“เมื่อเสร็จจากตรงนี้ พวกท่านก็ร้อยด้ายมาซ่อนปมด้ายไว้ตรงนี้ ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว”
“ฮูหยิน วิธีนี้ของท่านช่างรวดเร็วและงดงามมากเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“ข้าบอกแล้วว่าวิธีลัดนี้จะทำให้ปักลายผ้าได้ง่ายและเร็วขึ้น”
วิธีปักด้ายลงบนผ้าที่ฉือฟางอิน กำลังสอนเหล่าหญิงชาวบ้านตรงหน้านางนั้น เป็นวิธีลัดที่นางคิดขึ้นมาเอง เพราะการที่ต้องจดจ่ออยู่กับสิ่งใดเป็นเวลานาน บางครั้งก็ทำให้นางรู้สึกขี้เกียจ และอยากที่จะออกไปเล่นซนกับสหายเร็วๆ นางจึงคิดวิธีดึงเอาวิธีการปักผ้าของท่านแม่กับท่านย่า ที่ถึงแม้จะมีวิชาการการปักผ้าศาสตร์เดียวกัน แต่ทั้งสองคนกลับมีวิธีการ ที่ตนเองใช้ปักผ้าต่างกัน
ฉือฟางอินจึงนำวิธีการของทั้งสอง มาผสมผสานเข้าด้วยกัน จนได้วิธีลัด ในการปักผ้าแต่ละลายใหเร็วขึ้น อย่างที่นางสอนให้แก่เหล่าหญิงชาวบ้านไปเมื่อครู่นี้
“ฮูหยิน ท่านช่างมีฝีมือยอดเยี่ยมมากจริงๆ เจ้าค่ะ”
“พวกท่านอย่าได้ยกยอข้านักเลย คนที่ต้องชื่นชมยกความดีความชอบให้ คือท่านย่ากับท่านแม่ของข้ามากกว่า หากไม่ได้พวกนางคอยเคี่ยวเข็ญข้าอย่างหนัก ข้าก็คงทำสิ่งนี้ออกมาได้ไม่ดี”
“โถ่ ฮูหยิน มิเกินไปหรอกเจ้าค่ะ ท่านน่ะเก่งมากเลยนะเจ้าคะ อย่าได้ถ่อมตัวไป หากข้ามีฝีมือเหมือนท่านล่ะก็ ข้าจะโอ้อวดให้ผู้อื่นได้รู้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ใช้เจ้าค่ะ คนมีความสามารถย่อมต้องถูกชื่นชมนะเจ้าคะ แล้วท่านเอง ก็เหมาะสมจะถูกชื่นชมเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านั้น ก็พาให้ฉือฟางรู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ เหมือนได้ย้อนเวลากลับไป ในตอนที่นางยังมีทั้งท่านย่าและท่านแม่อยู่ข้างกาย ทั้งสองแม้จะเคี่ยวเข็ญฉือฟางอินอย่างหนัก แต่ทว่าเมื่อใดที่นางสามารถทำสิ่งใดออกมาได้ดี และไม่เคยลืมที่จะชื่นชมนาง ทำให้รู้สึกมีคุณค่าอยู่เสมอ ในวันนี้ที่ได้รับคำชื่นชมจากหญิงชาวบ้าน ที่บางคนก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันท่านย่ากับท่านแม่ ก็ทำให้ฉือฟางอินมีกำลังใจในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นมาได้บ้าง
“ขอบคุณพวกท่านทุกคนมาก ที่ชื่นชมในความสามารถของข้า เช่นนั้นข้าเอง ก็จะขอรับคำชมของพวกท่านเอาไว้เช่นกัน มาเถิด ได้เวลาที่พวกท่านต้องลงมือปักผ้าให้ข้าดูบ้างแล้ว”
ฉือฟางอินทำการปลดผ้า ที่นางได้ปักไปเรียบร้อยแล้วเมื่อครู่ออกจากสะดึง แล้วเลื่อนตัวสะดึงไปทางหญิงชาวบ้าน ให้พวกนางได้ทดลองปักผ้า ตามอย่างที่ได้สอนไป โดยมีนางคอยบอกคอยสอนอยู่ใกล้ จนเวลาล่วงเลยผ่านไปถึงยามอู่ ทั้งหมดก็ได้ปักผ้าลายดอกบัวดอกใหญ่ ที่รายล้อมไปด้วยดอกบัวดอกเล็ก ทั้งตูมและบานบนผ้าได้สำเร็จไปอีกสามผืน
“อื้อ อื้อ…ฮรึก”
“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ แม่อยู่นี่เจ้าไม่ต้องร้อง”
“ฮูหยิน นี่ก็เข้ายามอู่แล้ว พวกเราพักกินข้าวกลางวันที่บ้านของข้ากันก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“เอาสิท่านป้า”
“เช่นนั้น เชิญฮูหยินทางนี้เลยเจ้าค่ะ”
ฉือฟางอินอุ้มเฉียนเอ๋อร์ เดินตามจินซีหลันไปเพียงครู่เดียว ก็มาถึงเรือนของนาง ที่เรือนผู้นำหมู่บ้านนี้ มีขนาดพอๆ กับเรือนของชาวบ้านครอบครัวอื่น แต่ทว่ามีเนื้อที่โดยรอบกว้างกว่า เพื่อเอาไว้เป็นพื้นที่ส่วนกลาง ไว้ให้ชาวบ้านได้มาใช้ประโยชน์ อย่างการแจกจ่ายของที่หั้วชินอ๋องให้คนนำมาให้ การแจกจ่ายเสบียงที่ช่วยกันหามาได้จากในป่า และเอาไว้เป็นพื้นที่ในการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างคนภายในหมู่บ้าน
“เชิญฮูหยินรออยู่ตรงนี้ก่อนนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวพวกข้าจะรีบทำอาหารมาให้”
“ได้ แต่พวกท่านอย่าได้รีบร้อนกันไปเลย ข้าเองยังไม่ค่อยหิวเท่าไรนัก”
“เจ้าค่ะ”
ระหว่างที่ฉือฟางอินกำลังอุ้มเฉียนเอ๋อร์ เดินเล่นชมดอกไม้ใบหญ้าบริเวณรอบๆ เรือนของจินซีหลัน พลันหูของนางก็ได้ยินเสียงเรียกจากหญิงสาวคนหนึ่งมาจากทางด้านหลัง พร้อมกับในมือกำลังถือของบางอย่างเดินเข้ามาหานาง
“ฮูหยินเจ้าคะ แม่เฒ่าลี่ฝากของเล่นชิ้นนี้ ให้ข้านำมามอบให้คุณชายน้อยเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ เช่นนั้นข้ากับเฉียนเอ๋อร์ คงรบกวนท่านแม่เฒ่า กับท่านน้าแล้ว”
“ไม่ได้รบกวนเจ้าค่ะ ฮูหยินอย่าได้เกรงใจไปเลย คุณชายน้อยด้วยเจ้าค่ะ หวังว่าของเล่นชิ้นนี้จะทำให้คุณชายน้อยอารมณ์ดีนะเจ้าคะ ข้าขอตัวไปทำกับข้าวให้ท่านแม่เฒ่าก่อน”
หลังจากหญิงสาวนางนั้นกลับไปแล้ว ฉือฟางอินจึงได้หยิบของเล่นที่อยู่ด้านในห่อผ้าออกมา ของที่แม่เฒ่าลี่ฝากมาให้กับเฉียนเอ๋อร์นั่น ก็คือกลองป๋องแป๋งขนาดเล็ก ที่หากผู้ที่ถืออยู่สะบัดข้อมือเล็กน้อย ลูกปัดที่ร้อยเชือกอยู่ทั้งสองด้าน จะเหวี่ยงมาตีเข้ากับหนังกลองที่ขึงอยู่ตรงกลาง ทำให้เกิดเสียงดังป๋องแป๋งขึ้นมา
“อื้อๆ ”
“เจ้าชอบหรือ ดูสิทำตาโตเชียว”
“อื้อๆ แอ๊!”
“ฮ่าๆ รู้แล้วๆ แม่รู้แล้วว่าเจ้าชอบ มาให้แม่จับเจ้านั่งดีๆ ก่อนนะ”
ป๋องแป๋ง! ป๋องแป๋ง! ป๋องแป๋ง!
“คิก แอ๊…แอ๊”
ยามที่ฉือฟางอินสะบัดข้อมือ ทำให้เกิดเสียงป๋องแป๋งดังขึ้น เจ้าก้อนหมั่นโถวก็จะทำตาลุกวาว ส่งเสียงร้องอ้อแอ้ พร้อมกับใช้มือน้อยๆ พยายามจะคว้าเอาของเล่นที่อยู่ตรงหน้า
“เจ้าอยากลองแกว่งดูหรือ มาสิจับแขนแม่เอาไว้ ใช่...อย่างนั้นเด็กดี”
ป๋องแป๋ง! ป๋องแป๋ง! ป๋องแป๋ง!
“คิก! อื้อ! แอ้ๆ”
สองแม่ลูกนั่งเล่นกลองป๋องแป๋งด้วยกัน ท่ามกลางความเงียบสงบของหมู่บ้าน ที่ตอนนี้มีเพียงเสียงใบไม้พลิ้วไหวไปตามลมเอื่อยๆ เคล้าคลอไปกับกลองของเล่นในมือฉือฟางอิน ไม่รู้ว่าที่ตรงนี้เงียบสงบเกินไปหรือเป็นที่หูของนางดีเกินไป นางถึงได้ยินเสียงของคนคู่หนึ่งกำลังสนทนากัน ดังแว่วมาจากอีกด้านหนึ่งของเรือน ฉือฟางอินจะทำเป็นไม่สนใจ เสียงพูดคุยนั้นไปก็ได้ ถ้าหากว่านางไม่ได้ยินชื่อตนเอง อยู่ในบทสนทานั้นด้วย จึงหยุดมือที่กำลังแกว่งกลองของเล่นเอาไว้ แล้วตั้งใจฟังว่าเสียงของคนคู่นั้น ดังมาจากทางไหนกันแน่
“อื้อๆ อาๆๆ
“ชู่ว เฉียนเอ๋อร์เด็กดี แม่ขอโทษที่ขัดใจเจ้า แต่แม่ขอเวลาเจ้าสักหน่อยเถิด พวกเราไปดูอะไรทางนั้นกันสักครู่ แล้วค่อยกลับมาเล่นกับเจ้ากลองของเล่นนี่กันใหม่นะ”
เฉียนเอ๋อร์ไม่ได้ส่งเสียงร้องโต้ตอบกลับมา เพียงแต่ทำหน้าตาละห้อยจ้องมองไปที่กลองของเล่นไม่วางตา ฉือฟางอินเห็นเช่นนั้นก็สงสารเขาจับใจ แต่ความอยากรู้ว่าเจ้าของเสียง ที่กำลังพูดถึงนางอยู่เป็นใครนั้นมีมากกว่า จึงรีบเดินตามเสียงสนทนานั้นไป และภาวนาให้เฉียนเอ๋อร์ไม่ร้องโยเย จนทำให้บุคคลปริศนาคู่นั้นรู้ตัว ว่านางกำลังแอบฟังพวกเขาอยู่
“ซือจู ข้าว่าเจ้าอย่าทำเช่นนั้นเลยot”
“ทำไมหรือ ไหนเจ้าบอกมาสิ ว่าสิ่งที่ข้าจะทำไม่ดีอย่างไร”
“ก็เจ้ากำลังวางแผ นจะเป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของท่านแม่ทัพ ทั้งๆ ที่เขามีฮูหยินอยู่แล้ว และยังมีโซ่ทองคล้องใจอีกตั้งหนึ่งคน สิ่งนั้นนับว่าไม่ดี”
“นั่นมันก็แค่ธรรมเนียมที่คนในหมู่บ้านหั้วห่าวนี้ ปฏิบัติกันมาก็เท่านั้น ที่ด้านนอกนั่น ในจวนขุนนาง การที่สามีมีหลายภรรยาคนมิใช่เรื่องผิด”
“แต่เจ้าอาจจะไม่มีความสุข บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าได้มา โดยที่ไม่เสียสิ่งใดไปหรอกนะ”
“ข้าไม่สน ขอเพียงได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านแม่ทัพ ข้าจะทำให้เขารักข้าได้สักวันหนึ่ง”
เลี่ยงซูได้แต่ถอนหายใจ ให้กับความคิดของสหายสนิทคนเดียวในชีวิตนาง นางทั้งคู่ต่างเติบโตมาด้วยกัน ได้แลกเปลี่ยนความคิดรู้สึกมากมายให้กันและกัน รวมไปถึงการต้องแต่ง ให้บุรุษสักคนหนึ่งในอนาคต เลี่ยงซูยังคงจำได้ดีว่านางก่อนหน้านี้ ทั้งสองต่างมีความคิดอยากให้ชีวิตคู่ของพวกนาง ดำเนินไปอย่างสงบสุข เท่านั้นเพียงพอแล้ว
แต่ทว่าหลังจากที่หั้วชินอ๋อง พาแม่ทัพฉือหย่งหลิงในวัยสิบเจ็ดปีมาหลบซ่อนอยู่ในหมู่บ้าน ก็ทำให้ความคิดของจินซือจูเปลี่ยนไป แต่หากท่านแม่ทัพแสดงให้เห็นสักนิด ว่าเขาเองก็มีความรู้สึกตรงกัน กับที่สหายของนางคิด เรื่องทุกอย่างก็อาจจบลงด้วยความสุข
แต่ทว่าที่ผ่านมานั้นท่านแม่ทัพ ไม่เคยแม้แต่จะแสดงท่าทีสื่อให้เห็นว่า เขาไม่ได้มองจินซือจูเป็นน้องสาว ของลูกน้องคนสนิทเลยสักนิด แล้วยิ่งตอนนี้เขาก็มีฮูหยินข้างกาย และยังมีพยานรักด้วยกันอีกหนึ่งชีวิตแล้ว แม้ที่ด้านนอกจะเกิดเสียงลือ เสียงเล่าอ้างมากมาย เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่
แต่ตราบใดที่ท่านแม่ทัพ ยังคงไม่ประกาศหรือแสดงความประสงค์ว่าเขา ไม่ถือทำเนียมสามีเดียวภรรยาเดียว การวางแผนว่าจะเข้าไปเป็นภรรยาอีกคน ของผู้ที่มีครอบครัวแล้ว นั่นถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ดี ฉือฟางอินที่เดินมาทันได้ยิน ว่าเจ้าของเสียงที่กำลังกล่าวถึงนางอยู่เป็นใคร และกำลังกล่าวถึงนางด้วยเรื่องอันใด ก็ทำให้นางไขข้อข้องใจต่อการกระทำ ของบุตรสาวคนเล็กของจินซีหลันไปได้ทันที
‘ที่แท้ก็เพราะนางชอบพอฉือหย่งหลิงอยู่นั่นเอง เด็กคนนั้นถึงได้ปฏิบัติกับนางไม่ดี เฮอะ! แล้วนี้มันใช่เรื่องที่นาง จะต้องมารองรับอารมณ์ของเด็กคนนี้หรือไงกัน’
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี