเสียงถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่เสียงหอบหายใจและขยับของคนที่อยู่ด้านในรถม้าทำให้เสี่ยวเหยาร้อนใจในทันที

“เจ้าอย่ามายุ่ง แล้วก็จงปิดปากให้สนิทด้วย” สุ่ยอี้หรงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจยามนี้องครักษ์ผู้นั้นถูกนางกดเอาไว้ใต้ร่างเรียบร้อยแล้ว นางจึงได้โน้มกายไปกระซิบที่ข้างหูของเขา

“หากเจ้ามอบความสุขให้ข้า เรื่องของเจ้ากับเสี่ยวเหยาข้าจะช่วยสนับสนุนเอง” คำพูดของสุ่ยอี้โหรวทำให้องครักษ์ผู้นั้นนิ่งงันไป กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่กรุ่นกำจายออกมาจากกลีบปากของนางทำให้ตัวเขาเองก็หมดความยับยั้งชั่งใจเช่นเดียวกัน เขาจึงได้พลิกร่างกายอันอ่อนนุ่มของนางลงไปอยู่ใต้ร่างแล้วลงมือทำเรื่องที่อยากทำโดยไม่สนใจสถานการณ์รอบข้างในทันที...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 66 ความเบิกบานของท่านโหว

    ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 65 ปรนนิบัติ

    หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 64 สงบศึก

    ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 63 ความทะเยอทะยานของเหยียนเซียว

    ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 62 ความสุขของท่านโหว

    ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 61 ความเป็นส่วนตัว

    เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status