รถยนต์คันนั้นแล่นจากไป ทิ้งฝุ่นให้ปลิวฟุ้งขึ้นมาจาก ท้องถนนที่เป็นเพียงทางโรยกรวดทับลงไปบนลูกรัง...เมียหนึ่ง ลูกสาวอีกหนึ่งได้ไปจากชีวิตของเขาแล้ว...โอมยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ริมหน้าต่าง เขาอยากจะลุกขึ้นแต่แข้งขาของเขาก็ไม่ได้เป็นใจ เอาเสียเลย มันยังอ่อนเปลี้ย ต้องรวบรวมกำลังใจอยู่นานก่อนจะลุกขึ้นได้...เขาจะต้องยืนหยัดต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะดี หรือจะร้ายแค่ไหน...เขาก็ยังต้องสู้กับชีวิต การจากไปของ คนสองคนไม่ได้เป็นเครื่องบ่งบอกว่าชีวิตของเขาจะต้องหยุดนิ่ง เพียงเท่านี้
และเมื่อเขาออกมาถึงประตู ก็มีรถอีกคันแล่นสวนเข้ามา เป็นรถสองแถวที่รับเด็กนักเรียนมาส่งบ้าน...ครูสาวท่าทางเรียบร้อย ลงมาจากรถก่อน ดูหล่อนมีจิตวิญญาณเป็นครูตั้งแต่เส้นผมไปจรด ปลายเท้านั่นทีเดียว...ดวงหน้าของหล่อนเกลี้ยงเกลาไร้เครื่องสำอางใดๆ โดยสิ้นเชิง
โอมรับลูกชายมาจากวงแขนของหล่อน ลูกชายเขาอายุสี่ขวบกว่าเกือบจะห้าขวบ...อายุเท่านี้แต่ลูกชายเขาได้กำพร้าแม่ไปแล้ว เนื้อตัวตันๆ นั่นทำให้อ้อมแขนของเขาหนักอึ้ง คางสากๆ ของเขาถูไถกับแก้มนิ่มเนื้อของเด็กชายจนแกเบือนหน้าหนี หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปหมด ดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนกลั้นน้ำตาเอาไว้ และเพ็ญพรรณก็มองเห็นเสียด้วย หล่อนก้าวเข้ามาอีกนิด
“คุณไม่สบายหรือเปล่าคะ”
เมื่อสักครู่ตอนเลี้ยวรถเข้ามา หล่อนมองเห็นเมษาและพิจิกา นั่งอยู่บนเบาะหลังของรถยนต์คันนั้น เพ็ญพรรณรู้ต่อไปอีกด้วยว่า พิจิกาขาดเรียนมาสามวันแล้ว...โรงเรียนแม่ชีกับโรงเรียนอนุบาล มีอาณาเขตติดต่อกัน ทุกทีหล่อนจะรับพิจิกาติดรถไปแวะส่งที่ โรงเรียนก่อน และรับกลับจากโรงเรียนในตอนเย็นอีกด้วย แต่พิจิกา ไม่ได้นั่งรถคันนี้มาแล้วสามวันเต็มๆ
“ปละ...เปล่า”
เขาปฏิเสธ...ยอมเสียมารยาท อุ้มลูกเดินเข้าบ้านโดยเร็ว เพ็ญพรรณมองตามหลังเขาไปอย่างครุ่นคิด หล่อนไม่ปฏิเสธว่าหล่อนพอใจชายคนนี้ แม้เขาจะมีเมียแล้วและยังมีลูกอีกสอง แต่หล่อนก็เก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ลึกๆ ไม่แสดงออกมาภายนอก เพียงแต่ เพ็ญพรรณบอกตัวเองว่าหล่อนจะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
...ถึงจะไม่ใช่วันนี้ก็เถอะ...
**********************************************************
พิจิกานั่งเบียดอยู่ข้างๆ หล่อน เด็กหญิงหันไปข้างหลัง มองดูบ้านที่เคยอยู่ด้วยดวงตาละห้อย เมื่อจะไปจากบ้านเธอก็รู้สึกใจหาย และเมษาก็เข้าใจความรู้สึกของลูกสาวตัวน้อยเป็นอันดีหล่อนโอบกอดลูกสาว...ดึงให้หันหน้ากลับมา
“เราจะไปดีกันนะ...ลูก” หล่อนปลอบโยน “ลูกจะได้ร้องเพลง อัดแผ่น จะมีโอกาสมากมายในชีวิต จะได้เรียนต่อ และจะเป็นที่รู้จัก ของคนทั้งประเทศ...ลูกจะโด่งดัง”
แต่สายตาของเด็กหญิงมองไปเห็นรถสองแถวที่แล่นสวน จนฝุ่นฟุ้งเข้ามา เธอมองเห็นเด็กๆ มากมายในรถคันนั้น...รวมทั้งเด็กชายตัวน้อย น้องชายของเธอเองอีกด้วย
“แม่ขา...นั่น...น้อง”
เมษาไม่ยอมหันไปมอง หล่อนได้ตัดขาดแล้วโดยสิ้นเชิง จากผัว...จากลูกชาย
หล่อนจะให้ความอาวรณ์มาเป็นเครื่องฉุดดึงหล่อนเอาไว้ในปลักนี้อีกไม่ได้ หล่อนมาจมปลักอยู่นานแล้ว นี่เป็นโอกาสเดียวที่หล่อนได้สัมผัส เหมือนต่อลมหายใจของหล่อนให้ยืนยาวออกไป
“แม่ไม่มองน้องเลย”
“เกิดน้องเห็นแม่จะร้องไห้งอแง...แล้วเราก็ไม่ต้องไปไหนกันพอดี ขิม...ฟังแม่นะ เราจะไปหาความก้าวหน้าด้วยกัน ถ้าลูกยังอาลัยอาวรณ์นัก...ลูกจะเสียโอกาสที่ดีที่สุดไป”
หล่อนมองสบตากับคนขับรถทางกระจกบานเล็กๆ นั่น แล้วหล่อนก็เปิดยิ้มหวาน เมษายังสวยมากอยู่ ลูกสองของหล่อนไม่ได้ทำให้หล่อนด้อยความสวยลงไปเลย...ตรงกันข้ามหล่อนกลับมีน้ำมีนวลเปล่งปลั่งขึ้น ดวงหน้ายังเฉิดแฉล้ม ยามยิ้มหล่อนก็ยังทำให้คนมองตะลึงลานได้
“ฉันมาจากกรุงเทพฯ หลายปีแล้วนะคะ...จำกรุงเทพฯ แทบจะไม่ได้”
“เปลี่ยนไปมากเลยฮะ แต่อีกนานกว่าจะถึง จะพักผ่อนไปก่อน ก็ได้นะฮะ...แอร์เย็นพอไหม” เขาเร่งแอร์และส่งไปข้างหลังอีกพร้อมกับเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ ให้อีกต่างหาก
“เย็นค่ะ...เย็นแล้ว กำลังสบายเชียว”
“ถ้าหิวก็บอกนะฮะ”
“ค่ะ”
หล่อนไม่หิวแน่นอน...หล่อนกำลังอิ่ม เหมือนอิ่มทิพย์ อย่างนั้นแหละ และหล่อนก็รั้งลูกสาวให้ซุกแนบอก กระซิบเบาๆ กับลูก
“ถ้าง่วงก็นอนเลยนะลูก”
ไม่เพียงแต่พูด หากแต่หล่อนจับขาลูกสาวขึ้นมาให้พาด เหยียดยาวไปตามเบาะแล้ววางศีรษะเอาไว้บนตัก ฮัมเพลงตามทำนอง ที่ได้ยินเป็นเพลงกล่อมลูกสาว...แล้วหล่อนก็ฝันถึงกรุงเทพ เมืองสวรรค์ ฝันทั้งที่หล่อนยังลืมตามองออกไปภายนอกรถเจิดจ้าด้วยแดดใส และท้องทุ่งกว้าง
ข่าวด่วนส่งมาบอกการกลับบ้านของพิจิกา ทำให้โอมนิ่งงัน เขาปล่อยให้กระดาษข้อความนั่นหลุดร่วงลงมากับมือ ปล่อยให้เพ็ญพรรณเป็นฝ่ายเก็บกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา อ่านจบแล้วหล่อนก็มองหน้าโอมอีกครั้งหนึ่ง เห็นข้างแก้มที่นูนเพราะเขาขบกรามแน่นเข้าหากัน โอมได้ทำเหมือนไม่มีเมียชื่อเมษา และลูกสาวชื่อพิจิกามานานแล้ว...นานนับจากเขาคิดว่าเขาถูกเหยียบย่ำจากเมียและลูก เขาขอหล่อนแต่งงาน เหมือนจะประชดเมียเขา...ลูกเขา แต่เวลาหลายปีที่หล่อนมาอยู่กับเขา ที่นี่คือครอบครัว โอมมีความสุขดี เขาค่อยๆ ดีวันดีคืน พ้นจากความเจ็บปวดที่ทรมานเขา เพ็ญพรรณรู้ว่าหล่อนคือ คนใหม่เข้ามา หล่อนไม่อาจจะแทนที่เมษาได้ทั้งหมด แต่หล่อนก็คือผู้หญิงที่โอมยกย่องว่าเป็นเมียและเป็นแม่ของสิงหา เขาไม่เคยพูดถึงเมียเก่าหรือพิจิกาอีกเลย...บ้านนี้ไม่มีหนังสือที่ลงเรื่องของพิจิกา ไม่มีเทปเพลงของพิจิกา ความโด่งดังของเธอเข้ามาไม่ถึงบ้านนี้...และนี่พิจิกา จะกลับบ้านหล่อนมองหน้าเขา...เมื่อโอมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาหา แววตา ของเขาเหมือนคนคิดไม่ตก หล่อนไม่อยากถามเขา อยากให้เขา เป็นคนตัดสินใจเอง“ผมจะยอมให้ยัยขิมกลับมาอีกดีไหม...คุณครู” เขากลับเป็น ฝ่ายเอ่ยถ
“ขอขิมนอนพักสักหน่อยแล้วกันค่ะ”เธอบอก ทำท่าเหมือนปลอบประโลมมารดาไปด้วยพร้อมๆ กัน และในที่สุดเมษาก็ยอมเปลี่ยนใจ หล่อนให้ลูกสาวนอน คลี่ผ้าผืนบางออก ห่มให้แล้วจึงออกไปจากห้อง หลังจากสั่งว่าหากพิจิกาต้องการอะไร ให้เรียกบอกได้ทันที“เดี๋ยวแม่จะให้พิมพามาอยู่เป็นเพื่อน”เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะจัดการกับอนาคตอันใกล้นี้อย่างไร และ กับสิ่งที่เธอแน่ใจว่าได้อุบัติขึ้นมา มือของพิจิกาวางอยู่บนหน้าท้อง เธอลูบมันไปมาเบาๆ ท่าทางเลื่อนลอยเมื่อตอนที่พิมพาเดินเข้ามาในห้อง และทำให้พิมพาต้องหยุดมองอย่างพิศวง เพราะพิจิกาเหมือนจะไม่รู้ว่า มีคนเข้ามา“คุณขิม”เพียงเสียงเรียก...พิจิกาก็สะดุ้งบอกความตกใจเต็มที่ทีเดียว“น้าพิมนั่นเอง...ขิมนึกว่าใคร” เธอยิ้ม ดูระโหย ดวงหน้าซีด แววตายังบอกว่าคิดไม่ตก “ขิมขออยู่คนเดียวก่อนได้ไหม...ขิมอยากคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสักหน่อย...เป็นความลับ” เธอบอกต่อเมื่อเห็นพิมพา ยังไม่ยอมรับ “ไม่ถึงสิบห้านาทีหรอก...น้าพิม”“ก็ได้ค่ะ...เดี๋ยวจะเข้ามาใหม่นะคะ”พิมพาเข้ามาหลังจากนั้นยี่สิบนาที...ที่ได้เห็นก็คือพิจิกาไม่ได้ นอนอยู่บนเตียงแล้ว เมื่อกวาดตามองหาทำให้ตกใจยิ่ง เพราะพิจิกา อยู่หน้าตู
คุณพิจิกา” สาวิตรีเอ่ยทัก และนั่นทำให้พิจิกาถอยหลบไม่ทันอีกแล้ว หน้าหล่อนซีดเผือด...ชายคนนั้นไม่ได้มาแต่ผู้หญิงคนนี้มาแทนจะแตกต่างกันสักแค่ไหนเชียว“ฉันมาเยี่ยมค่ะ” สาวิตรีลุกไปหาจับมือพิจิกาบีบเอาไว้ เห็น แววตาพรั่นพรึงของเธอแล้วก็เวทนาเต็มอก“ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” พิจิกากระซิบบอก “คุณอย่าพูดนะคะ”“ฉันมาตามคำขอร้องของคุณสุ...เขาขาหักนอนอยู่โรงพยาบาลค่ะ”เหมือนผ่อนลมหายใจโล่งออกมา...พิจิกาเหยียดยิ้มเยาะ“สมน้ำหน้า...มันยังน้อยไป คนโฉดอย่างเขาน่าจะตายไปเลย”“เขาอยากเจอคุณนะคะ ฝากบอกมาว่าจะรับผิดชอบ ไม่ใช่ เลยเถิดเฉยๆ”พิจิกาปลดมือของสาวิตรีออกไป บอกด้วยเสียงเบาๆ แต่ เย็นชานัก “ไปบอกเขาว่าฉันลืมหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น...นึกซะว่าทำทานให้มารตายอดตายอยากแล้วกัน”สุวิชาอึ้งไปนานกับคำพูดที่สาวิตรีเก็บมารายงานอย่างไม่มีตกหล่นสักคำหนึ่ง หล่อนมีความจดจำเป็นเลิศราวกับบันทึกเทป มาท่องจำเอาไว้ให้เขาฟัง...ตอนแรกชายหนุ่มรู้สึกปวดร้าว มันผสมผสานไปด้วยความเสียดายแม่เนื้อหวานอ่อนโลกคนนั้น แต่แล้วความถือดีก็เข้ามาแทนที่ เพราะสุวิชาไม่เคยใส่ใจกับผู้หญิงรายใดนานนัก ก็แค่ฉากผ่านเล่นของเขาเท่านั้น
สุวิชาไม่ได้คิดจะเลิกติดตามหาตัวสาวน้อยของเขาเลย แต่เขาโชคร้ายเกิดอุบัติเหตุเสียก่อนเพราะการใจลอยของเขานั่นเอง...รถยนต์ของเขาชนกับรถยนต์อีกคันหนึ่งบนถนน ออกนอกเมือง แล้วเขาก็ต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลด้วยสภาพ ของคนป่วยหนัก ขาข้างหนึ่งถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยเฝือกหนา หลังจากผ่าตัดไปแล้ว เขายังเดินไม่ได้และนั่นทำให้เขาออกฤทธิ์ต่างๆ นานากับมารดา “แม่ต้องตามเธอมาให้ผมนะ”คุณเสาวรสยิ้มเย็น อันที่จริงเคราะห์ร้ายของลูกชายหนนี้ ไม่ได้ทำให้เธอวิตกอันใดเลย กลับทำให้เธอพอใจด้วยซ้ำที่เห็นลูกชาย ไปไหนๆ ไม่ได้ เขาไม่อาจจะตะลอนๆ หาความสุขส่วนตัวแบบที่เขาชอบ ไม่ได้ก่อกรรมทำบาปทางโลกีย์กับหญิงสาวคนใดอีก“มันไม่ใช่หน้าที่ของแม่”“แม่ใจร้ายมาก”เขาว่า...หน้าตาที่แต้มยาและยังมีรอยแผล จากกระจกบาดเอาไว้บึ้งจนดูกระด้าง แต่ตราบใดที่เขายังนอนแซ่วถูกตรึงเอาไว้กับเตียงอย่างนี้ มีหรือที่เธอจะกริ่งเกรงเขา“นอนพักรักษาตัวดีกว่า” เธอบอกเรียบๆ “คงอีกนานกว่าจะออกไปได้”“ผมขอร้องล่ะน่า”“มันจบไปแล้ว...ดีเท่าไหร่ที่ฝ่ายหญิงไม่เอาเรื่อง”“ผมยินดีให้เอาเรื่องจนถึงที่สุด เพราะผมก็เป็นผัวเธอแล้ว ผม เต็มใจนะฮะแม่ แล้วนั่นก็ไม่ใช
ทรงวุฒินิ่งเงียบ มันเป็นสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ และเขารู้ด้วยว่าอย่างไรเสียพิจิกาจะไม่ยอมปริปาก...ต่อให้ด่าทอรุนแรงหรือถึงกับเฆี่ยนตี เธอก็จะไม่ยอมพูดออกมาเป็นอันขาด...ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาว่าหากมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นจริง ก็อย่าให้มีสิ่งใดติดตามมาประจานให้อื้อฉาวเลย สาวน้อยเนื้อแน่นแสนหวานของเขาหายไปแล้ว สุวิชาเจียนๆ จะคลั่งเสียให้ได้ เมื่อกลับมาแล้วไม่เจอแม้เงาของเธอ ค้นหา จนบ้านทั้งหลังแทบจะกระจุย ก่อนจะรู้ว่าเธอหนีไปพ้นจากเขาแล้ว แน่นอนว่าย่อมจะต้องมีคนมาช่วยเหลือเธอออกไป ลำพัง เพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันกาย เธอจะไม่มีวันกล้าออกไปจากบ้านเด็ดขาด...แม่เขา ต้องเป็นแม่เขาแน่นอนที่สุด...ระงับอารมณ์ลงอย่างยากเย็นก่อนจะหมุนไปหาคุณเสาวรส“แม่รังแกผม” เขาโวยวายไปตามสายไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัวติด “แม่ทำอย่างนี้มันบาปนะฮะ...รู้รึเปล่าว่าพรากผัวเมียจากกันไม่ใช่เรื่องดี”“แม่ทำสิ่งที่ถูกต้อง...แม่ไม่อยากให้แกทำผิดๆ เท่าที่ทำลงไป ยังไม่มากพออีกรึ ฉุดคร่าผู้หญิงมาทำมิดีมิร้ายน่ะ ระวังเอาไว้ด้วยเถิดย่ะ หากผู้หญิงไปแจ้งความ แกจะยิ่งเดือดร้อน”“ผมกำลังจะทำให้ถูกต้อง...ผมจะแต่งงานกับเธออยู่แล้ว”คุณเสาว
“ไม่ต้อง”พิจิกาบ่ายเบี่ยง...เธอไม่อยากให้คนพวกนี้ได้รู้จักถึงบ้านเธอเลย แต่ความคิดนี้ดูเหมือนสาวิตรีจะรู้เท่าทัน...น้ำเสียงที่พูดด้วยจึงค่อนข้างอ่อนโยน เต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้าอกเข้าใจเป็นอันดี“ฉันรู้ค่ะว่าคุณเป็นใคร อยู่ในฐานะใด ถึงคุณจะไม่ยอมให้ไปส่ง ที่บ้าน...ฉันก็จะรู้จนได้นั่นเอง”“แปลว่าเขาจะต้องรู้ด้วยเหมือนกัน”“คุณสุไม่ใช่คนโง่...เขาสืบรู้จนได้นั่นแหละ เขามีคนให้ใช้สอยมากมาย”เธอจะหนีพ้นจากความอุบาทว์พวกนี้หรือไม่ ยิ่งคิดดวงหน้าที่จ๋อยอยู่แล้วของพิจิกาก็ยิ่งเผือดสี หากเขาจะตามทวงสิทธิ์ของเขาและประจานเธอออกไปให้กว้างขวาง ชื่อเสียงที่เธอมีอยู่คงจะป่นปี้หาดีไม่ได้อีกเลย“ฉันจะไปส่งคุณ...ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายคุณเลย ออกจะเห็นใจ คุณด้วยซ้ำ” จับมือของพิจิกาไปบีบเอาไว้แน่น “พวกเรา...ฉันหมายถึง คุณแม่ของคุณสุ และฉันยินดีจะช่วยเหลือคุณ เพราะรู้ว่าคุณไม่ได้เต็มใจด้วยเลย”“ถ้าเป็นไปได้...ฉัน...ฉันจะแจ้งตำรวจ...ฉันจะจับเขาเข้าตาราง ให้รู้ว่าที่นั่นไม่ได้เอาไว้ขังหมา”น้ำเสียงของพิจิกานั้นกระท่อนกระแท่นด้วยความรู้สึกปวดร้าวเป็นอันมาก ไม่มีน้ำตาจะไหลอีกแล้ว มันไหลย้อนตกลงไปในอกจน หมดสิ้น ส