“ฮูหยิน ท่านจะไปไหนหรือขอรับ”
“ข้าจะพาเฉียนเอ๋อร์ไปทำความรู้จักกับชาวบ้านคนอื่นๆ นะ อ่อ แล้วก็อยากจะไปดูอาการของเจ้าลูกหมาตัวนั้นสักหน่อย ว่าขาของมันดีขึ้นบ้างหรือไม่ แล้วนี่พวกเจ้า…กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ”
“กำลังประชุมเรื่องผลัดเวรยาม ในหมู่บ้านตอนกลางคืนกันอยู่ขอรับ”
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว แต่เจ้าช่วยบอกทางไปพบคนในหมู่บ้าน กับโรงหมอให้ข้าได้หรือไม่”
“เดี๋ยวข้าน้อยเดินไปส่งก็ได้ขอรับ เมื่อเช้าคนของท่านอ๋องขนผ้าใช้ทำเครื่องนุ่งห่ม มามอบให้ชาวบ้านพอดี ท่านแม่และท่านน้าคนอื่นๆ คงจะอยู่กันที่ศาลากลางหมู่บ้านขอรับ”
“เอาสิ”
แม้จะรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองมา แต่เวลานี้ความตื่นเต้นที่จะได้พบปะกับชาวบ้าน ก็ได้ดึงความสนใจของฉือฟางอิน ที่มีต่อฉือหย่งหลิงไปจนหมด เมื่อจินซีจ่าวพยักหน้าให้พร้อมกับก้าวขาเดินนำไป นางก็รีบก้าวตามชายหนุ่มไปทันที
“ท่านแม่ขอรับ”
“ว่าอย่างไรซีจ่าว โอ๊ะ! ฮูหยิน”
เมื่อหันมาตามเสียงเรียกของบุตรชาย แล้วพบว่าที่ด้านหลังของบุตรชาย มีฉือฟางอินยืนอยู่ จินซีหลันจึงได้ส่งเสียงเรียกนางออกมาหญิงชาวบ้านคนอื่นที่เห็นดังนั้น ต่างก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วรีบก้มหัวให้หญิงสาว ในฐานะฮูหยินของฉือหย่งหลิง บุคคลที่มีสำคัญต่อหมู่บ้านมากพอๆ กับหั้วชินอ๋องทันที
“พวกท่านเงยหน้าขึ้นเถิด อย่าได้มากพิธีกันไปเลย”
“เจ้าค่ะฮูหยิน แล้วท่านมาถึงที่นี่ มีธุระสำคัญอะไรอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรหรอก พอดีข้าอยู่ที่เรือนกับเฉียนเอ๋อร์ไม่มีอะไรทำ ข้าก็เลยพาเขามาทำความรู้จักกับพวกท่านน่ะ ไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนหรือไม่”
“ไม่เลยเจ้าค่ะ ไม่เลยเจ้าค่ะฮูหยิน เรื่องแค่นี้ท่านอย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ”
“ซีจ่าว เจ้ากลับไปประชุมกับพวกพ้องต่อเถิด ข้ากับเฉียนเอ๋อร์อยู่กันที่นี่ได้”
“ขอรับฮูหยิน ท่านแม่ แม่เฒ่าลี่และท่านน้าทั้งหลาย ข้าฝากพวกท่านดูแลฮูหยินกับคุณชายเฟิ่งเฉียนด้วยนะขอรับ”
“ไปเถิด พวกข้าจะดูแลฮูหยินกับคุณชายน้อยอย่างดี”
เมื่อจินซีจ่าวกลับออกไปแล้ว เหล่าหญิงชาวบ้านพากันเข้ามาทักทายเฉียนเอ๋อร์ ตามคำเชื้อเชิญของฉือฟางอิน เจ้าก้อนหมั่นโถวก็เหมือนจะรู้งานเป็นอย่างดี ถึงได้ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ส่งยิ้มให้พวกนางจนเห็นเหงือกแดงแจ๋ เรียกเสียงหัวเราะและความเอ็นดูจากหญิงชาวบ้านได้ทุกคน ทั้งเสียงหยอกล้อ และเสียงหัวเราะของเหล่าหญิงชาวบ้านที่มีต่อสองแม่ลูกนั้น ได้ตกอยู่ในสายตาของฉือหย่งหลิง ที่แอบเดินตามหลังฉือฟางอินทั้งหมด จนไม่รู้สึกตัวเลยว่าตอนนี้จินซีจ่าวได้เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกันแล้ว
“ข้ามิเห็นว่าฮูหยิน จะมีนิสัยอย่างที่ท่านกล่าวหานางเลยนะขอรับ”
“หือ เจ้าว่าอะไรนะ”
“ข้าน้อยบอกว่า ข้ามิเห็นว่าฮูหยินจะมีนิสัยร้ายกาจ อย่างที่ท่านแม่ทัพ และเสียงลือเสียงเล่าอ้าง จากพวกคนในตลาดเมืองอี้กล่าวหาเลยนะขอรับ”
“หึ นางก็คงแสดงละครตบตาอยู่น่ะสิ”
“งั้นหรือขอรับ เช่นนั้นก็แสดงว่าตอนที่ท่านแอบไปดูนางทุกคืนที่เรือน ท่านก็ได้เห็นฮูหยินตอนไม่ได้แสร้งเล่นละครตบตาพวกข้าน้อย อย่างนั้นสินะขอรับ”
ชายหนุ่มหันไปสบตาลูกน้องอย่างเอาเรื่องทันที หลังจากที่ได้รู้ว่าตนเองถูกจับได้ว่า ตลอดสามคืนที่ผ่านมา ตัวเขานั้นได้ไปแอบดูสองแม่ลูกที่เรือนทุกคืน
“เจ้านี่พูดมากเสียจริง”
เมื่อไม่รู้จะเถียงออกไปอย่างไร ในเมื่อสิ่งที่จินซีจ่าวกล่าวมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความจริง ที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ และตลอดสามคืนที่ผ่านมานั้น นอกจากได้เห็นฉือฟางอิน ทำนู่นทำนี่ภายอยู่ภายในเรือนพร้อมกับการเลี้ยงดูเฉียนเอ๋อร์เป็นอย่างดี เขาก็ไม่เห็นว่านาง จะทำนิสัยเหมือนก่อนหน้านี้เลย เมื่อไม่รู้ว่าจะตรอกกลับคำพูด ของลูกน้องคนสนิทอย่างไร ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงกล่าวเช่นนั้น แล้วเดินหนีไปทันที อีกด้านหนึ่งของหมู่บ้าน ฉือฟางอินกำลังนั่งมองเหล่าหญิงชาวบ้าน กำลังช่วยกันตัดเย็บผ้ากองใหญ่ เพื่อใช้เป็นเครื่องนอนและเครื่องนุ่งห่มอย่างใช้ความคิด
จากที่นั่งดูอยู่นาน จะสังเกตได้ว่าคุณภาพผ้าแต่ละชนิดนั้น ได้ถูกคัดแยกไปตามความเหมาะสม ในการใช้งานเป็นอย่างดี แต่สิ่งที่เรียกความสนใน ของฉือฟางอินในตอนนี้ ก็คือการนั่งมองหญิงชาวบ้าน อีกกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังนั่งเย็บเครื่องนุ่งห่มอย่างขะมักเขม้นอยู่ นางสังเกตได้ว่าสีของผ้าที่นำมาเย็บนั้น หากเป็นชุดของบุรุษจะมีเพียงผ้าสีสีดำและสีน้ำตาลเท่านั้น ที่พวกนางเลือกเอามาตัดเย็บส่วนของฝั่งสตรีจะเป็นสีขาวและสีฟ้าอ่อน ไม่มีสีเข้มหรือสีฉูดฉาดสีอื่นตามแบบที่หญิงสาวชาวเมืองชอบใส่กันเลยแม้แต่ผืนเดียว
“ท่านป้าซีหลัน ผ้าที่ท่านอ๋องให้คนส่งมา มีสีเพียงเท่านี้เองหรือ แล้วรอบก่อนหน้านี้ สีของผ้าเป็นสีเดียวกับครั้งนี้หรือไม่”
“สีเดียวกันหมดเจ้าค่ะ ฝั่งบุรุษเป็นสีเข้มสองสี ฝั่งสตรีเป็นสีอ่อนสองสีเจ้าค่ะ แต่ถึงจะมีสีน้อย แต่เนื้อผ้าก็เป็นผ้าคุณภาพดีมากเลยนะเจ้าคะ”
“แล้วทำไมถึงไม่มีอื่นเลยหรือ ข้าหมายถึงพวกท่านไม่นิยมชมชอบผ้าสีอื่นๆ กันหรือ ข้าสังเกตเอาจากชุดที่พวกท่านสวมใส่กันอยู่น่ะ หรือว่าท่านอ๋องออกกฎเอาไว้”
“มิใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ มิใช่ ท่านอ๋องก็มิเคยออกกฎบังคับพวกเราเจ้าค่ะ”
จินซีหลันกล่าวออกมาด้วยความสัตย์จริง ณ ที่แห่งนี้หั้วชินอ๋องให้อิสระกับคนที่นี่อย่างเต็มที่ จะมีเพียงแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้นที่หั้วชินอ๋องบอกให้พวกเขา อย่าพึ่งออกไปไหนไกลจากหมู่บ้าน เพราะเกรงว่าจะมีคนของฮองเฮา และรัชทายาทของแคว้นฟู่ จะแอบสะกดรอบตามพวกเขามา เมื่อถึงคราที่ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เข้าที่เข้าทางเป็นอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับที่หั้วชินอ๋องมั่นใจแล้วว่า ไม่มีคนของฮองเฮาและรัชทายาท สะกดรอยตามพวกเขามา
หั้วชินอ๋องก็อนุญาตให้พวกเขา สามารถออกไปใช้ชีวิตนอกหมู่บ้านได้อย่างที่ต้องการ แต่ยังไม่ลืมที่จะกำชับให้พวกเขาระวังตัวเอาไว่ด้วยเช่นกัน ณ ปัจจุบันนี้ที่หมู่บ้านหั้วห่าวแห่งนี้ จึงไม่ได้มีเพียงกลุ่มคนที่ลี้ภัยมากจากเมืองหลวงเท่านั้นอีกแล้ว เพราะพวกเขาบางคนได้ตบแต่งกับชายหญิงชาวบ้านที่นี่และแคว้นข้างเคียง ขยายครอบครัวในหมู่บ้านจากเดิมที่มีกันอยู่ไม่ถึงสิบครัวเรือน กลายเป็นเกือบยี่สิบครัวเรือน และยังมีลูกหลานที่ออกไปทำงานที่เมืองอื่นๆ ในพื้นที่แดนตะวันออกที่มีหั้วชินอ๋องดูแลอยู่ด้วย
“เช่นนั้น ก็เป็นเพราะพวกท่าน นิยมชมชอบสีผ้าสองสีนี้ด้วยกันทั้งหมดนี่เองหรือ”
“เรียกว่าความเคยชินเสียมากกว่าเจ้าค่ะ”
เนื่องตอนแรกที่พวกเขาลี้ภัยมาที่นี่ การที่ใช้ผ้าสีเหมือนกันในการตัดเย็บเครื่องนุ่งห่มนั้น สะดวกในการขนย้ายโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเหตุ ประกอบกับวิถีชีวิตตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ชาวบ้านทุกคนต้องปกปิดตัวตน และใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเป็นหลักมาตลอด ในรูปแบบการพึ่งพาอาศัยกัน แลกเปลี่ยนอาหารให้แก่กัน โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเงินตรา เหมือนอย่างคราที่ยังใช้ชีวิตเป็นคนเมือง เมื่อหลายปีผ่านพ้น จึงกลายเป็นความเคยชิน ชาวบ้านหลายคนต่างคิดว่าเงินตราและความหรูหรา
ไม่ได้จำเป็นกับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ฉือฟางอินกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไหร่ เพราะชาวบ้านที่นี่หลายคนต่างเกิดและโตมาในจวนขุนนาง หญิงสาวที่เคยได้แต่งตัวด้วยชุดที่มีสีสันสวยงาม พร้อมปักด้วยลวดลายงามตา ย่อมมีความรู้ความสามารถในการเย็บปักถักร้อยติดตัวมา หากจะให้ทิ้งความสามารถพวกนั้นไป ก็เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก สู้นำความรู้เหล่านั้นมาทำให้เกิดประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ
“แอ๊ อื้อ อาๆ”
ระหว่างที่ฉือฟางอินกำลังใช้ความคิด เจ้าก้อนหมั่นโถวยักษ์ที่นางอุ้มประคองอยู่บนตัก ก็ได้เอื้อมมือน้อยๆ ไปคว้าเอาบางอย่างมาได้ และยื่นมาตรงหน้าของนางเพื่อเรียกให้มารดาหันมาสนใจ
“ว่าอย่างไรเฉียนเอ๋อร์ เจ้าหยิบสิ่งใดมาให้แม่ดูหรือ ไหนมาให้แม่ดูหน่อยสิ อ้อ หลอดด้ายนั่นเอง…หลอดด้าย จริงสิ! ท่านป้า พวกท่านมีหลอดเช่นนี้อีกหรือไม่เจ้าคะ”
“หลอดด้ายหรือเจ้าคะ อ๋อ มีเยอะเลยเจ้าค่ะ นี่ไงเจ้าคะ” จินซีหลันกล่าวพร้อมกับเปิดหีบขนาดกลางที่วางอยู่ที่พื้นออก เผยให้ฉือฟางอินได้เห็นหลอดด้ายหลากสีเป็นจำนวนมากถูกเก็บเอาไว้ในนั้น
“ว่าแต่ฮูหยิน ท่านถามถึงหลอดได้ทำไมหรือเจ้าคะ หรือว่าท่านอยากจะได้ชุดของท่านกับคุณชายน้อยเพิ่มหรือเจ้าคะ เช่นนั้นเดี๋ยวข้าไปบอกซีจ่าว ให้เขาสั่งคนไปเสาะหาผ้าเนื้อดี มาให้ท่านดีกว่าเจ้าค่ะ เพราะสีสันและคุณภาพผ้าที่พวกนี้ คงไม่เหมาะจะเอาไปเย็บให้พวกท่านสวมใส่”
“ท่านป้าซีหลัน เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้นเล่า ผ้าพวกนี้ก็เป็นผ้าฝ้ายอย่างดีมิใช่หรือ”
“แต่สีสันของมัน…ไม่ดูดีสมกับฐานะของท่านเลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นพวกเราก็มาทำให้มันดูดีกันสิ ทั้งของข้าและของพวกท่าน”
“ฮูหยินหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“ข้าหมายความว่า พวกเรามาปักชุดที่จะสวมใส่ให้สวยงาม ด้วยด้ายหลากสีนี่กันเถิด”
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี