บทที่ 39 ใจกลางความมืดมิด(2)
“...”
เสียงนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา จางเว่ยที่อยู่อยู่ก็รู้สึกว่างเปล่า ขึ้นมาในช่วงขณะหนึ่ง ก็ได้ลุกออกจากบ้านไปยังบ้านของมารดา ที่ตอนนี้ทุกคนกำลังรับประทานมื้อเย็นกันอย่างสนุกสนาน
มองเหล่าบรรดาญาติพี่น้องพ่อแม่ลูกหลาน ทุกคนที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากที่นานแล้วก็เข้าไม่ได้ฉลองกันพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ ความรู้สึกหลากหลายมากมายตีกันอยู่ในอก จนจางเหว่ยไม่รู้แล้วว่าในตอนนี้ขอกำลังคิดอะไรอยู่
ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เขาที่มองอยู่อย่างนั้นก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากผ่านเวลาไปค่อนข้างนานมากแล้ว ทุกคนที่ดื่มกินกันจนอิ่มหนำสำราญ ก็ได้เริ่มแยกย้ายออกจากวงสนทนา...
“...”
จางเหว่ยเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้สองขาของเขา กำลังพาเขาไปยังสถานที่ใด...
“เสี่ยเหว่ย...” ผ่านไปได้สักครู่หนึ่ง ในขณะที่จางเหว่ยกำลังแหงนมองดูดวงจันทราบนท้องฟ้า ด้วยความรู้สึกที่วางปลาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขาในระยะประชิด ในตอนนั้นเองเขาก็เกือบที่จะหลุดควบคุม จนหันหน้ากลับไปมองอีกฝ่ายแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังสามารถพอที่จะควบคุมตนเองได้อยู่ “ทำไมลูกถึงไม่เข้าไปกินข้าวเย็นกับพวกเราเล่า มันนานมากแล้วนะที่พวกเราไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน น่าจะสักสิบปีได้แล้ว...”
“...”
จางเหว่ยมิได้พูดอะไรตอบกลับไป เพียงแค่ยืนมองฟ้าอยู่นิ่งนิ่งเช่นนั้น แต่สำหรับคนที่มองแผ่นหลังของลูกชายของตนเองอยู่ ก็สามารถมองเห็นได้ถึงความสั่นของไหล่ทั้งสองข้าง
“แม่ขอโทษ เจ้าจะให้อภัยแม้สักครั้งจะได้ไหม”
“ท่านแม่จะมาพูดอะไรเอาป่านนี้เล่าขอรับ มันก็ผ่านไปนานมากแล้ว ในตอนนี้ไม่ว่าท่านแม่จะพูดอะไร มันก็ไร้ความหมายแล้วล่ะขอรับ”
“เรา...พวกเรามิสามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้วได้จริงๆหรือ”
“เหมือนเดิม... เหมือนเดิมแบบไหนหรือขอรับ เหมือนเดิมแบบที่มิเคยมีใครเห็นหัวขามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนั้นหรือขอรับ พี่ใหญ่ทั้งเก่งทั้งฉลาดทั้งเป็นความหวังของหมู่บ้าน ส่วนน้องเล็กเองก็มีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่จิตใจกลับอ่อนโยนจนเป็นที่รักของทุกคน แต่ข้ามันเป็นเพียงแค่คนธรรมดาธรรมดาขอรับ คนธรรมดาที่เกิดมาในครอบครัวของผู้วิเศษ คนธรรมดาที่ไม่ได้มีให้ความสามารถอะไรเลย คนธรรมดาที่ไม่เคยถูกเหลียวแล กลับไปเป็นแบบนั้นหรือเปล่าขอรับ”
“จางเหว่ย...แม่...”
“ถ้าหากไม่มีอะไรจะพูดแล้วท่านแม่กลับไปเถอะขอรับ หลังจากที่พวกท่านทุกคนทำกับข้าเช่นนี้มาหลายสิบปี แล้วจู่ๆจะมาบอกว่าท่านรักท่านห่วงใยข้า? อย่างนั้นหรือขอรับ ท่านคิดว่าข้าควรจะรู้สึกดีใจดีไหม หรือข้าควรจะมีความสุขกับความรักเศษเสี้ยว ที่ท่านเพิ่งจะนึกได้หลังจากผ่านไปหลายสิบปีแล้ว อย่างนั้นหรือ!”
มิว่าด้วยโทสะหรือด้วยอะไรก็ตาม จางเหว่ยกล่าวด้วยเสียงตะคอกออกมาพร้อมกับหันหน้ามาประจันหน้ามองสบตากับมารดา...
“เสี่ยวเหว่ย...ตาเจ้า!” หญิงวัยกลางคนกล่าวออกมาด้วยความตกใจ ท่ามกลางดวงจันทร์ที่ทอประกายอยู่กลางฟากฟ้า จนผู้เป็นแม่สามารถมองเห็นได้ว่าดวงตาของบุตรชายตนนั้นแปลกไป ดวงตาข้างนึงมีสีดำสนิท ส่วนดวงตายอีกข้างนั้นลูกตาดำแทบจะกลืนตาขาวไปจนหมดสิ้นแล้ว “เจ้าเป็นอะไรไป”
“ไม่ว่าข้าจะเป็นหรือไม่เป็นอะไร มันก็ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้วล่ะเข้ารับ” จางเว่ยหันหน้ากลับไปอีกครั้ง ไม่อยากให้ใครมองเห็นเขาในสภาพแบบนี้
“แม่...”
“มิต้องพูดอะไรแล้วล่ะขอรับ ระหว่างพวกเรามันไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกันมานานมากแล้ว...” จางเว่ยระบายลมหายใจออกมายาวๆ “แต่หากว่าท่านแม่ยังคงมีความรู้สึกผิดต่อข้าอยู่บ้าง ได้โปรดเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับด้วยเถิดนะขอรับ”
“....”
กล่าวเพียงเท่านั้น เขาก็เดินหายลับไปท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี ทิ้งให้ผู้เป็นแม่จมอยู่กับความรู้สึกที่หลากหลาย มิรู้ว่าควรจะทำเช่นไรต่อไปดีแล้ว
ในโลกนี้มักจะมีความจริงอยู่อย่างหนึ่งที่ผู้คนไม่รู้ นั้นก็คือความเท่าเทียมไม่เคยมีอยู่จริง...
ไม่ว่าจะเป็นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ที่พวกผู้ใหญ่ที่มีลูกแล้วมักจะกล่าวกันว่าพวกตนเองและลูกเท่ากันเสมอ มิเคยเอนเอียงไปหาใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว ความรักของพ่อแม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ใสสะอาดและมอบให้ลูกทุกคนอย่างเท่าเทียมเสมอ
มันเป็นอย่างนั้น จริงๆน่ะหรือ...
ถ้าหากกล่าวในมุมของพ่อแม่พวกเขาก็คงจะบอกว่ามันเป็นเช่นนั้น
แต่ถ้าเป็นในมุมของลูกเล่า...
มันจะเป็นแบบนั้น จริงๆหรือเปล่า?
มิต้องบอกก็รู้ว่าลูกลูกแทบทุกคนสามารถบอกได้ว่ามันไม่เป็นเช่นนั้นเลย
หากเป็นในช่วงเวลาของวัยเด็ก พวกเราอาจจะแค่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจถึงความไม่เท่าเทียมนี้ เด็กบางคนอาจจะแค่รู้สึกเสียใจ ที่ทำไมตนเองทำแบบเดียวกันแต่เขาดันผิดเสียอย่างนั้น แต่ลูกรักของพ่อกับแม่ก็ไม่เคยผิด...
ยังมีอีกมากมายหลากหลายความรู้สึก หลากหลาย เหตุการณ์ ที่ทำให้เด็กๆ นั้นรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เป็นที่รักของพ่อกับแม่…
แต่สำหรับเด็กแล้วอยากมากมันก็แค่น้อยใจ เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่พอเด็กเหล่านั้นโตขึ้นมา หากเขามิได้ถูกสั่งสอนอย่างถูกต้องสมควรแล้ว ชุดความคิดของเขาก็จะหันเหไปในทางที่เลวร้ายเสมอ
และซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปแทนที่พ่อแม่จะให้คำปรึกษาหรืออธิบายให้กับลูกอย่างถูกต้อง แต่กลับเอาแต่เก็บเงียบแล้วไม่พูดไม่จาถึงความผิดพลาดของตัวเองในอดีต ทำได้เพียงแค่พยายามขอโทษในสิ่งที่ทำพลาดไป
ความหมายก็คือพยายามแก้ไขความรู้สึกผิดของตนเอง แต่ฝ่ายเดียว มิได้เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายนั้นจะรู้สึกเช่นไร
จนในบางครั้ง…
ด้วยความรู้สึกผิดของพวกเขา ก็ได้เป็นการตัดสินใจที่ทำร้ายทุกๆคนในทิศทางที่ไม่สามารถกลับมาแก้ไขมันได้
เช่นเดียวกันกับมารดาของสามพี่น้องตระกูลจาง ที่เลือกจะทำตามคำกล่าวของบุตรชายคนกลาง แล้วเก็บความลับอันมืดมิดนี้เอาไว้กับตัวเองเพียงผู้เดียว
โดยมิรู้เลยว่าอีกไม่กี่วันต่อมา ทางเลือกของนางนั้นจะนำหายนะ มาสู่ทุกคนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง