ป่าดงเลือด…..
แม้เงาดำจะจางหายไปแล้ว แต่ความเย็นยะเยือกยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ แสงคำยืนตัวแข็งทื่อ เธอรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งยังเฝ้ามองเธออยู่ แม้ว่าดวงตาสีแดงเหล่านั้นจะหายไปจากสายตาแล้วก็ตาม
“เวียงแสนพรหม… เมืองที่เจ้าทำลาย”
คำพูดของเงาดังก้องอยู่ในหัว มันวนเวียนซ้ำ ๆ เหมือนเสียงสะท้อนจากอดีต
เธอหายใจลึก พยายามกลั้นความรู้สึกปั่นป่วนในใจ
“ข้าบ่ะเข้าใจ…” เธอพึมพำกับตัวเอง
แม่คำปันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองเธอด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะพูดขึ้นช้า ๆ
“เจ้ากำลังจะเข้าใจ ในไม่ช้าเจ้าจะรู้ความจริงทั้งหมด รวมทั้งเรื่องพ่อของเจ้า”
“แม่…” แสงคำหันไปมองเธอ “ข้าเจ้ายังไม่พร้อม”
แม่คำปันยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าแน่ใจหรือ?”
“ข้าแน่ใจ๋!เจ้าแม่ แต้ ๆ นา ข้าบ่ะได้จุ” แสงคำพยักหน้าเร็วจี๋ “แต่ว่า ข้ายังไม่พร้อมเลยสักนิด! ข้ารู้สึกเหมือนสมองข้ากำลังจะระเบิด! ข้าเพิ่งถูกผีบอกว่าข้าคือคนที่ทำลายเมืองหนึ่งทั้งเมือง! ข้าจะพร้อมได้หยั่งใดกั๋น!”
แม่คำปันยิ้มเอ็นดู แต่ประโยคที่พูดต่อมานั้น...
“ถ้าเจ้าไม่พร้อม เจ้าจะก้าวมาถึงตรงนี้ไม่ได้หรอก”
“หา?” แสงคำร้องเสียงหลง “แม่! ข้าถูกลากมา! ข้าไม่ได้เดินมาด้วยความเต็มใจ!”
“แล้วเจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดเจ้าถึงยังอยู่ตี้นี่?”
แสงคำอ้าปากจะเถียง แต่ต้องหยุดชะงัก…
เธอมีโอกาสหนีกลับบ้านหลายครั้ง แต่เธอกลับยังเดินตามแม่มาเรื่อย ๆ ทั้งที่รู้ว่ามันจะพาเธอไปสู่ความจริงที่เธออาจไม่อยากรู้
ทำไมกัน?
เธอกำมือแน่น บางสิ่งในใจบอกเธอว่าเธอต้องรู้
“เฮ้อ ! อันที่จริงข้าเจ้าจะหนีปั๊กบ้านก่อได้ แต่ข้ายังอยู่ก่อเพราะข้าอยากรู้ความจริง” เธอพูดเสียงเบา
แม่คำปันพยักหน้า “นั่นคือเหตุผลที่เจ้ายังอยู่”
แสงคำถอนหายใจ “แล้วข้าเจ้าจะต้องไปไหนต่อ?”
แม่คำปันหันไปมองทางเบื้องหน้า เส้นทางขรุขระทอดลึกเข้าไปในป่าทึบ
“เวียงแสนพรหม”
“หา! ตอนนี้เลยกาเจ้าแม่? ข้ายังบ่ะได้เก็บเสื้อผ้าเลยนะ!”
“เจ้าคิดว่าเราจะกลับบ้านไปเก็บของก่อนแล้วค่อยไปได้หรือ?”
“ข้าอยากคิดแบบนั้น!”
“บ่ะได้”
“โอ้ยย! แล้วแม่จะถามให้ข้าใจไขว้เขวยิหยัง แม่ก่อดายเนาะ!”
แสงคำเดินไปตามทางด้วยสีหน้าหม่นหมอง เธอไม่เคยรู้สึกเหมือนเป็นหมูที่ถูกต้อนเข้าโรงเชือดเท่านี้มาก่อน
“แม่…” เธอคราง “ถ้าข้าเจ้าคือคนที่ทำให้เวียงแสนพรหมล่มสลายจริง ๆ นี่… ข้าเจ้าจะต้องรับผิดชอบยังใด?”
แม่คำปันไม่ได้ตอบทันที เธอหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าลูกสาวคนเดียวของเธอ
“เจ้ากลัวกา?”
“แน่นอน! ไผพ่องเจอแบบนี้แล้วจะบ่ะกลัว!”
“แต่เจ้าไม่หนี”
“ข้าเจ้ายังหาทางหนีบ่ะได้ต่างหาก!”
แม่คำปันหัวเราะเบา ๆ
“ข้าไม่รู้ว่าคำตอบของเจ้าจะเป็นเช่นไร… แต่ข้ารู้ว่าเมื่อถึงเวลา เจ้าจะตัดสินใจได้เอง”
“ข้าเกลียดคำว่าเมื่อถึงเวลาที่สุดเลย!”
“เจ้าก่ออู้แบบนี้มาตลอดทางแล้วเหมือนกั๋น”
“และข้าจะพูดต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าข้าจะได้ปิ๊กบ้าน!”
แม่คำปันยิ้มบาง ๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไร ด้วยรู้นิสัยลูกสาวดี
“กรรรรร…”
ทันใดนั้น
เสียงขู่แหบต่ำดังขึ้นจากพุ่มไม้!
แสงคำสะดุ้งโหยง ขนลุกไปทั้งตัว!
“แม่! ข้าได้ยินเสียงน่ากลัวใกล้ ๆนี่แหมแล้ว!”
แม่คำปันหยุดเดิน… แววตาเย็นเยียบลงทันที
“อย่าขยับ!”
“แม่! ข้าจะต้องทักทายมันแหมก่อ! เหมือนตั๋วก่อน ๆ “
“บ่ะต้อง!”
“โอ้! ขอบคุณสวรรค์! นรก! เฮ้อ อะหยังก่อได้ที่ช่วยข้าไว้!”
แม่คำปันจ้องไปยังเงามืดเบื้องหน้า ร่างของบางสิ่งกำลังก้าวออกมาจากพุ่มไม้ช้า ๆ
แสงคำเบิกตากว้าง
สิ่งที่ออกมา ไม่ใช่เงาดำเหมือนครั้งก่อน
แต่มันคือ… มนุษย์
หรือ… มันเคยเป็นมนุษย์
ร่างนั้นผอมแห้งผิดปกติ ผิวหนังแห้งแตกระแหงเหมือนท่อนฟืน ตาขาวเหลือกโปน และริมฝีปากแห้งแตกมีเลือดสีดำไหลซึมออกมา เหมือนกับว่ามันเคยเป็นคน… แต่ไม่ได้เป็นมานานแล้ว
“แม่…” แสงคำกระซิบ “ข้าเจ้าว่า… นี่ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว”
แม่คำปันจ้องมันนิ่ง ๆ “เราถูกมันตามมาเจอจนได้”
“เจอ! เจออะหยัง?”
“ผู้เฝ้าเวียงแสนพรหม”
“แม่! ข้าขอทักทายเขาก่อได้! ข้าจะอู้ดีดีกับเขา”
“สายไปแล้ว”
“เฮ้ยยยยย!”
ร่างนั้นเงยหน้าขึ้น… ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาเป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้บนใบหน้าของมนุษย์
“พวกเจ้า… กลับมาแล้ว…”
“ในที่สุด สิ่งข้ารอคอยก็มาถึง .....พวกเจ้า… กลับมาแล้ว…”
เสียงของร่างผอมแห้งนั้นแหบพร่า แต่ดังก้องอยู่ในอากาศเหมือนเสียงสะท้อนจากอีกโลกหนึ่ง
แสงคำตัวแข็งทื่อ เธอรู้สึกถึงไอเย็นและความเกลียดชังที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างนั้น
“แม่…” เธอเรียกเสียงเบา “ข้าว่าข้าอยากเป็นลมเดี๋ยวบ่ะเดี่ยวนี้ได้ก่อ?”
“บ่ะได้”
“ข้าก็คิดว่างั้น…”
แม่คำปันไม่ได้สนใจลูกสาวที่กำลังตัวสั่น เธอก้าวไปข้างหน้าช้า ๆ จ้องมองร่างประหลาดตรงหน้าด้วยสายตาเย็นเยียบ
“เจ้าเป็นใคร?”
ร่างนั้นกระตุกเบา ๆ ก่อนจะหัวเราะเสียงแหลมออกมา
“พวกเจ้าลืมไปแล้ว… แต่ข้าจำพวกเจ้าได้..”
“.......ข้าคือผู้เฝ้าเวียงแสนพรหม”
“ผู้เฝ้าเวียงแสนพรหม!?” แสงคำเบิกตากว้าง “แปลว่าข้าต้องเคารพเจ้าเหมือนพ่อเฒ่าสีเผือกตี้เฝ้าหมู่บ้านดงขมิ้นของข้าก่อ!”
“มันบ่ะใช่คน” แม่คำปันพูดเสียงเรียบ
“แล้วมันคืออะหยังเจ้าแม่?”
“เงาของอดีต”
“.....”
แสงคำขนลุกวาบ เธอจ้องมองร่างนั้นอีกครั้ง
มือที่แห้งผากเหมือนไม้แห้ง
ดวงตาขาวโพลนที่สะท้อนเพียงความว่างเปล่า
รอยยิ้มที่เหมือนไม่ได้เป็นของมนุษย์อีกต่อไป
“เจ้าว่าข้าเป็นเงาของอดีต… ถูกต้องแล้ว”
“เพราะข้า… เคยเป็นคนของเวียงแสนพรหม”
“ข้า… เคยมีชีวิต”
แสงคำตัวแข็งทื่อ หัวสมองพยายามประมวลผล
“ขะ… ข้ากำลังคุยกับผีที่ตายมาเป็นร้อยปีอยู่สินะ…”
“ข้าไม่ได้ตาย” ร่างนั้นพูดขึ้นเบา ๆ “แต่ข้าก็ไม่ได้มีชีวิต”
“เฮ้ย! แล้วเจ้าคือตั๋วอะหยัง!? ลองอู้ให้ข้าเข้าใจ๋ โดยบ่ะต้องมานั่งกึ้ดสักกำลอ!?”
“ข้าคือคำสาป”
“คำสาป… ที่รอพวกเจ้ากลับมา”
แสงคำหน้าซีดเผือด “ข้าจะเป็นลมแล้วแม่!”
แม่คำปันยังคงสงบนิ่ง แม้ว่าเธอจะรู้สึกได้ว่าสิ่งนี้พร้อมจะจู่โจมเธอและลูกสาว เธอจ้องมองร่างนั้นก่อนจะพูดขึ้นเสียงเรียบ
“เหตุใดเจ้าจึงเฝ้ารอเรา?”
“เพราะเจ้าคือคนที่ทำให้มันเกิดขึ้นเรื่องราว”
“หา! แสงคำแทบสำลักอากาศ ชี้ไปที่แม่คำปัน
“เจ้าหมายถึงแม่ข้ากา?”
ร่างนั้นส่ายหน้า… ก่อนจะหันมาจ้องแสงคำแทน
“ไม่ใช่นาง”
“แต่เป็นเจ้า”
“เฮ้ย! ข้าแหมแล้ว !”
แสงคำร้องเสียงหลง นี่มันจะโยนความผิดให้เธอจนถึงชาติหน้าหรือยังไง!
“ข้าเพิ่งเกิดมาได้สิบหกปีนะ! ข้ายังไม่มีปัญญาทำลายเมืองอะไรทั้งนั้น!”
“แต่เจ้าทำไปแล้ว”
“ไม่! ข้าไม่รับ เอาคำกล่าวหาคืนไป!”
“เจ้าต้องรับผิดชอบ!”
“ข้าบ่ะเอา!! ข้าเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาแถมงามน่าฮัก นิสัยดี ข้ายังไม่ได้แต่งงาน! ข้ายังไม่ได้กินขนมจอก(ขนมเทียน)ในงานปีใหม่เลย! กำอู้เจ้าบ่ะหน้าเชื่อถือ เจ้าจุ(โกหก)ข้ากับแม่ให้กลัวแน่ ๆ”
“ความจริงยังคงเป็นความจริง”
“ข้าจะปฏิเสธความจริงนี้!”
“แต่เวียงแสนพรหมไม่ปฏิเสธเจ้า”
“ฮื่อต๋ายเหียเต๊อะ อิเฮ้ย ! ข้าจะทำจะใดดี บอกแล้วเจ้าก่อบ่าฟัง งึดแต้ ๆ ผีขี้จุนี้นา”
แสงคำชักโมโห นี่หล่อนพูดความจริงไป ฝั่งนั้นก็ไม่เชื่อก็ยังยืนกรานคำพูดเดิม
“เวียงแสนพรหม… ยังคงรอเจ้า”
“ข้าจะบ่ะไป!”
“เจ้าต้องไป”
“ทำไมข้าต้องไป! “
ร่างนั้นยกมือขึ้นช้า ๆ ปลายนิ้วผอมแห้งชี้ตรงมาที่กลางอกของแสงคำ
“เพราะเจ้าคือผู้เดียวที่สามารถทำให้มันจบลงได้”
“จบอะหยัง! “
“คำสาป!”
“เฮ้ยยย! ข้าจะจบคำสาปได้หยั่งใด! ข้าสวดมนต์แปลยังผิด ๆ ถูก ๆ เลย บ่ะเอา ๆ !”
แม่คำปันยืนกอดอก มองลูกสาวที่เริ่มตื่นตระหนก
“เจ้าอาจจะทำได้มากกว่านั้น แสงคำ!”
แสงคำหันขวับไปมองแม่ ดวงตาเบิกกว้างเต็มที่
“แม่! เจ้าไม่คิดจะช่วยข้าเลยกา หรือแม่เป็นหมู่เดียวกับมัน ?”
“ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่”
“ข้าเจ้าหมายถึงช่วยให้ข้ารอดจากผีบ้าตัวนี้ บ่ะใจ้ช่วยให้ข้ารู้ว่าข้าต้องไปแก้คำสาปนั่น!!”
แม่คำปันถอนหายใจ จ้องลึกไปในตาของลูกสาว
“มันคือสิ่งที่เจ้าต้องเผชิญอยู่ดี หนีไม่พ้น”
“ข้ายังไม่พร้อม!”
“ไม่มีใครพร้อมสำหรับโชคชะตาของตนเอง”
“โอ้ยยย!! นี่แม่คำปันตัวจริง แม่นก่อ?”
ร่างนั้นเฝ้ามองสองแม่ลูกอยู่เงียบ ๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้ามาที่นี่… เพื่อส่งสาร”
แสงคำสะดุ้ง
“สารอะไร? ข้าบ่ะใจ้ขี้ข้าตาใสเป๋นนางรับใช้ในวังเวียงเน่อ!”
ร่างประหลาดนั้นจ้องมองเธอด้วยดวงตาว่างเปล่า ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเย็น
“หากเจ้าไม่ไปเวียงแสนพรหม… เมืองจะพังลงอีกครั้ง”
“และครั้งนี้… ไม่มีใครรอด”
“เฮ้ยย! ทำไมฟังดูเหมือนข้าถูกบังคับ!”
“เจ้าไม่ได้ถูกบังคับ”
“ถ้างั้นข้าขอปิ๊กบ้าน!”
“เจ้าไม่มีทางเลือก”
“อ้าววว! แล้วที่บอกว่าไม่ได้ถูกบังคับคืออะหยัง!”
ร่างนั้นไม่ตอบ มันค่อย ๆ ถอยหลังกลับเข้าไปในเงามืด
ก่อนจะพูดเป็นคำสุดท้าย…
“เวียงแสนพรหม… รอเจ้าอยู่”
จากนั้นมันก็หายไปเหมือนไม่เคยมีอยู่
แสงคำยืนตัวแข็งเป็นรูปปั้น ปากอ้าค้างราวกับกำลังจะกรีดร้องแต่ไม่มีเสียงออกมา
“แม่…”
“อะหยัง?”
“ข้าคิดว่าข้ากำลังฝันร้าย”
“บ่ะแม่น เจ้ากำลังตื่น และสิ่งที่เจ้าได้รับรู้คือเรื่องจริง”
“ข้ายืนยันว่ามันคือฝันร้าย!”
“ทำใจรับความจริงเถิดแสงคำ” แม่คำปันเอื้อมมือมาตบไหล่ลูกสาวเบา ๆ ราวกับกำลังปลอบโยน
“เพราะนี่… เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”
ป่าดงเลือดกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
หลังจากร่างของผู้เฝ้าเวียงแสนพรหมจางหายไป แสงคำยังคงยืนตัวแข็งทื่อ สมองเธอเต็มไปด้วยคำถาม เวียงแสนพรหมกำลังรอเธอ? เธอเป็นใครกันแน่? ทำไมทุกคนดูเหมือนจะรู้เรื่องของเธอ ยกเว้นตัวเธอเอง!
“แม่…” เธอหันไปมองแม่คำปัน “ไหนญาติผะกู๋นตี้แม่บอกว่าจะให้ข้ามาเจอ? แล้วเรื่องพ่อของข้าล่ะ”
แม่คำปันถอนหายใจ “เจ้ายังบ่ะเข้าใจเตื้อกา? ต๋อนนี้แม่พาเจ้ามาเจอเขาแล้ว ส่วนเรื่องพ่อของเจ้า เจ้าจะได้รู้หลังจากได้เข้าไปในเวียงแสนพรหมแล้ว”
“ข้ายังไม่อยากเข้าใจ!”
“ข้ายังพอมีสิทธิ์ปฏิเสธชะตากรรมของข้าอยู่ก่อ?”
“แม่ยอมรับว่าแม่จุเจ้า โกหกเจ้าว่าจะพามาเจอญาติผะกู๋น แม่ขอโทษ แต่ถ้าแม่บ่ะพาเจ้ามาที่นี่ ชีวิตเจ้าก่อจะบ่าเป๋นสุข รวมทั้งในหมู่บ้านเวียงขมิ้น หมู่เฮาตกลงกั๋นว่าจะให้เจ้า ซึ่งเป็นต้นเรื่องเป๋นคนแก้ไขเรื่องนี้ ซึ่งแม่แน่ใจ๋ว่าลูกจะแก้ไขมันได้และรอดชีวิตปิ๊กมา”
“ในคืนตี้เจ้าลักหนีไปในป่าดงเลือด อุ้ยคำก๋อง ป้าคำปัน กับแม่ ปากั๋นโตยไปเสาะหาเจ้า และเจอกับสิ่งนี้ มันหาเจ้าเจอ เพราะเจ้าออกไปหามันเอง และมันบอกให้ส่งตั๋วเจ้ามาหามัน ถ้าบ่ะอั้นคนในหมู่บ้านดงขมิ้น และเวียงแสนพรหมจะถูกทำลาย”
“ฮื่ออออ ปอเต๊อะ ข้าบ่ะไหวแล้ว!”
แสงคำฟุบหน้ากับฝ่ามือ เธออยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาให้ร้องอีกแล้ว
และในจังหวะที่เธอกำลังพยายามทำใจ
“วูบบบบ!”
เสียงใบไม้สั่นไหวดังขึ้นจากด้านหลัง!
แสงคำสะดุ้งเฮือก เธอหันขวับไปมองทันที
“แม่! มีอะหยังบางอย่างอยู่ในพุ่มไม้!”
แม่คำปันหันไปมองอย่างระวังตัว มือของเธอขยับไปแตะมีดสั้นที่เหน็บอยู่ข้างเอว
“ข้าเห็นแล้ว”
“เป็นผีแหมกา?”
“บ่ะน่าใช่”
แสงคำกลืนน้ำลายลงคอ ถ้าไม่ใช่ผี… มันก็ต้องเป็นอย่างอื่น ซึ่งฟังดูไม่น่าจะดีกว่าเท่าไรเลย!
พุ่มไม้ขยับอีกครั้ง
แล้วร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเงามืด!
“กรี๊ดดดดด!”
แสงคำเผลอกรีดร้องออกมา รีบกระโดดไปหลบหลังแม่คำปันแทบไม่ทัน!
แม่คำปันยกมีดขึ้นเตรียมป้องกันตัว แต่แล้ว
ร่างที่พุ่งออกมานั้น… กลับเป็นมนุษย์
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่แสงคำคุ้นหน้าคุณตาเป็นอย่างดี
ชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับเธอ มีผิวคล้ำจากการอยู่กลางแจ้ง เส้นผมยาวปรกไหล่ ดวงตาคมกริบและแฝงแววฉลาดเจ้าเล่ห์ เสื้อผ้าของเขาดูมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นดิน และมีรอยขีดข่วนเต็มแขนราวกับเพิ่งหนีอะไรบางอย่างมา
เขาหอบหายใจหนัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพวกเธอ
“ช่วยหมู่ข้าโตย!”
“หา?” แสงคำตะโกน “เจ้ามาขอให้ข้าช่วย!? ข้ากำลังจะเป็นลมอยู่แล้วนา!”
“ข้าพึ่งเห็นผีป่าเมื่อครู่นี้เอง!” ชายหนุ่มร้อง “เจ้าคิดว่าข้าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”
“ข้าก็เพิ่งเจอเหมือนกัน!”
“งั้นเราคงมีชะตากรรมเดียวกัน!”
“....”
ชายหนุ่มไม่สนใจว่าแสงคำจะพูดอะไร เขารีบวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังพวกเธอทันที
“มังคละ ...เจ้ากลัวอะหยัง …” แม่คำปันยังพูดไม่ทันจบ
“กรรรรร!”
เสียงคำรามต่ำดังมาจากพุ่มไม้ที่ชายหนุ่มพุ่งออกมา!
“แม่! ข้าว่าผีตามเขามาด้วยแน่ ๆ!” แสงคำตะโกนเสียงสั่น
แม่คำปันขยับมีดในมือแน่นขึ้น ดวงตาของเธอหรี่มองพุ่มไม้ที่ไหวติงราวกับกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง
“เฮ้ย ๆ ๆ ๆ! นั่นมันอะหยัง?” แสงคำหันไปกระชากคอเสื้อชายหนุ่ม “เจ้าลากอะหยังมาหาข้าอีก! “
“ข้ายังบ่ะฮู้! ข้ายังบ่ะอยากฮู้เตื้อ!”
“แต่ข้าต้องฮู้แล้วตอนนี้!”
ทันใดนั้นเอง…
บางสิ่งก็ก้าวออกมาจากพุ่มไม้
มันไม่ใช่ผี ไม่ใช่เงา แต่เป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น
มันเป็นร่างของมนุษย์… ที่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
ผิวของมันซีดขาวเหมือนกระดาษ ริมฝีปากมีรอยเย็บปิดสนิท
ดวงตา… เต็มไปด้วยความว่างเปล่า
แต่ที่น่ากลัวที่สุด…
คือมันไม่ได้มาเพียงตัวเดียว
มันมีหลายตัว
พวกมันยืนเรียงกัน ก่อนจะหันมาจ้องพวกเขาพร้อมกัน
และชายหนุ่มข้าง ๆ แสงคำก็ตะโกนออกมาเสียงสั่น
“มันกลับมาแล้ว!”
“เฮ้ยยยยยยย!” แสงคำแทบจะพุ่งออกไปวิ่งหนีทันที
“มันคืออะหยังน่ะ?”
ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด “ข้าไม่รู้! ข้าแค่รู้ว่าข้าเจอมันก่อนพวกเจ้า!”
“แล้วเจ้าไปทำอะหยังให้พวกมันโกรธ?”
“ข้าหายใจอยู่เฉย ๆ!”
“เจ้ามีสิทธิ์หายใจโตยกา?”
“ถ้าข้าไม่มีสิทธิ์ ข้าก็คงตายไปแล้ว!”
แม่คำปันตัดบทเสียงเรียบ “ทั้งสองคน หยุดเถียงกันได้แล้ว”
“เราต้องสู้ เราต้องร่วมมือกัน ไม่งั้นตายหมู่แน่ !”
“แม่... ว่าไปเรื่อย ไผจะไปสู้กับผีน่ากลัวขนาดนั้นได้ ข้าขอหนีปิ๊ก” แสงคำร้องลั่น
“เจ้าใช้คำว่าเราหมายถึงข้าต้องสู้โตยก๋า?”
มังคละถามน้ำเสียงสั่น ใบหน้าซีดเผือด หันรีหันขวางไปมา ถามแม่คำปัน
“เจ้ามีทางเลือกหรือ?”
“ข้าไม่มี!”
“แต่ข้ามี…!”
แสงคำสวนขึ้นมา หล่อนถลึงตาใส่มังคละ พลางกวาดตามองหาบางอย่างที่พื้นดิน
แม่คำปันมองเธอนิ่ง ๆ
แสงคำคว้าท่อนไม้แถวนั้นมาถือไว้แบบขาสั่น
“เจ้าสู้เป็นก่อ?” ชายหนุ่มถาม
“ข้ายังไม่รู้! แต่ข้าต้องรู้เดี๋ยวนี้แล้วล่ะ!”
แม่คำปันชักมีดออกมาเต็มมือ จ้องมองร่างประหลาดที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้
“มันพุ่งเข้ามาแล้ว!”
แสงคำแทบขว้างไม้ในมือทิ้ง ขาของเธอแทบจะวิ่งหนีไปเองโดยอัตโนมัติ
“อย่าหยุด! ตั้งหลักไว้!” แม่คำปันสั่งเสียงเฉียบขาด
“ข้าตั้งหลักจะเผ่นแล้ว!”
“ตั้งหลักสู้ ไม่ใช่ตั้งหลักหนี!”
“ข้าชอบแบบหลังมากกว่านะ!”
“งั้นก็เตรียมโดนมันลากไปเป็นพวก”
“หา!”
แสงคำหน้าซีดเผือด เธอหันไปมองร่างประหลาดที่กำลังพุ่งเข้ามา ดวงตาว่างเปล่าของพวกมันเหมือนกำลังจ้องจะกลืนกินเธอ
“โอ้ยยยย! ข้าต้องสู้กับผีป่าผีบ้าแต้ ๆ กานี่ ! แล้วมันเป๋นเวรเป๋นกรรมอะหยังของข้าน่ะ หึ้ย !! “
มังคละยืนข้าง ๆ แสงคำ เขาหันไปส่งยิ้มให้เธอแบบสบาย ๆ ทั้งที่สถานการณ์กำลังบ้าคลั่งสุดขีด
“เจ้าสู้เป็นหรือเปล่า?”
“ข้าเพิ่งถือท่อนไม้ครั้งแรกในชีวิตนะ!”
“ดีเลย” มังคละยิ้มกว้างขึ้น
“ดีอะหยัง! นี่กาดี เจ้าสติฟั่นเฟือนไปแล้วกา ?“
“ข้าจะได้เห็นว่าสาวน้อยอย่างเจ้าต่อยตีเป็นหรือไม่”
“เฮ้ย! ข้าไม่ใช่นักสู้!”
“ก็ลองเป๋นดูก่า”
“ข้ายังบ่ะอยากลองอะไรใหม่ ๆ ในตอนนี้!”
มังคละหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับร่างประหลาดที่พุ่งเข้าใกล้
“เจ้าเป็นใครกันแน่!?” แสงคำถามเสียงดัง
มังคละกระชับดาบเหล็กที่เหน็บอยู่ข้างตัว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“ข้า? ข้าไผบ่าสำคัญ แต่ตอนนี้เรากำลังจะต๋ายกั๋นหมด หลบไปก่อนมันมาแล้ว ถ้าบ่ะหลบเจ้าก่ะหันหน้าไปสู้กับมัน”
“โอ้ย! ตอนนี้ข้าหิวข้าวขนาด พรุ่งนี้ค่อยสู้ได้ก่อ?”
“พรุ่งนี้เจ้าจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่าข้ายังบ่ะแน่ใจ๋เน่อ”
“บ่าวอกนิ! บ่าควายหงาน !มาแช่งข้า !”
ก่อนที่แสงคำจะได้ด่าอะไรเพิ่ม
“ฟุ่บบบบ!”
ร่างประหลาดตัวหนึ่ง พุ่งเข้าใส่มังคละอย่างรวดเร็ว!
แต่เขาหลบออกข้างได้ทัน ก่อนจะเหวี่ยงดาบเหล็กเข้าใส่กลางหลังของมัน
“พลั่ก!”
ร่างนั้นล้มลงไปกับพื้น แต่มันยังไม่หยุดเคลื่อนไหว!
“โอ๊ย! ข้าบ่ะไหวแล้ว!”
แสงคำตะโกนลั่น เธอเตรียมจะหันหลังวิ่งหนีอีกครั้ง
แต่แล้ว
“เฮ้! อย่าขยับ!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง!
แสงคำสะดุ้งเฮือก เธอหันไปมองแล้วตาแทบถลน
มีคนเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน!
เด็กหนุ่มหน้าตาคมเข้มท่าท่างกล้า ๆ กลัว ๆคนหนึ่ง กับหญิงสาวร่างเล็กที่ถือหน้าไม้
“พวกเจ้ามาได้ยังไง!” แสงคำร้องเสียงหลง
“ข้าตามไอ้มังคละมา!” เด็กหนุ่มคนนั้นพูด เขาถือหอกสั้นอยู่ในมือ ท่าทางคล่องแคล่ว
“ข้าเองก็เหมือนกัน!” หญิงสาวพูดเสียงเรียบ เธอขึ้นลูกธนูในหน้าไม้พร้อมยิง
“เจ้าตึงสองคนอยู่หมู่บ้านเวียงขมิ้นนี่! “
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง “แม่นแล้ว ! ข้าบุญปั๋น! หลานอุ้ยเครือ เจ้าของนาและร้านขายคัวตี้ใหญ่ตี้สุด ละก่อเป๋นนักล่าสัตว์แห่งหมู่บ้านเวียงขมิ้น!”
หญิงสาวถอนหายใจ “ข้าจันทร์ผา… ผู้ที่มีโชคร้ายต้องมาอยู่กับพวกบ้ากลุ่มนี้”
“โคะ ! แต่ละคน ดูเหมือนว่าจะเอาตั๋วบ่รอดสักคน เฮ้อ กรรมของแสงคำแต้ ๆ”
“ข้าพอรู้จักเจ้าทุกคน ข้าหันสูเขามาแต่ละอ่อน แต่ข้าไม่มีเวลาฟังพวกเจ้าแนะนำตัวแล้วนะ!” แสงคำร้องลั่น “ข้าต้องการแผนการ!”
“แผนการง่ายมาก” จันทร์ผาพูดพลางยิงหน้าไม้ใส่ร่างประหลาดตัวหนึ่ง ลูกธนูปักเข้าที่กลางหน้าอกของมัน… แต่มันยังไม่หยุดขยับ!
“เฮ้ย !” แสงคำแทบจะโยนท่อนไม้ในมือลงกับพื้น “ชิบหายละ ! ยิหยังมันบ่ะต๋าย! “
“เพราะมันต๋ายไปแล้ว” แม่คำปันพูดเสียงเรียบ เธอเหวี่ยงมีดในมือ ฟันเข้าที่แขนของร่างประหลาดอีกตัวจนมันถอยหลังไป
“แม่! ข้ากำลังตายไปพร้อมกับเรื่องใหม่ที่ข้าบ่ะต้องการรู้!”
“งั้นก็สู้ซะ”
“ข้ายังไม่รู้วิธีสู้!!”
“ง่ายมาก” บุญปั๋นพูดขึ้น เขายกหอกขึ้นและพุ่งใส่ร่างหนึ่งที่พยายามเข้ามาใกล้
“เล็งที่หัว”
“เฮ้ย!! นี่มันบ่ะใช่ไก่ในเล้าบ้านแม่อุ้ยเฮานา!!”
“ฟาดเลยแสงคำ!” มังคละตะโกน
“ฟาดอะหยัง! ข้ายังไม่รู้ว่าข้าถนัดอาวุธชนิดใด!”
“ลองอันที่อยู่ในมือเจ้านั่นแหละ!”
แสงคำหันไปมองท่อนไม้ที่เธอถืออยู่ มันเป็นแค่ไม้ธรรมดาที่เธอหยิบมาแบบขาดสติ
“ข้าบ่ะแน่ใจว่ามันจะช่วยอะไรข้าได้นะ!”
“งั้นก็หาวิธีที่มันช่วยเจ้าได้!”
“เฮ้ยยยย! นี่ข้าถูกบังคับให้เป็นนักรบโดยไม่มีการฝึกแม่นก่อ?”
“อู้แหมก่อถูกแหม ลุย !! รอฮื่อมันมาฉีกอกเจ้ากา สู้ !”
“นั่น ! เฮ้ย ! ห้ามเข้ามาใกล้ข้า !!”
ร่างประหลาดตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่แสงคำ!
เธอหลับตาปี๋
“โครม!”
เธอเหวี่ยงท่อนไม้ไปข้างหน้าโดยสัญชาตญาณ!
และมันกระแทกเข้ากับหัวของร่างนั้นเต็ม ๆ
“เปรี๊ยะ!”
หัวของมันบิดไปด้านข้าง
ร่างนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะทรุดลงกับพื้น และไม่ขยับอีกเลย!
แสงคำหอบหายใจ เธอไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
“ข้า… ข้าฟาดมันทีเดียวแล้วมันล้มเลยกา! “
มังคละหัวเราะเสียงดัง “ข้าว่าเจ้าอาจจะถนัดอาวุธหนักก็ได้นะ!”
“หา! เจ้าว่าอะหยังเก๊าะ”
บุญปั๋นพยักหน้า “ดูเหมือนเจ้าจะมีพลังมากกว่าที่คิด”
จันทร์ผามองเธอด้วยสายตาประเมิน “หรือเจ้าอาจเคยเป็นนักรบมาก่อน”
“เฮ้ย! อย่ามาเดาอะหยังไปเรื่อยใส่ข้าก่ะ!มันบังเอิญเฉย ๆ”
แม่คำปันยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันไปมองร่างประหลาดที่ยังเหลืออยู่
“ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร…”
เธอชักมีดขึ้นอีกครั้ง
“พวกมันยังไม่หมด”
แสงคำกลืนน้ำลาย ก่อนจะกำไม้ในมือแน่น
“ถ้าจะอู้บ่ะฮู้เรื่องขนาดนี้”
“สู้ตายก็ได้วะ!”
“เจ้าว่าตอนนี้หมู่เฮาบ่ะต้องเจอผีสางปีศาจแหมแล้วแม่นก่อ?”เสียงของมังคละถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ หลังจากเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายที่วิหารศิลากัลป์จบลง ทุกคนกลับมารวมตัวกันในหอเจ้านาง เพื่อหารือถึงสิ่งที่เกิดขึ้น“ข้าว่ามันหยั่งใดบ่ะฮู้” มังคละพูดต่อ “ถ้ามันจบแต้แล้ว ยิหยังตราศิลากัลป์ถึงยังมีแสงแดงส่องวาบเป็นระยะล่ะ?”แสงคำมองไปที่ตราศิลากัลป์ที่วางอยู่บนพาน แสงสีแดงริบหรี่นั้นยังคงเต้นระยิบระยับ ราวกับบางสิ่งกำลังรอจังหวะปะทุอีกครั้ง“เจ้ามันกึ้ดนัก(คิดมาก)ไปเองหรอกมังคละ?” บุญปั๋นพูดพลางขยับตัวออกห่างจากพานเล็กน้อย “อย่าให้มันมีเรื่องอีกเลยเถอะ… ข้าขออยู่แบบสงบ ๆ สักสองวันก็ยังดี!”“ข้าว่า… มังคละอาจพูดถูก” เจ้าเมืองศิลป์แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “วิญญาณของเจ้ามหาคำหลวงอาจหลุดพ้นแล้ว… แต่คำสาปนั้น…”“ยังไม่หมดไป” แสงคำพูดเสียงแผ่ว สายตาแน่วแน่จ้องตราศิลากัลป์ไม่กะพริบป้าคำป้อที่นั่งเงียบอยู่นาน พลันพูดขึ้นว่า...“ยังมีวิญญาณอีกดวง… ที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย”“ใครอีกล่ะป้า!?” บุญปั๋นร้อง “ข้าขนลุกหมดแล้วนะ!”“ข้ากำลังจะบอกว่า…” ป้าคำป้อหันมาสบตาทุกคน “ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคำสาปนี้
“ข้าไม่ชอบเลย…” แสงคำพึมพำ “หมอกนี้… มันแปลกเกินไป”“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน” เจ้าเมืองศิลป์เดินเข้ามายืนข้าง ๆ “ข้าว่า… มันไม่ได้เป็นหมอกธรรมดา”แสงคำยืนอยู่บนกำแพงเมืองของเวียงแสนพรหม สายตาจ้องมองไปยังทิวเขาที่เคยสว่างไสว แต่ตอนนี้ถูกหมอกทึบปกคลุมจนมืดครึ้มราวกับหุบเขาปีศาจเวียงแสนพรหมในตอนรุ่งเช้า...หมอกหนาจัดแผ่ปกคลุมทั่ว ราวกับม่านสีเทาหนาเตอะที่บดบังทุกสิ่งจนแทบมองไม่เห็นปลายทาง “ข้าก็ว่าแบบนั้น” จันทน์ผาเสริม “หมอกนี้มีกลิ่นเหมือนควันธูปจาง ๆ ด้วย…”“แล้วพวกเจ้าคิดว่า…” มังคละเอ่ยเสียงเครียด “หมอกนี้มันเกี่ยวกับอสุราแห่งคำสาปก่อ?”“ถ้ามันใช่…” บุญปั๋นพึมพำ “งั้นหมอกนี่… อาจไม่ใช่แค่หมอกก็ได้…”พวกเขาเก็บความสงสัยไว้ และนำเรื่องที่มาปรึกษากันในเรือนพักของแสงคำ ขณะที่กำลังแสดงความคิดเห็นกันอยู่นั้น“ก๊อกๆๆ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าเรือนพัก ทุกคนสะดุ้งพร้อมหันไปมองทันที“ไผน่ะ?” แสงคำเอ่ยถาม“ข้าเอง…” เสียงของชายชราสั่นเครือดังลอดเข้ามา “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเจ้า…”เมื่อประตูเปิดออก ชายชราผู้หนึ่งก้าวเข้ามาช้า ๆ เขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซีดเผือดราวกับไร้เลือดฝาด“ท่าน
“โหหห…วับวิบละลานตาข้าขนาด!”บุญปั๋นถึงกับหลุดคำอุทาน เมื่อสายตากวาดผ่านห้องสมบัติเก่าแก่ตรงหน้าทองคำแท่งเรียงซ้อนเป็นชั้น เหรียญเงินโบราณที่มีตราสัญลักษณ์ประหลาด อัญมณีที่ส่องแสงเยือกเย็นเหมือนแช่น้ำแข็งมาร้อยปี ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แสงคบเพลิงที่ไม่รู้จุดขึ้นเองได้ยังไง...เขาเดินเข้าไปช้าๆ หัวใจเต้นตุบตับแต่ยังไม่ทันได้แตะสมบัติ...เสียงเย็นเยียบ กังวาน ราวกับลมพัดจากปล่องนรก ดังขึ้นจากมุมมืดของห้อง“ข้า... ยังไม่อนุญาต...”เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่หนักแน่นจนพื้นสะเทือนบุญปั๋นสะดุ้ง หันขวับไปทางเสียง เหงื่อแตกซิกจากเงาดำมืดหลังเสาไม้ผุ เงาตะคุ่มรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏ ดวงตาสีแดงฉาน ลุกโชนราวกับถ่านไฟเขาก้าวออกมาช้าๆ ผ้าคลุมสีดำยาวลากพื้น ไหลลมไม่มีลมพัดฝ่าเท้าไม่ได้สัมผัสพื้น... เขาลอยศรีพงษา... ปรากฏกาย“เฮ้ย !! ศรีพงษา? มาได้หยั่งใด เจ้าต๋ายไปแล้วบ่ะใจ้กา ”“แล้วใคร... บอกเจ้าว่าความตายจะหยุดข้าได้?”เสียงศรีพงษาเยือกเย็น แต่ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยแววโกรธแค้นสะสมพันปี“ข้า... รักษาขุมทรัพย์นี้ไว้ด้วยชีวิต และแม้แต่หลังความตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์แตะ!”บุญปั๋นถอยหลังจนสะดุดกองทอง มือไม้
เวียงแสนพรหม คืนสู่ความสงบอีกครั้งหลังจากพายุแห่งความวุ่นวายผ่านพ้นไป...แสงคำยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์ส่องแสงนวลตา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความกังวลแม้เจ้าเมืองศิลป์จะฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว... แต่บางอย่างยังคงคลุมเครือและดูเหมือนความกังวลนี้จะทำให้แสงคำเครียดยิ่งขึ้น“ข้าว่าข้าควรดีใจที่เรื่องมันจบแล้วนะ…” แสงคำพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“แต่ใจข้ายังรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่”“ข้าก็เหมือนกัน” เอื้องฟ้า ซึ่งในชาติปัจจุบันคือป้าคำป้อของเธอเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้มัน… ง่ายเกินไป”“โอยน่อ !” มังคละร้องเสียงหลง “นี่เจ้ายังคิดว่าเรื่องมันง่ายอยู่แหมกานิ!”“แม่น” เอื้องฟ้าตอบจริงจัง “ข้าว่ามีบางอย่าง… ที่หมู่เฮายังบ่ะฮู้กั๋นแต้เตื้อ”“เจ้าอย่ามาหลอกข้านักนา!” บุญปั๋นร้องลั่น “ข้าอิดข้าเหนื่อยจ๋นจะเป็นลมแล้วเนี่ย!”“แล้วถ้ามันยังมีอะหยังโผล่มาแหม เจ้าจะเยียะจะใด จะทำยังไง ฮือ พ่อหนุ่มนักหนี?” เอื้องฟ้าเลิกคิ้ว“ก็… ก็…” บุญปั๋นหันไปมองจันทน์ผาที่หน้าเริ่มซีดไม่แพ้กัน“ข้า… ข้าจะอยู่ข้างหลังเจ้าไง”“เฮ้ย!” จันทน์ผาแหวเสียงสูง “ใครอยากเป็นโล่ให้เจ้ากันเล่า!”“พอ ๆ เถอะ!” แสงคำตวาดขึ้นพลางตบมือดังป
“ระวังฮื่อดี !”คำพูดของอุ้ยคำก๋องดังก้องอยู่ในหัวของแสงคำ ราวกับเสียงระฆังเตือนภัยที่บอกว่าเรื่องเลวร้ายยังไม่จบ“ห้ะ! “ แสงคำร้องเสียงหลง “ก่อตะกี้ศรีพงษาโดนข้าสลายร่างเป๋นปุ๋ยไปแล้วบ่ะใจ้กาเจ้าแม่อุ้ย?”“แม่น” อุ้ยคำก๋องพยักหน้า “แต่ศรีพงษาเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น”“เบี้ยตัวหนึ่ง หมายถึงลูกหาบลูกน้องแม่นก่อเจ้า เอ่อนั่น ! ไปกั๋นใหญ่ละทีนี้?”แสงคำอ้าปากค้าง “แล้วตัวจริงมันเป๋นไผเจ้าแม่อุ้ย?”อุ้ยคำก๋องจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ…“ตัวจริง… คือปีศาจที่หลับใหลอยู่ใต้วิหารศิลากัลป์นี้”“และมันกำลังจะตื่นขึ้นมา”“โอ้ย! อะหยังแหมล่ะเนี่ย!” แสงคำโอดครวญพลางขยุ้มผมตัวเอง“ข้าแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาที่อยากปิ๊กบ้านไปกิ๋นข้าวกับแม่อุ้ยคำก๋อง! ยะหยังต้องมาสู้กับปีศาจโตยกา?”“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาอีกแล้ว” เอื้องฟ้าแทรกขึ้น “เจ้าคือผู้ที่สืบสายเลือดเจ้านางแห่งเวียงแสนพรหม…”“และเจ้านั่นแหละ…” อุ้ยคำก๋องเสริมเสียงหนักแน่น“ต้องเป๋นเจ้านางสร้อยคำเต้าอั้นที่จะหยุดปีศาจตนนั้นได้”“โอ๊ย! ทำไมทุกอย่างต้องมาลงที่ข้าด้วย!”“เพราะเจ้าสร้างมันขึ้นมา”“เฮอะ !” แสงคำหันขวับไปทางอุ้ยคำก๋อง “
“อย่าคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าไม่ใช่ผู้ชนะ…”“…เพราะมันกำลังมา”เสียงกระซิบจากเงามืด… ฟังดูทั้งแผ่วเบาและน่าขนลุกจนทุกคนเย็นวาบไปทั้งตัว“อะหยังแหมเหมาะ! ไผแหมล่ะเนี่ย? มาติก ๆ บ่ะฮู้จักจบจักสิ้น”แสงคำบ่นปนเดือดดาล ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด“ป้อเฒ่ามันก่ะ ! นี่มันจะมีผีกี่ตั๋วกันแน่?”มังคละมองซ้ายมองขวา “ข้าว่าข้าจะเริ่มนับจำนวนผีไว้แล้วนะ… นี่ตัวที่หนึ่งร้อยห้าแม่นก่อ?”“หนึ่งร้อยหกแล้วจ้า” บุญปั๋นเสริมหน้าตาย “ข้านับมาตั้งแต่ที่หมู่บ้านแล้ว”“เอ่อ… พวกเจ้าช่วยเครียดกับข้าพ่องได้ก่อ?”อินทร์แปงเอนตัวพิงกำแพง ร่างของเขาอ่อนแรงจากการใช้พลังมหาศาลในการสู้เมื่อครู่“เสียงเมื่อกี้…”เขาพูดช้า ๆ พลางหายใจแรง“มันไม่ใช่เสียงของเสนาบดีศรีพงษาแน่นอน”“ข้าเห็นด้วย”จันทน์ผาพยักหน้า “เสียงนี้… ฟังดูเหมือนบางสิ่งที่อยู่มานาน… นานยิ่งกว่าศรีพงษาเสียอีก”“ปั๊ดโทะ?”แสงคำเบิกตาโต“อย่าบอกนะว่าเรากำลังรับมือกับตัวร้ายตำนานตัวป้อตัวแม่ ที่เป๋นตัวต้นตระกูลสิ่งชั่วร้ายของทั้งหมด ขั้นสูงสุด อะหยังสักอย่างน่ะ!”มังคละถอนหายใจหนัก ๆ“ข้าว่าตั้งแต่เจ้าก้าวเท้าเข้ามาในเวียงแสนพรหม… ชีวิตเจ้าก็เป็นตำนานไปแล