“ท่านย่าทานเนื้อเจ้าค่ะ เม่ยเอ๋อร์คีบให้ท่าน” ซูเม่ยคีบเนื้อหมูป่าตุ๋นให้ชุนฉือผู้เป็นย่า เด็กสาวยิ้มแย้ม พูดคุยอย่างอารมณ์ดี ต่างจากลี่มี่และลี่หมิงที่บัดนี้นั่งทานข้าวเงียบๆ ยิ่งเห็นครอบครัวของท่านลุงอยู่กันพร้อมหน้าเช่นนี้ นางยิ่งอดที่จะคิดถึงท่านพ่อท่านแม่มิได้
“ขอบใจเจ้ามาก หลานรักของย่า”
“มี่เอ๋อร์กับอาหมิงก็รีบทานเข้าเถิด หากมิยอมทานข้าวทานปลาเช่นนี้ บิดามารดาของพวกเจ้าจะหมดห่วงได้อย่างไร” ชุนไห่คีบอาหารใส่ชามข้าวให้หลานทั้งสอง เขามิรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้ทั้งคู่หายเศร้าโศก เดิมทีหลานสาวของเขาน่ารักสดใส ช่างพูดช่างจา แต่บัดนี้กลับนิ่งเงียบ คงต้องอาศัยเพียงเวลาเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาบาดแผลในใจของหลานชายและหลานสาวได้
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” / “ขอบพระคุณขอยับท่านยุง”
“มี่เอ๋อร์ทานให้มากหน่อย มิมีบิดามารดาหาเงินมาเลี้ยงดู เจ้าคงต้องทำหน้าที่หาเงินเข้าตระกูลแทน ใช่หรือไม่เจ้าคะท่านแม่” รอยยิ้มอ่อนโยนของป้าสะใภ้ มิได้ทำให้ลี่มี่ซึ้งใจแม้แต่น้อย นางคิดไว้อยู่แล้วว่าชีวิตหลังจากที่มิมีท่านพ่อท่านแม่ นางจะต้องสู้รบตบมือกับคนเหล่านี้อีกมาก ทั้งยังเตรียมใจมาพบกับความลำบากมาเป็นอย่างดีแล้ว
สิ่งเดียวที่นางทำได้ตอนนี้คือ อดทน อดทนเพื่อให้ตนเองและน้องชายมีที่ซุกหัวนอน ด้วยตอนนี้นางมิมีงานทำ ทั้งเงินที่ท่านพ่อท่านแม่ทิ้งเอาไว้ คงจะไม่เพียงพอ หากว่านำไปเช่าบ้านอยู่ด้วย นางจึงคิดว่าจะอดทนอยู่ที่นี่ไปก่อน หากว่านางมีลู่ทางทำมาหากินและได้เงินมามากพอ ค่อยขยับโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น
“อืม เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว จะมานั่งๆ นอนๆ ขอข้าวขอน้ำกินไปวันๆ ได้อย่างไร” ชุนฉือพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่สะใภ้ว่า จะให้อาไห่และอาเต๋อหาเลี้ยงทั้งครอบครัวคงจะลำบากไม่น้อย
“แต่มี่เอ๋อร์เป็นหญิง ทั้งยังมิพ้นวัยปักปิ่น จะให้ออกไปทำงานนอกเรือนคงจะไม่เป็นการดีนักขอรับท่านแม่” ชุนไห่เอ่ยค้านออกมา
“แล้วท่านพี่จะหาเลี้ยงพวกเราไหวหรือเจ้าคะ เพียงแค่ครอบครัวเรา ท่านก็ลำบากมากพอแล้ว อีกไม่นานอาเต๋อก็ต้องแต่งสะใภ้เข้าสกุล ค่าของหมั้นต่างๆ เรายังมิมีเลยนะเจ้าคะ นี่ยังมีภาระเพิ่มมาอีก…” ชุนเจียงกล่าวด้วยน้ำเสียงหวานหยดตามแบบของนาง ทว่าเนื้อความนั้นกลับเชือดเฉือนใจผู้ฟังจนเป็นแผลลึก
“ท่านป้าเอ่ยได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะท่านลุง อีกอย่างอายุของข้าก็โตพอที่จะทำงานหาเงินได้แล้ว มิใช่เด็กๆ ที่จะละเล่น แต่งเนื้อแต่งตัวไปวันๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะท่านป้า” ลี่มี่ฉีกยิ้มหวาน พลางปรายตามองไปทางสองแม่ลูกชุนเจียงและชุนซูเม่ยอย่างท้าทาย
“…” เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสองแม่ลูก ลี่มี่ก็หัวเราะร่าอยู่ในใจ จะมิให้สองแม่ลูกนั่นหน้าเสียได้อย่างไร ก็สองแม่ลูก มิคิดจะทำสิ่งใด อยู่เรือนแต่งตัวอวดโฉมไปวันๆ
“อ่อ ส่วนเรื่องทำงานหาเงิน ท่านลุงมิต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าพอจะมีฝีมือปักผ้าอยู่บ้าง หาปลา ล่าสัตว์เล็กก็พอจะทำได้ ท่านย่าและท่านป้ามิต้องกังวล ว่าข้าและน้องชายจะไปเป็นภาระให้ท่านลุงและพี่ชุนเต๋อ”
“อย่าถือว่าตนเองเก่งกาจให้มากนักเลย หึ! เหมือนแม่มิมีผิด” ยังมิทัน ที่ลี่มี่จะตอบกลับ ผู้เป็นย่าก็วางตะเกียบและลุกออกจากโต๊ะอาหารไป
“มี่เอ๋อร์อย่าได้ใส่ใจคำพูดของท่านย่าเลย ทานข้าวต่อเถิด” ชุนเต๋อเห็นตากลมของน้องสาวแดงก่ำ จึงคิดว่านางคงนึกถึงมารดาขึ้นมา
ท่านย่ามิน่าเอ่ยถึงอาสะใภ้เลย มิสมควรเลยจริงๆ
หลังจากทานมื้อเช้า ลี่มี่ก็กระเตงน้องชายไปหางานปักผ้าที่เรือนของผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านของนางเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเมืองของเมืองซูโจว ใช้เวลาเดินทางด้วยเกวียนไม่ถึงสองชั่วยาม (4 ชั่วโมง) ก็ถึงตัวเมือง ด้วยเหตุนี้จึงมักมีงานให้เลือกทำหลากหลาย บ้างก็จ้างปักถุงหอม สานตะกร้า และงานฝีมืออื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเรือนผู้ใหญ่บ้านก็จะเป็นที่รับฝากงานต่างๆ ไว้ ให้ลูกบ้านที่ต้องการหาเงินทองมารับไปทำ
“อ่าว ลี่มี่ เจ้ามาทำอันใดหรือ”
“คำนับคุณชายกวนเจ้าค่ะ”
“คำนับคุณชายกวนขอยับ” สองพี่น้องโค้งตัวคำนับบุตรชายผู้ใหญ่บ้านอย่างนอบน้อม
“ข้ามาของานปักไปทำเจ้าค่ะคุณชายกวน ช่วงนี้พอจะมีคนมาจ้างหรือไม่เจ้าคะ” ลี่มี่เอ่ยถามออกไป ตอนที่มารดาของนางยังมีชีวิตอยู่ ท่านแม่ก็พานางมาของานที่เรือนผู้ใหญ่บ้านไปทำเช่นกัน
“มีสิ แต่ก่อนอื่น…เจ้าหยุดเอ่ยเรียกข้าว่าคุณชายก่อนเถิด คนกันเองทั้งนั้น เรียกพี่อู๋ท่งก็พอแล้ว อีกอย่างข้าเป็นเพียงบุตรชายผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น” กวนอู๋ท่งกล่าวอย่างมิถือตัว พลางเดินนำลี่มี่และลี่หมิงไปรับงานปักจากมารดาของเขา
งานปักที่ลี่มี่ได้รับมา เป็นงานปักถุงหอมกว่าห้าสิบถุง คาดว่าคงใช้เวลากว่าห้าวันจึงจะแล้วเสร็จ ด้วยลวดลายที่ผู้จ้างวานต้องการนั้นยากมากทีเดียว แต่แน่นอนว่า ค่าตอบแทนย่อมสูงตามไปด้วย หากว่าทำแล้วเสร็จตามเวลา ลี่มี่ก็จะได้เงิน 200 อีแปะ เด็กสาวจึงเร่งงานให้เสร็จตามเวลา ยิ่งเร็วยิ่งดี นางจะได้มีเวลาไปรับงานอื่นมาทำ
หลังจากที่ปักถุงหอมแล้วเสร็จ ลี่มี่ก็เทียวไปขอรับงานจากเรือนผู้ใหญ่บ้านเป็นว่าเล่น เงินที่ได้มานางแบ่งให้ท่านย่าถือเป็นค่าข้าวปลาอาหารของพวกนางหนึ่งในสามส่วน อีกสองส่วนที่เหลือแอบเก็บเอาไว้ แต่ด้วยกลางวันนางต้องทำงานบ้านไปด้วย จึงต้องถ่างตาทำงานปักในตอนกลางคืนแทน
คำเตือน เนื้อหาในตอนพิเศษนี้จะเกี่ยวข้องกับความรักแบบชายรักชายแต่เล็กจนโตหวังเยี่ยนและลี่หมิง มิเคยทำให้ลี่มี่หนักใจได้เท่าวันนี้ คำพูดของเด็กหนุ่มทั้งสองยังคงวนอยู่ในศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า“เจ้าว่าอย่างไรนะ”“ข้ารักอาหมิงขอรับ รักแบบคู่รัก มิใช่พี่น้องหรือเพื่อนพ้อง” หวังเยี่ยนเอ่ยอย่างหนักแน่น ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ก้มหน้ามิกล้าสู้หน้าพี่สาว“…แล้วเจ้าเล่าอาหมิง” ลี่มี่สูดหายใจเข้าเต็มอก ต้องยอมรับว่านางตกใจอยู่บ้าง ด้วยคิดว่าเด็กหนุ่มทั้งสองสนิทสนมกันเพราะถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน มิคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้“ขอรับ น้องเองก็คิดเช่นเดียว อึก! กับคุณชาย” รู้อยู่เต็มอกว่าผิด และรู้ดีว่าไม่มีบิดามารดาคนใดอยากให้บุตรหลานเป็นเช่นนี้ แต่เขาและคุณชายก็ยังหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจและยอมรับในตัวตนของพวกเราได้“เห้อ”“คราแรก ข้ามิคิดจะเอ่ยบอกเรื่องนี้กับผู้ใด แต่ไม่กี่วันมานี้ ท่านพ่อเอ่ยกับข้าและอาหมิงเรื่องแต่สตรีเข้าสกุล แม้อยากจะทดแทนบุญคุณที่พวกท่านเลี้ยงดูข้ามา แต่ข้าก็มิอาจฝืนใจตนเองได้” หวังเยี่ยนและลี่หมิงทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าลี่มี่“ฮึก”“ขอท่านแม่ช่วยพูดกับท่านพ่อให้พวกเราทีเถิดขอรับ”“
ข่าวการสละราชบัลลังก์ขององค์ฮ่องเต้ฉางหลงและการขึ้นครองราชย์ขององค์รัชทายาทฉางเฟิง แพร่ไปทั่วแคว้น เหล่าประชาราษฎร์ต่างแห่สรรเสริญ และเฉลิมฉลองกันถ้วนหน้า มิเว้นแม้แต่ครอบครัวของอี้หานและฟ่งอู๋ ที่พากันมาร่วมพิธีราชาภิเษกถึงเมืองหลวง“พวกเจ้าจัดสำรับเย็นไว้มากหน่อย วันนี้ฝ่าบาทจะพาฮองเฮาและองค์ชายทั้งสองพระองค์มาทานมื้อเย็นที่จวน” ลี่มี่และผิงผิงต่างวุ่นอยู่กับการจัดการเรื่องในครัวมี่เอ๋อร์ ผิงผิง ไปให้นมบุตรเถิด ทางนี้ยายกับฮูหยินรองจะดูแลให้เอง” มาครานี้ท่านยายเหมาไป่และมารดาของอี้หานก็พากันมาเที่ยวชมเมืองหลวงด้วย เพราะบัดนี้ลี่มี่คลอดบุตรชายเพิ่มมาอีกสองคน จื้อเจาวัยสองหนาว และจ้านฉือวัยห้าเดือน ผิงผิงเองหลังจากคลอดอาไฉบุตรชายคนแรก ก็มีอินเอ๋อร์บุตรสาววัยแปดเดือน ทั้งเหมาไป่และเจียอีจึงอาสามาช่วยดูแล“เช่นนั้นข้าฝากท่านแม่กับท่านยายด้วยนะเจ้าคะ”“ไปเถิดลูก ป่านนี้หลานแม่คงหิวแย่แล้ว” ฮูหยินรองเจียงอีว่าเช่นนั้น ก็หันกลับไปสั่งการบ่าวไพร่ให้เตรียมขนมของว่างไว้ด้วยลี่มี่กับผิงผิงจึงแยกกันไปให้นมบุตร ยังดีที่ตอนนี้หวังเยี่ยนและลี่หมิงโตเป็นหนุ่มกันแล้วจึงพอจะช่วยดูแลเฟินเยว่และอาไฉไ
ชีวิตของมารดาที่มีบุตรถึงสองคน และมีน้องชายอีกหนึ่ง มิได้ง่ายดายอย่างที่คิด ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ลี่มี่มิได้ทำหน้าที่ใดขาดตกบกพร่อง คงจะมีแต่การเปิดสำนัก ที่นางมิได้เข้าไปช่วยเหลือผู้ศรัทธาเลยแม้แต่น้อย เพราะวันๆ ได้แต่วุ่นอยู่กับการเลี้ยงดูบุตรและน้องชาย“เยว่เอ๋อร์~ พี่อาเยี่ยนมาหาน้องแล้ว”“พี่อาหมิงก็มาหาเยว่เอ๋อร์เช่นกัน” และนี่คือเสียงที่อี้หานกับลี่มี่ได้ยินในทุกๆ เช้า ตั้งแต่บุตรสาวของนางคลอด พี่ชายทั้งสองก็เห่อน้องสาว เสียจนงอแงมิอยากไปสำนักศึกษา จนอี้หานต้องออกอุบายว่า พี่ชายที่ดีต้องเป็นแบบอย่างให้น้อง ทั้งสองจึงยอมไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาเช่นเดิม“เข้ามาเถิด น้องพึ่งดื่มนมเสร็จ กำลังอารมณ์ดีเชียวล่ะ” อี้หานลุกจากเตียงไปเปิดประตูให้เด็กชายทั้งสอง“โอ้โห! เยว่เอ๋อร์ดื่มนมเก่งเช่นนี้ วันหน้าคงโตไวเหมือนพี่อาหมิงแน่” เดิมทีลี่หมิงเอ่ยแทนตนเองว่าท่านอา แต่ฟังดูแล้วก็แปลกชอบกล ลี่มี่จึงให้ลี่หมิงแทนตนเองว่าพี่ไปก่อน วันหน้าค่อยเอ่ยบอกกับเฟินเยว่ ว่าแท้จริงแล้วลี่หมิงมีศักดิ์เป็นท่านอาของนาง“แอ้ๆ บู้ คิก” เยว่เอ๋อร์ตัวน้อยดิ้นดุกดิก อย่างชอบใจ“ห้ามเหมือนๆ ข้ากลัวว่าเยว่เอ๋อร์จ
เจ้าเมืองซูโจวเดินวนไปมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ จนฟ่งอู๋ที่กำลังตรวจอาการของลี่มี่นึกรำคาญ“เจ้าหยุดเดินได้หรือไม่อี้หาน ข้ามิมีสมาธิในการตรวจ”“ขออภัย ข้าเพียงกังวล” อี้หานถอยกลับไปนั่งเก้าอี้ ทั้งที่ในใจนึกกลัวไปต่างๆ นานา หวาดกลัวว่าภรรยาจะป่วยหนักเมื่อสหายหยุดเดิน ฟ่งอู๋ก็รีบทำการตรวจต่อ มือของหมอหนุ่มคลำหาชีพจรบนข้อมือเล็ก ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ใบหน้านิ่งเฉยจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด“เฮ้อ!”“เกิดอันใดขึ้นฟ่งอู๋ เจ้าบอกข้าว่าลี่มี่เป็นอันใด ร้ายแรงหรือ” อี้หานเห็นสีหน้าบูดบึ้งของสหายก็ตีความไปแล้ว ว่าฮูหยินของเขาอาจเป็นโรคร้าย ในตาดำขลับสั่นระริกไปด้วยความกลัว“ฮูหยินเจ้าตั้งครรภ์”“ห๊ะ!!?”“ฟังไม่ผิด ลี่มี่ตั้งครรภ์ได้เกือบสองเดือนแล้ว ที่เป็นลมล้มพับไป คงเพราะเหนื่อยล้าร่วมกับอาการแพ้”“เจ้าว่าลี่มี่ตั้งครรภ์” ดวงหน้าคมคายชะงักค้าง สติที่มีอยู่น้อยนิดหลุดลอยไปจนหมด“ใช่!”“ละ แล้วเจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นด้วยเหตุใด! ข้าหรือก็นึกว่าเกิดเรื่องร้าย ทั้งที่เป็นเรื่องน่ายินดีเช่นนี้” อี้หานดันกายฟ่งอู๋ให้ออกห่างจากเตียง แล้วทรุดตัวนั่งลงแทนที่ บัดนี้ฮูหยินของเขายังมิได้สติ คง
ขบวนเดินทางกลับเมืองซูโจว เต็มไปด้วยผู้คนคละคล่ำ เพราะการเดินทางโปรดนี้มีองค์รัชทายาทและพระชายาร่วมเดินทางมาด้วย เป็นอย่างที่ทุกคนคิด หลังจากที่คุณหนูซินเหม่ยตอบตกลงเรื่องการอภิเษก องค์รัชทายาทก็หาฤกษ์ที่เร็วที่สุด โดยอ้างว่าจะได้เร่งมีโอรสธิดาเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ และแน่นอนว่าองค์ฮ่องเต้ก็เห็นดีเห็นงามด้วย เหล่าขุนนางกรมพิธีการจึงเร่งจัดงานกันจนหัวหมุนหลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษก อี้หานจึงพาครอบครัวกลับเมืองซูโจวทันที เพราะทนต่อเสียงรบเร้าของฟ่งอู๋ไม่ไหว“สหายท่านจ้องจะหลอกกินเต้าหู้ ผิงผิงของข้าอยู่เรื่อย”“ฮ่าๆ สงสารเขาเถิด เกี้ยวผิงผิงตั้งแต่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น แต่กลับแพ้องค์รัชทายาทที่ได้แต่งชายาก่อน เจ้าคงมิรู้ว่าที่องค์รัชทายาทไปเข้าห้องหอช้า ก็เพราะถูกฟ่งอู๋กลั่นแกล้ง” ลี่มี่หัวเราะร่า จะว่าไปก็น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ“ว่าแต่เราใกล้จะถึงเรือนหรือยังเจ้าคะ ข้ารู้สึกเพลียๆ อยากกลับไปนอนพักแล้ว” ลี่มี่ว่าพลางซบลงไปบนไหล่กว้าง พวกเขาเดินทางมาแรมเดือน ได้พักเต็มอิ่มบ้าง ไม่เต็มอิ่มบ้าง ทั้งการอยู่ในรถม้าทั้งวันก็เมื่อยขบยิ่งนัก ดีที่นางไม่รบเร้าให้ท่านยายมาด้วย มิเช่นนั้นคงทำให้ท่
หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะเกี้ยวซินเหม่ยให้สำเร็จโดยเร็ว ฉางเฟิงก็เทียวเข้าเทียวออกเรือนเสนาบดีซินเป็นว่าเล่น บ้างก็นำสุรามาดื่มกินกับว่าที่พ่อตา บ้างก็นำตำราที่ซินเหม่ยสนใจมาให้ แต่ที่หนักสุดคงจะเป็นครานี้ เพราะองค์รัชทายาทหนุ่ม ถึงขั้นยกนางในประจำห้องเครื่อง มาสอนคุณหนูสกุลซินทำสำรับเย็นถึงในเรือน เพียงเพราะนางเอ่ยว่าอยากลองทำอาหารมื้อเย็นฉบับชาววังบ้าง“คารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” / “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ”“ท่านพ่อตา ท่านแม่ยายตามสบายเถิด เจ้าก็ด้วย” แม้ปากจะพูดคุยอยู่กับบิดาและมารดาของซินเหม่ย แต่ตายังคงติดอยู่กับหญิงสาวตั้งแต่มาถึง“อะแฮ่ม! วันนี้เรียกพ่อตาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีซินเอ่ยเย้า ทีเล่นทีจริงกับชายหนุ่ม“ข้าเรียกเผื่อไว้ จะได้ชินปาก วันนี้ข้าพานางในประจำห้องเครื่องมาสอนเจ้าทำสำรับ แล้ว…อยากขออยู่รับสำรับเย็นด้วย” แววตาออดอ้อนทำเอาซินเหม่ยยิ้มขำ นางรู้ดีว่าองค์รัชทายาทขี้เล่นมิต่างจากฟ่งอู๋ แต่ก็มิคิดว่าจะมีมุมน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้“กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าอยู่ได้หรือไม่” เมื่อได้รับคำตอบจากว่าที่พ่อตาแม่ยายแล้ว ร่างสูงจึงหันไปถามสตรีที่รัก“แต่อาหารที่ข้าพึ่งหัดทำ อา