บทที่ 35 สัตว์อสูร
“...”
จางหู่รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะเอาหน้ามุดดินหนี รู้สึกเขินอายจนแทบจะไม่รู้ว่าควรจะวางตัวเช่นไรดีในเวลาแบบนี้ จึงพยายามอธิบายแก้เก้อไปอย่างนั้นเอง “ก็ข้าไม่รู้นี่ ใครจะไปคิดว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขนาดนี้จะไม่อยู่ในหมู่บ้านของเรา”
ฮุม...
เจ้าสังที่เพิ่งมาถึงครางฮูมในลำคอเบาๆ พลางบ่ายหน้าไปทางหมู่บ้าน ส่งสัญญาณให้ทุกคนเป็นเชิงบอกว่าต้องรีบกลับแล้ว
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะเอาไว้คุยรายละเอียดกันทีหลัง ในตอนนี้เราทุกคนรีบกลับหมู่บ้านกันก่อน ก่อนที่จะมืดค่ำเถิดพวกเรามีเวลาอีกราวครึ่งชั่วยาม...” จางหลงกล่าวพลางหันไปหาเจ้าสังที่มองมาที่เขาอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน “ข้าขอให้ท่านช่วยปิดท้ายขบวนหน่อยนะครับ”
“...”
เจ้าสังมิได้ส่งเสียงขึ้นมาแต่อย่างใด เพียงแค่ผงกหัวเบาๆคราหนึ่งแล้วเดินไปยังท้ายขบวนที่อยู่ไกลออกไป
ยังให้ผู้มาใหม่อย่างจางหู่นั้นถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ถึงจะเคยฟังเรื่องราวของสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมาจากท่านอาจารย์อยู่บ้าง ว่าหากสัตว์อสูรในระดับสีน้ำเงินขึ้นไป จะสามารถเข้าใจและรับฟังภาษามนุษย์ได้ แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สัตว์อสูรในระดับสีน้ำเงินนั้นมิใช่สัตว์อสูรทั่วไป ถ้าจะให้ทำความเข้าใจได้คร่าวๆก็คงจะเป็น...
สัตว์อสูรไร้สี หรือสัตว์อสูรทั่วไปที่ผู้คนสามารถล่าเป็นอาหารได้ เป็นสัตว์ป่าธรรมดาธรรมดาทั่วไป ซึ่งสามารถพบเห็นได้ในเขตที่อุดมสมบูรณ์
สัตว์อสูรระดับสีแดง มันแตกต่างจากสัตว์อสูรทั่วไปตรงที่มันเริ่มซึมซับพลังของสวรรค์และโลก จนยกระดับความสามารถทางร่างกายขึ้นอีกหลายส่วน ถ้าหากจะให้เปรียบเทียบกันแล้วก็คงจะเป็น สัตว์อสูรชนิดเดียวกันในระดับทั่วไปสักสิบตัว ก็ยังมิสามารถที่จะสู้สัตว์อสูรในระดับสีแดงเพียงตัวเดียวได้
สัตว์อสูรระดับสีส้ม มันก็คือสัตว์อสูรระดับสีแดงที่พัฒนาขึ้นมา จนสามารถสร้างแกนกลางของตนเองขึ้นมาได้ แต่มันก็ยังไม่ใช่ผลึกอสูรที่สมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังแข็งแกร่งกว่าศูนย์ระดับสีแดงลายเท่านั้น
สัตว์อสูรระดับสีเหลือง มันคือสัตว์อสูรที่สามารถรวบรวมผลึก อสูรของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ ในส่วนของความแข็งแกร่งของมันนั้น ถ้าจะให้เห็นภาพที่สุดก็คงจะเป็น การที่สัตว์อสูรระดับสีเหลืองเพียงหนึ่งตัว มันสามารถสร้างความเสียหายให้กับเมืองเล็กๆได้กึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
สัตว์อสูรระดับสีเขียว มันคือสัตว์อสูรที่สามารถอยู่รอดผ่านพ้นช่วงเวลาร้อยปีขึ้นไป และสั่งสมพลังฟ้าดินมากพอที่จะชำระแกนผลึกอสูรของมันให้สะอาดหมดจด ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว สัตว์อสูรในระดับสีเขียวนั้นมันจะเป็นจ่าฝูงของสัดส่วนชนิดนั้นๆ เริ่มมีการปกครองพื้นที่ของตนเองและมีบริวารอยู่นับร้อย หรือจะให้พูดง่ายๆก็คือมันเริ่มเป็นสัตว์อสูรที่มีสติปัญญาบ้างแล้ว มีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดมากขึ้น
สัตว์อสูรระดับสีน้ำเงิน สัตว์อสูรที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้นานมากกว่าห้าร้อยปีขึ้นไป มันคือสัตว์อสูรที่มีสติปัญญาไม่แตกต่างจากมนุษย์ และมีพละกำลังที่มากพอที่จะถล่มเมืองใหญ่ทั้งเมืองได้ ซึ่งสัตว์อสูรในระดับนี่เองที่ขุมกำลังอำนาจใหญ่ๆ มักจะใช่มันเป็นผู้พิทักษ์ แต่การที่จะจับสัตว์อสูรในระดับนี้ได้ก็ต้องใช้ทั้งพลังและทรัพยากรเป็นจำนวนมหาศาล เพราะลำพังเพียงแค่การตามหามันให้เจอก็ว่ายากมากแล้ว
เนื่องด้วยการที่มันเริ่มมีสติปัญญาไม่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป และมีสัญชาตญาณของความเป็นสัตว์ที่อยู่มานานมากกว่าห้าร้อยปี ทำให้มันมักจะหลีกเร้นออกไปหาที่สงบสงบ เพื่อบำเพ็ญตบะของตนเองให้สูงขึ้น ว่ากันว่าต่อให้ในระยะหมื่นลี้ยังหาสัตว์อสูรระดับสีน้ำเงินเพียงสักตัวแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
สวนสัตว์อสูรในระดับสีม่วงและสีคราม หรือสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้นยังสัตว์อสูรระดับเซียนขึ้นไปนั้นมิต้องกล่าวถึง เพราะว่ากันว่าพวกมันแทบจะเป็นเทพเจ้าของพื้นที่ที่มันครอบครองอยู่ หากมิใช่ยอดฝีมือในสำนักใหญ่ๆ หรือผู้แข็งแกร่งในระดับเหนือฟ้า แทบจะไม่มีใครอยากยุ่งกับพวกมันเลย เหมือนกับน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง สัตว์อสูรพวกนั้นเองก็จะมิเข้ามายุ่งหรือก้าวก่ายกับฝั่งมนุษย์เช่นเดียวกัน ยิ่งเป็นในส่วนของพื้นที่ห่างไกลแถบนี้ด้วยแล้ว...
ในตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่า เป็นเพราะท่านอาจารย์ของเขานั้นแข็งแกร่งมากเกินไป จนไม่เคยเจอสัตว์อสูรในระดับนี้มาก่อน ว่ากันว่าสัตว์อสูรที่มีสติปัญญา จะพยายามหลีกเร้นจากผู้แข็งแกร่งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง ทำให้นี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขนาดนี้
‘แต่ที่แปลกที่สุดก็คือการที่มันยอมรับใช้เด็กหญิงคนหนึ่งนี่แหละ มันเป็นไปได้ด้วยหรือที่สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขนาดนี้ จะคอยติดตามรับใช้เด็กหญิงคนหนึ่ง...’
“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือน้องชาย” จางหลงเห็นน้องชายทำหน้าครุ่นคิดมาได้พักใหญ่แล้ว จึงได้เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ถ้าหากเจ้ากำลังคิดเรื่องเจ้าสังอยู่แล้วละก็ ที่สำคัญก็คือมันมิได้มาเป็นศัตรูกับพวกเรา แค่นั้นมันมิพอแล้วหรอกหรือ แค่มันคอยปกป้องพวกเราไม่ทำร้ายพวกเราเท่านั้นมันก็น่าจะพอแล้วนี้”
“เฮ้อ...” จางหู่ทุกคนหายใจออกมาแรงๆทีหนึ่ง “มันก็จริงของท่าน ข้าอาจจะชินอยู่กับการคิดมากกับโลกภายนอกเกินไป ถ้าออกไปข้างนอกแล้วไม่ระวังเนื้อระวังตัว ข้าอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ว่าเจออะไรที่มันอันตรายขาเลยต้องคิดมากไว้ก่อนทุกที สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์ของข้าย้ำเตือนไม่ให้ข้าลืมมันอย่างเด็ดขาด”
“ในเมื่อเจ้ากลับมาบ้านในรอบสามปี เจ้าก็ควรจะปล่อยวางเสียบ้าง ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของพวกเรา พื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับเจ้าและทุกคนในหมู่บ้านเสมอ”
“ทราบแล้วขอรับ”
………………………….
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง