ครืดดด~
โทรศัพท์เครื่องหรูส่งเสียงดังขึ้นทำให้ศรัณย์ที่ยืนพิงหน้าต่างห้องนอนบนชั้นสามของบ้านละสายตาจากภาพสามคนพ่อแม่ลูกที่กำลังยืนคุยกันอย่างมีความสุขบริเวณลานจอดรถหน้าบ้าน
เดินไปหยิบโทรศัพท์บนเตียงที่กำลังแผดเสียงดังอย่างต่อเนื่องมาดู เมื่อเห็นเป็นเบอร์เพื่อนสนิทจึงกดรับสายพลางเดินกลับไปยืนพิงขอบหน้าต่างดังเดิม
"ว่าไง" ปากถามไถ่ปลายสาย แต่สายตาจ้องมองไปยังเบื้องล่างอีกครั้ง
(ไหนว่าคนจริงไง เมื่อวานได้ข่าวว่ายอมจ่ายตังหนึ่งล้านแลกกับของเดิมพันเลย)
เสียงเพื่อนชายคนสนิทแซวมาตามสายทำเขาไม่ชอบใจนัก ตอกกลับอย่างไม่สบอารมณ์
"ไม่ต้องยุ่งเรื่องของกู"
(ไอ้หะ...)
และไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรที่ไม่เข้าหูอีกกดสายทิ้งทันที
ดวงตาเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความขุ่นเคืองยังคงจับจ้องไปยังคนทั้งสามที่ใครมองก็คิดว่าเป็นพ่อแม่ลูกเป็นครอบครัวสุขสันต์ แต่ความจริงที่คนอื่นไม่รู้มันโคตรจะบัดซบ
ผู้ชายวัยห้าสิบกลาง ๆ ที่กำลังยืนยิ้มร่าคือบิดาของเขา ส่วนผู้หญิงวัยสี่สิบปลาย ๆ ที่กำลังกอดเด็กสาววัยยี่สิบคือแม่บ้านในบ้านที่ปัจจุบันถีบตัวเองขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งเมียใหม่ของบิดาหลังจากมารดาของเขาเสียชีวิตได้เพียงสองเดือน
เธอชื่อว่าเกสรทำงานเป็นแม่บ้านที่นี่มาสิบสามปีแล้ว มีลูกติดหนึ่งคนก็คือดาริกาอายุน้อยกว่าเขาสี่ปี และที่น่าโกรธกว่านั่นคือตอนนี้ในท้องของผู้หญิงคนนั้นยังมีสายเลือดเดียวกับเขาอีกหนึ่ง
อายุครรภ์สองเดือนนั่นหมายความว่าบิดากับเธอน่าจะมีความสัมพันธ์กันมาก่อนที่มารดาจะเสีย เรื่องที่เกิดขึ้นมีหลายอย่างน่าสงสัยเขาจึงแอบสืบอย่างเงียบ ๆ จนได้รู้ว่า...
บิดากับเกสรแอบมีความสัมพันธ์กันลับ ๆ มานานแล้วตั้งแต่เขาบินไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อเมริกา มารดาและทุกคนในบ้านรู้หมดแต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดเพราะถูกบิดาสั่งไว้
อีกทั้งมารดาก็ร่วมปกปิดด้วยกลัวจะทำให้เขาทุกข์ใจจนไม่เป็นอันเรียน แต่ท่านกลับแบกรับทุกอย่างไว้เอง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าท่านทนได้ยังไงกัน
ทุกคนในบ้านทำราวกับเขาเป็นคนโง่แม้กระทั่งหญิงสาวที่เขารักที่สุดอย่างดาริกา หนำซ้ำเธอยังคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหมือนจะยินดีกับตำแหน่งคุณหนูของบ้านด้วยซ้ำ ทั้งที่มารดาของเขาดีแสนดีกับเธอมากถึงขั้นรับอุปการะด้วยความรักและเอ็นดู
ส่งเสียเธอเรียนโรงเรียนดี ๆ ให้เธอพักอย่างสะดวกสบายอยู่บนตึกใหญ่ไม่ต่างจากลูกชายอย่างเขา ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็มีแต่ของดี ๆ เขามีอะไรเธอก็ได้เหมือนกันไม่เคยคิดว่าเธอเป็นลูกคนใช้
แต่ดูสิ่งที่เธอตอบแทนมารดากับเขา...
เขายืนมองจนบิดากับเกสรขึ้นรถแล้วออกไปจากบ้านจึงเดินลงไปหาหญิงสาวที่ยังคงยืนอยู่
"มีความสุขมากสินะดาริกา แต่เสียใจด้วยนับจากวินาทีนี้ไปฉันจะให้เธอ แม่ และพ่อของฉันได้ลิ้มรสชาติของความทุกข์บ้าง"
น้ำเสียงแข็งกระด้างจากด้านหลังทำให้ดาริกาที่ยืนมองตามหลังรถมารดาสะดุ้ง นับตั้งแต่เกิดเรื่องการได้อยู่ใกล้ชายหนุ่มถือเป็นสิ่งที่น่าหนักใจสำหรับเธอมาก ทั้งที่เมื่อก่อนการได้อยู่ข้างกายเขาเป็นสิ่งที่ชอบมากที่สุด
หลังจากเกิดเรื่องความสัมพันธ์อันดีระหว่างเขากับเธอก็จบลงไปด้วย ทุกครั้งที่เจอกันเขาไม่เคยจะพูดดีกับเธอเลย มีแต่พูดจาทำร้ายจิตใจและดูถูกดูแคลนกัน
เขาเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แต่เธอไม่โทษเขาเลยสักนิดที่เป็นแบบนี้เพราะทุกอย่างล้วนมีสาเหตุมาจากแม่ผู้บังเกิดเกล้าของเธอ
เธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเขา "คุณคิดจะทำอะไรอีกคะ"
ศรัณย์กระตุกยิ้มมุมปากพร้อมกับก้าวเข้าประชิด พอเจ้าของร่างบอบบางทำท่าจะถอยหนีเขาก็ตวัดมือโอบรอบเอวคอดแล้วรั้งเข้าหาจนแนบชิด
"ถ้าบอกก็ไม่สนุกสิ" โน้มริมฝีปากลงกระซิบชิดกกหูเล็กด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ก่อนจะผละมองใบหน้าจิ้มลิ้มต่อ มุมปากยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม
แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ดาริการู้สึกว่าแฝงไปด้วยความอันตราย แววตาดูร้ายกาจจนเธอไม่อยากอยู่ใกล้แม้สักวินาทีเดียว
"ปล่อยนะคุณศรัณย์" เธอยกมือทั้งสองขึ้นดันอกแกร่งสุดแรงหวังผลักคนตัวโตออกห่าง กลับยิ่งถูกเขากอดรัดรอบเอวแน่นกว่าเดิม
"ทำไม..พอได้เลื่อนตำแหน่งเป็นคุณหนูของบ้านพิทักษ์ธรานนท์ฉันกอดนิดกอดหน่อยไม่ได้แล้วเหรอ"
"เมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้วค่ะ" ดวงตากลมมองสบนัยน์ตาแข็งกร้าวด้วยความรู้สึกจุกในอก ทั้งเขาและเธอต่างก็รู้ดีแก่ใจว่าทำไมทุกอย่างถึงไม่เหมือนเดิม
เมื่อก่อนเธอกับเขากอดกันด้วยความรัก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ในใจของเขามีแต่ความโกรธความแค้น ทุกอย่างที่เขาทำล้วนทำด้วยอารมณ์ไม่ใช่ความรู้สึกแล้วแบบนี้จะให้เธอยินดีหรือ
"ใช่..เพราะฉะนั้นเธอเตรียมรับมือกับศรัณย์อีกเวอร์ชั่นให้ดีล่ะ" ศรัณย์เอ่ยทิ้งบอมแล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไป
ดาริกามองตามหลังร่างสูงด้วยความกังวล เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็แย่มากแล้วเขายังจะทำให้มันแย่ลงกว่านี้หรือ เธอไม่สามารถคาดเดาได้จริง ๆ ว่าต่อจากนี้เขาคิดจะทำอะไรกันแน่
ที่แย่ไปกว่านั้นคือตอนนี้ไม่มีคนคอยปกป้องเธอแล้วเพราะมารดากับเกรียงศักดิ์เดินทางไปต่างประเทศไม่มีกำหนดกลับ ก่อนหน้านี้เวลามีปัญหากับเขาท่านทั้งสองจะเข้ามาช่วยตลอด
เขาคงจะใช้โอกาสนี้กลั่นแกล้งเธอให้เต็มที่สินะ..
ร่างสูงในชุดเปียกปอนเดินกอดตัวเองเข้ามายืนหน้าบ้านด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ปากสีแดงกลายเป็นสีม่วงคล้ำเพราะความเย็นจัด ผิวขาวซีดเหมือนคนขาดเลือดเธอแสร้งทำเป็นไม่สนใจเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเอง แล้วก้มหน้าทานข้าวต่อ แอบชำเลืองมองด้วยหางตาเป็นระยะ หูคอยฟังว่าสองคนพ่อลูกพูดอะไรกันบ้าง"เดี๋ยวหนูเอาผ้าเช็ดตัวมาให้นะคะ คุณพ่อยืนรอตรงนี้ก่อน" ได้ยินเสียงบุตรสาวบอกกล่าวกับคนเป็นพ่อ และนาทีต่อมาก็เดินมาหาเธอ"คุณแม่คะขอผ้าเช็ดตัวให้คุณพ่อหน่อยค่ะ""เดี๋ยวแม่ไปหยิบมาให้ค่ะ" ความจริงเธอไม่อยากจะหยิบยื่นอะไรให้เขาเลย แต่มันติดตรงที่บุตรสาวนี่แหละเธอเดินขึ้นไปยังห้องนอนบนชั้นสองของบ้านหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ที่อยู่ในตู้มาให้บุตรสาว"นี่ค่ะ""ขอบคุณค่ะ" บุตรสาวยิ้มหวานให้เธอ แล้วรีบเอาผ้าเช็ดตัวจากมือเธอไปให้ผู้เป็นพ่อ"คุณพ่อเช็ดตัวก่อนนะคะ""ขอบคุณค่ะ" ศรัณย์ระบายยิ้มอ่อนโยนให้บุตรสาวพลางรับผ้าเช็ดตัวมาซับตามร่างกายสั่นเทาที่เปียกปอนไปด้วยน้ำ เสร็จแล้วก็เช็ดผมต่อจนหมาด ๆ "คุณพ่อเข้ามาในบ้านสิคะ จะได้กินข้าวกัน" เด็กน้อยคาริสายื่นมือไปจับมือผู้เป็นพ่อหมายจะพาเข้าบ้านหลังจากเห็นว่าเช็ดผมเสร็จแล้ว"ไม่ได
เหมือนดาริกาจะดูถูกชายหนุ่มเกินไปเพราะผ่านไปสี่ชั่วโมงแล้วเขายังนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิมทั้งที่ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า เมฆฝนตั้งเค้า ลมพัดกระโชกเหมือนพายุจะเข้า"หนูสงสารคุณพ่อจังเลยค่ะ คุณแม่หายโกรธคุณพ่อ แล้วให้คุณพ่อเข้ามาในบ้านนะคะ" เด็กน้อยคาริสาที่ยืนมองพ่อจากหน้าต่างเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับผู้เป็นแม่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เสียงเศร้าดาริกาละสายตาจากคนที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางสนามหญ้า หันกลับมามองหน้าบุตรสาวพร้อมกับย่อตัวลงนั่งย่อง ๆ ตรงหน้าพลางคว้ามือเล็กมากอบกุมไว้"ดูลูกรักและเป็นห่วงคุณพ่อมากเลยนะคะทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่นานเอง" เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล"ใช่ค่ะ หนูรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมากเลยค่ะเวลาได้อยู่กับคุณพ่อ คุณพ่อใจดีที่สุดเลยค่ะคุณพ่อมาหาหนูที่โรงเรียนทุกวัน ซื้อไอศกรีมกับขนมที่หนูชอบมาฝากด้วยนะคะ พอหนูบอกว่าอยากไปดูหมูหวานคุณพ่อก็จะพาไป หนูอยากทำอะไรคุณพ่อก็ตามใจค่ะ""...""รู้ไหมคะคุณแม่เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนต่างอิจฉาหนูที่มีคุณพ่อหล่อและใจดีมาก"เสียงและสีหน้าบุตรสาวเวลาพูดถึงผู้เป็นพ่อเต็มไปด้วยความสุข แววตาทอประกายสดใสแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน บุตรสาวคงรักและภูมิใจในตัวผู้เป็นพ
บ้านหลังไม่ใหญ่มากนักสไตล์มินิมอลสองชั้น มีรั้วไม้ความสูงประมาณจมูกของเขาล้อมรอบ เดินมาหยุดหน้าประตูรั้วพร้อมทอดสายตามองเข้าไปภายในบ้านรอยยิ้มพลันผุดขึ้นประดับใบหน้าคมเข้มในตอนที่ผ้าม่านตรงหน้าต่างปลิวไปตามลมจนทำให้เห็นคนที่อยู่ด้านใน สองคนแม่ลูกอยู่ที่นี่จริง ๆ เขาไม่รอช้ารีบยื่นมือไปเปิดประตูรั้วอย่างถือวิสาสะ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะมันถูกล็อคจากด้านใน จึงตะโกนเรียกแทน"น้องดาครับ น้องดาได้ยินพี่ไหมครับ" เสียงอันแสนคุ้นเคยที่ดังเข้าหูทำดาริกาที่กำลังนั่งเล่นกับลูกอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นขมวดคิ้วมุ่น ยังแอบนึกว่าตัวเองหูแว่วเพราะไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะรู้ว่าเธอกับลูกอยู่ที่นี่"หนูได้ยินเสียงคุณพ่อคะคุณแม่" จนบุตรสาวเอ่ยขึ้นอีกคนเธอจึงมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด เมื่อกี้เสียงเหมือนดังมาจากหน้าบ้าน รีบใช้มือแหวกผ้าม่านตรงหน้าต่างแล้วชะเง้อคอมองดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งที่ยืนเกาะรั้วอยู่ สองคิ้วขมวดมุ่นด้วยความสงสัย เขามาที่นี่ได้ยังไง แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าเธอกับลูกอยู่ที่นี่เพราะนอกจากพ่อแม่และพี่ชายไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ที่นี่มั่นใจมากว่าครอบครัวไม่มีทางบอกกับชายหนุ่มว่า
ต่อให้เมื่อวานจะปะทะกับแม่ของลูกวันนี้ศรัณย์ยังคงมาที่โรงเรียนแม้ไม่รู้ว่าจะได้พบกับบุตรสาวไหม หรือต้องเจอกับอะไร เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าง้อแม่ของลูกไม่ทำตัวเป็นคนขี้ขลาดอีกต่อไปมาถึงห้องเรียนของบุตรสาวไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรครูประจำชั้นก็เดินออกมาบอกกล่าว "น้องริสาไม่ได้มาเรียนค่ะ""อ๋อ..ขอบคุณครับ" เขาพยักหน้ารับ แล้วเดินกลับไปขึ้นรถขับตรงไปยังบ้านเกียรติกมล ขับมาจอดรถแอบริมรั้วเหมือนเช่นเคย เฝ้ามองว่าสองคนแม่ลูกจะออกไปไหนบ้างเขาจะได้หาโอกาสเข้าไปคุยกับเธอทว่าผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนตะวันเริ่มคล้อยก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ สรุปวันนี้เขากลับมาบ้านโดยที่ไม่ได้เห็นหน้าลูกเมียเลย ทว่าวันนี้ไม่เจอพรุ่งนี้อาจจะเจอก็ได้เขาไม่ยอมแพ้วันต่อมาก็ไปหาบุตรสาวที่โรงเรียนอีกครั้ง และได้รับคำตอบจากครูประจำชั้นแบบเดิม ความรู้สึกบอกเขาว่ามันไม่ปกติแล้ว ถ้าไม่มีอะไรบุตรสาวคงไม่ขาดเรียนติดต่อกันในช่วงที่กำลังใกล้ปิดเทอมเขาขับรถไปยังบ้านเกียรติกมล แต่ครั้งนี้ไม่ได้จอดแอบนอกรั้วเหมือนที่ผ่านมา เขาขับรถมาจอดหน้าประตูรั้วแล้วลงจากรถเดินไปกดกริ่งยืนรอราวห้านาทีก็มีหญิงวัยยี่สิบปลายเดินกึ
วันต่อมาก็มาหาบุตรสาวที่โรงเรียนตั้งแต่เก้าโมงเช้าเพื่อจะพาบุตรสาวไปดูหมูหวานตามที่ได้รับปากไว้เมื่อวานเขาขออนุญาตคุณครูประจำชั้นเรียบร้อย ก่อนจูงมือบุตรสาวเดินไปที่รถ"หนูจะได้ไปดูหมูหวานแล้ว ตื่นเต้นจังเลยค่ะคุณพ่อ" เด็กน้อยแหงนหน้าขึ้นเอ่ยกับคนเป็นพ่อด้วยท่าทางตื่นเต้นเป็นพิเศษศรัณย์เห็นแล้วเอ็นดูยิ่งนัก เดินมาถึงรถเขาก็คลายพันธนาการจากมือเล็กล้วงไปหยิบกล่องบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วย่อตัวลงนั่งย่อง ๆ ตรงหน้าบุตรสาว"ก่อนไปลูกต้องใส่นาฬิกาเรือนนี้ก่อนนะคะ นาฬิกาเรือนนี้มีทั้งแอปติดตาม ยังสามารถโทรออกได้ด้วย เผื่อไปถึงสวนสัตว์แล้วเราเกิดผลัดหลงกันพ่อจะได้รู้พิกัดลูก และถ้ามีอะไรก็ให้ลูกกดตรงนี้มันจะโทรหาพ่อ"เขาอธิบายแล้วหยิบนาฬิกาสุดหรูออกจากกล่องสวมลงบนข้อมือเล็ก"ค่ะคุณพ่อ" เด็กน้อยพยักหน้ารับหงึกงัก"ดีมากค่ะ" ศรัณย์กดจูบบนหน้าผากมนด้วยความรักใคร่ ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปเปิดประตู ผายมือเชิญบุตรสาวขึ้นรถ "เชิญค่ะเจ้าหญิงน้อย""น้องริสามาหาคุณแม่ค่ะ" ไม่ทันที่เด็กน้อยจะได้ก้าวขึ้นรถน้ำเสียงดุดันก็ดังขึ้นทำให้สองคนพ่อลูกชะงักมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก'ความฉิบหายมา
หนึ่งเดือนต่อมา"คุณพ่อคะหนูอยากไปเที่ยวสวนสัตว์ค่ะ หนูอยากไปดูหมูหวาน" เสียงบุตรสาวดังขึ้นทำให้ศรัณย์ที่นั่งเช็คข้อความในไลน์ละสายตาจากหน้าจอมือถือ เงยขึ้นมองบุตรสาวที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหมูหวานที่บุตรสาวหมายถึงคือฮิปโปโปเตมัสแคระที่กำลังโด่งดังอยู่ตอนนี้ แน่นอนว่าบุตรสาวร้องขอเขาไม่ปฏิเสธ"ได้สิคะ งั้นพรุ่งนี้พ่อพาไปดู แต่เราต้องไปกันแต่เช้าจะได้กลับมาทันก่อนโรงเรียนเลิก ไม่อย่างนั้นโดนคุณแม่จับได้แน่""โอเคค่ะ" เด็กน้อยคาริสายกมือทำท่าโอเคให้พ่อในนาม ก่อนจะกระโดดลงจากเก้าอี้เดินเข้าไปสวมกอดเอวสอบ ตั้งคางบนหน้าขา เงยหน้าขึ้นมองหน้าพ่อในนามตาปริบ ๆ "หนูรักคุณพ่อนะคะ คุณพ่ออย่าทิ้งหนูนะคะ""ไม่ต้องกลัวนะ พ่อไม่มีวันทิ้งลูกแน่นอน"เขาระบายยิ้มอ่อนโยนให้บุตรสาวพร้อมกับสวมกอดแนบแน่นตอนนี้ดูเหมือนบุตรสาวจะรัก และมีความผูกพันกับเขาบ้างแล้วตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาแอบมาหาบุตรสาวที่โรงเรียนทุกวันต้องการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบุตรสาวให้แน่นแฟ้น เพราะบุตรสาวเป็นกำลังสำคัญที่จะทำให้เข้ามีโอกาสเข้าหาคนเป็นแม่โดยที่ไม่ต้องถูกไล่ออกมายิ่งบุตรสาวรัก และผูกพันกับเขามากเท่าไรก็ยิ่ง