แชร์

บทที่ 34

ผู้เขียน: มู่เหลียง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-20 09:48:04

หลังจากที่กล่อมเฉียนเอ๋อร์จนหลับสนิทแล้ว ก็ถึงเวลาที่ฉือฟางอิน ต้องกลับไปที่งานเลี้ยงอีกครั้ง แต่ก่อนที่นางจะไปแม่เฒ่าลี่ที่รอนางอยู่หน้าเรือน ก็ได้เอ่ยถามนางขึ้นมาเสียก่อน

“เจ้าหนูน้อยหลับดีแล้วหรือ”

“เจ้าค่ะ”

ฉือฟางอินลอบมองแม่เฒ่าลี่อยู่เป็นระยะ เพราะยังสงสัยในคำพูดเมื่อครู่นี้ของหญิงชรา แม่เฒ่าลี่เห็นท่าทางเช่นนั้น ก็หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะกล่าวบางสิ่งขึ้นมา

 “ฮูหยินน้อยมีอะไรจะพูดกับข้านั้นหรือ เหตุใดได้ถึงทำท่าทางอย่างนั้นกัน” 

“เอ่อ...คือ...”

“หรือว่ากำลังสงสัยในคำพูดของข้า”

“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะท่านแม่เฒ่า”

“หึ มิต้องสงสัยไปหรอก มันก็แค่การคาดเดาของข้าน่ะ เพราะอยู่ที่นี่พวกเจ้ามีกันเพียงแค่สองแม่ลูก ข้าก็เลยคิดว่ายามที่เจ้าจะต้องร่ำสุราตามธรรมเนียมของหมู่บ้าน ที่เรือนของข้าน่าจะเป็นตัวเลือก ให้เจ้าพาเจ้าหนูน้อยมาฝากเลี้ยงน่ะ ที่ข้าพูดอยู่นี้ถูกใช่หรือไม่”

“ถูกแล้วเจ้าค่ะ”

“เวลานี้บิดาของเจ้าหนูน้อย คงจะวุ่นวายอยู่กับสงครามที่ชายแดน คงจะมาอยู่กับพวกเจ้าสองแม่ลูกไม่ได้”

“เป็นอย่างที่ท่านแม่เฒ่ากล่าวเจ้าค่ะ”

“หึ เอาเป็นว่าข้ากับอี้ซวางจะช่วยดูแลเจ้าหนูน้อยให้เอง เจ้ากลับเข้าไปในงานเลี้ยงเถิด”

“เช่นนั้น ข้าฝากเฉียนเอ๋อร์เอาไว้สักครู่นะเจ้าคะ แล้วข้าจะรีบกลับมา”

“อ้อ! ฮูหยินน้อย”

“เจ้าคะ”

 “ข้าจะบอกว่ากับคนบางคนน่ะ ยามมีอยู่ก็มักจะละเลยไม่เห็นค่า แต่พอถึงยามห่างเหิน ก็กลับว้าวุ่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น เจ้าต้องอดทนและใจแข็งเข้าไว้ให้มากๆ ให้คนผู้นั้นได้รู้สึกตัวเสียบ้าง จำคำข้าเอาไว้ล่ะ”

“หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”

“ไปเถิด รีบกลับเข้างานเลี้ยงไปได้แล้ว” เมื่อกล่าวจบแม่เฒ่าลี่ก็เดินกลับเข้าไปในเรือนทันที ไม่รอให้ให้นางได้ถามความให้กระจ่างก่อน

“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะท่านแม่เฒ่า”

“ฮูหยิน” เป็นอี้ซวางที่มายืนขวางทาง ไม่ให้ฉือฟางอินเดินตามแม่เฒ่าลี่ไป

“ท่านกลับไปที่งานเลี้ยงก่อนเถิดเจ้าค่ะ นะเจ้าคะฮูหยิน”

อี้ซวางกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้า สื่อไปในทางขอร้องกลายๆ ฉือฟางอินที่เห็นดังนั้น จึงจำต้องเก็บความอยากรู้ไว้ภายในใจ พยักหน้ารับคำของท่านน้าอี้ซวาง แล้วมุ่งหน้ากลับไปยังงานเลี้ยง ฝ่ายอี้ซวางที่เห็นว่าฉือฟางอิน ยอมเดินกลับไปที่งานอย่างว่าง่าย นางถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเดินเข้ามาภายในเรือน ก็เห็นว่าแม่เฒ่าลี่กำลังนั่งจิบชาอย่างสบายใจอยู่

“ท่านแม่เฒ่า ท่านรู้สิ่งใดหรือเจ้าคะ ถึงได้กล่าวเช่นนั้นกับฮูหยินฉือฟางอิน”

“หึ ข้ามิได้รู้สิ่งใดหรอก เจ้าคิดมากไปแล้วอี้ซวาง”

แม้แม่เฒ่าลี่พูดเช่นนั้น แต่อี้ซวางกลับไม่ได้รู้สึกว่าคำพูดของของนาง จะเป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะนางรับใช้แม่เฒ่าลี่มานาน ถึงได้รู้ว่านอกจากความสามารถเรื่องการเลี้ยงเด็กแล้ว อีกว่าแม่เฒ่าลี่นั้นสามารถรู้อนาคตได้

“หลับก่อนขอรับท่านแม่ทัพ มีคนกำลังเดินมาทางพวกเรา โอ๊ะ! นั่นฮูหยินหนิขอรับ”

จินซีจ่าวรีบคว้าตัวฉือหย่งหลิงให้มาหลบด้านหลัง เมื่อเห็นว่ามีเงาของใคร คนกำลังเดินใกล้เข้าใกล้พวกเขา แต่พอรู้ว่าเงาของบุคคลนั้นคทอฉือฟางอิน เขาถึงได้อุทานออกมา แล้วหันไปรายงานผู้เป็นนาย

“นางมาทำอะไรแถวนี้” 

“ดูเหมือนว่าฮูหยิน จะเดินมาจากเรือนของแม่เฒ่าลี่นะขอรับ จริงสิขอรับ คืนนี้ฮูหยินจะต้องได้ร่ำสุราถวายแก่เทพซาฮว๋า ฮูหยินคงจะพาคุณชายน้อยมาฝากให้แม่เฒ่าลี่ กับท่านน้าอี้ซวางช่วยเลี้ยงกระมังขอรับ เอ้า! ท่านแม่ทัพท่านจะไปไหนขอรับ อีกเดี๋ยวก็จะถึงเวลาที่ท่านจะต้องออกเดินทางแล้วนะขอรับ ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านแม่ทัพ!"

ฉือหย่งหลิงไม่แม้แต่จะหันไปตามเสียงเรียกของจินซีจ่าว อีกเดี๋ยวเขาจะต้องออกเดินทาง กลับไปยังค่ายรบที่แดนเหนือแล้ว แต่พอได้ยินว่าคืนนี้ ฉือฟางอินจะต้องร่ำสุรา ภายในใจของเขาหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ในอดีต ยามที่สุราในร่างกายของนางออกฤทธิ์ นางมักจะใจกล้าบ้าบิ่น ทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดได้ทุกเมื่อ ชายหนุ่มจึงกลัวว่านางอาจจะทำให้ชาวบ้านเดือนร้อนเข้า 

“ท่านป้าซีหลัน ข้ามาแล้ว”

“ฮูหยิน เชิญท่านนั่งรอตรงนี้ก่อนเจ้าค่ะ”

ทางฝั่งของฉือฟางอิน ที่กลับเข้ามาในงานเลี้ยงแล้ว นางได้ถูกเชิญให้ไปนั่งบนแท่นพิธีที่จัดเตรียมเอาไว้ สำหรับให้นางได้ร่ำสุราถวายแก่เทพซาฮว๋า เมื่อฉือฟางอินขึ้นไปนั่งบนแท่นพิธีเรียบร้อยแล้ว ตะเกียงรอบงานเลี้ยงจึงได้ถูกดับลง พร้อมกับเสียงบรรเลงดนตรีที่ขึ้น นางรำหลายสิบคนค่อยๆ เยื้องย่างออกมาจากที่มุมหนึ่งของงาน โดยที่ในมือข้างซ้ายของพวกนาง ได้ถือตะเกียงดวงไฟเล็กเอาไว้ เมื่อนางลำทั้งหมดร่ายรำมาถึงกลางลานหมู่บ้าน พิธีร่ายรำประกอบพิธีร่ำสุราถวายเทพซาฮว๋าจึงได้เริ่มต้นขึ้น 

โดยจะมีนางรำผลัดเปลี่ยนกันร่ายรำ มารินสุราลงในจอกให้ฉือฟางอินที่แท่นพิธี คราแรกฉือฟางอินคิดว่าสุราที่นางจะต้องดื่มนั้น คงจะไม่ได้มากจนทำให้นางเมามายได้ แต่ความจริงแล้วจอกสุราที่นางต้องดื่มทั้งหมดนั้น เท่ากับจำนวนนางรำกว่าสิบชีวิตเห็นจะได้ สุราจอกแล้วจอกเล่าจึงถูกส่งมาให้ฉือฟางอินดื่ม ทำให้ตอนนี้รู้สึกมึนหัวขึ้นมา นางจึงได้หันไปขอความช่วยเหลือ จากจินซีหลันที่นั่งอยู่ห่างไปไม่ไกล

          “ท่านป้าซีหลัน”

“ฮูหยิน เป็นอย่างไรอย่างเจ้าคะ ไหวหรือไม่”

“ข้ายังไหวอยู่ แค่รู้สึกมึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น แต่ข้าอยากรู้ว่า หากข้าดื่มสุราทั้งหมดแล้ว ถือว่าพิธีสำเร็จแล้วใช่หรือไม่”

“เจ้าค่ะ แต่ความจริงแล้ว หากท่านดื่มสุราได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนจอกสุราทั้งหมดได้ ก็ถือว่าท่านทำสำเร็จแล้วเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ ฮูหยินอดทนอีกนิดนะเจ้าคะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉือฟางอินจึงได้พยักหน้าตอบกลับจินซีหลันไป นางโล่งอกเป็นอย่างมากที่ได้ยินจินซีหลันกล่าเช่นนั้น เพราะจำนวนนางรำนั้นมีมากมายเหลือเกิน ขนาดตอนนี้ที่นางยังดื่มสุราไปไม่ถึงครึ่งหนึ่ง นางยังเริ่มรู้สึกมึนหัวขึ้นมาแล้ว หากนางต้องดื่มสุราทั้งหมด มีหวังนางคงได้สลบอยู่บนแท่นพิธีเป็นแน่ 

นางจะให้ตนเองตกอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ ไหนจะเฉียนเอ๋อร์ที่กำลังรอนางอยู่ หากมีทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา แล้วเรื่องไปถึงหูฉือหย่งหลิงเข้า แล้วจับนางแยกกับบุตรชายอีก แล้วนางจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร เมื่อคิดไปเช่นั้นภายในอก ก็เกิดอาการสั่นไหวขึ้นมา กว่าที่ฉือฟางอินจะดื่มสุราจนครบจำนวนครึ่งหนึ่ง ของจำนวนนางรำอย่างที่จินซีหลันได้บอกไว้ นางก็ถูกฤทธิ์ของสุราเล่นงานเข้าแล้ว 

“ฮูหยิน ท่านจะไปไหนเจ้าคะ ระวังด้วยเจ้าค่ะ”

“ข้าจะไปหาเฉียนเอ๋อร์ ใช่ๆ ต้องไปหาเจ้าก้อนหมั่นโถว ต้องพาเขากลับเรือน”

“อย่าพึ่งเลยดีกว่าเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านเมามากแล้ว นอนค้างที่เรือนท่านแม่เฒ่าเถิดนะเจ้าคะ อย่างน้อยคุณชายน้อยก็มีอี้ซวางคอยดูแลอีกคน”

“ไม่ได้หรอก ข้าเป็นมารดาของเขา จะให้ผู้อื่นมาดูแลได้อย่างไรกัน เดี๋ยวฉือหย่งหลิงจะต่อว่าข้าได้น่ะสิ”

“แต่ฮูหยินเจ้าคะ ระวังเจ้าค่ะ ว๊าย! ตายแล้วฮูหยิน!”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทส่งท้าย

    “นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 63

    “ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 62

    เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 61

    “แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 60

    “อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 59

    “เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status