เหม่ยหลินหาได้สนใจกิริยาจริตมารยาเหลือเกินนั่น “เจ้าเป็นใคร?” นางถามย้ำด้วยเสียงแว่วหวาน นึกระแวงขึ้นมาจับใจ ว่าสตรีนางนี้จะเกี่ยวข้องอันใดกับพี่หงของนาง ถึงแม้ว่านางจะเป็นถึงสตรีชั้นสูง แต่อารมณ์หึงหวงเช่นปุถุชนยังคงมี มันจึงมิใช่เรื่องแปลกอันใด หากนางจะรู้สึกเช่นนี้ “เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับพี่หง” เสียงคำรามช่างอ่อนโยนนัก“ข้ามีนามว่าโหยวฟางหลัน คนงามแห่งพงไพร แล้วท่านเล่ามีนามว่าอย่างไร” ฟางหลันตอบคำพร้อมถามกลับ“ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า” องค์หญิงเช่นนางย่อมถามนามผู้อื่นได้ โดยมิต้องแนะนำตนเองกลับแต่อย่างใดฟางหลันหาได้สะทกสะท้านในท่าทางหยิ่งทะนงถือตัวเยี่ยงนั้นของสตรีตรงหน้าไม่ นางเพียงเอ่ยออกไป “ให้ข้าเดานะ ท่านต้องเป็นองค์หญิงแน่ๆ รูปลักษณ์ของท่านบ่งบอกเช่นนั้น ถึงแม้จะอยู่ในอาภรณ์สีขาวขมุกขมัว แต่กลิ่นอายสูงศักดิ์ของท่านมิอาจซ่อนเร้น ยิ่งได้เห็นยามเปลือยกายอย่างนี้ ยิ่งมิต้องอธิบายขยายความ ใช่หรือไม่?”เหม่ยหลินได้ฟังยิ่งขมวดคิ้วมุ่น “เจ้ากำลังนอกเรื่อง” นางยืดตัวเชิดหน้าเผยความสูงส่งให้ได้เห็น อำนาจมากบารมีเฉกเช่นชนชั้นสูงแผ่กำจายออกมา มิให้ผู้ใดกล้าล่วงเกินกัน แน่นอนว่ากิริยาอย่
เสียงเตาไฟและหม้อดินลอยละลิ่วตกกระแทกพื้นแตกดังโพละทำให้ฟางหลันที่นั่งแช่น้ำร้อนอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนั้นอยู่ไกลๆ แต่นางยังคงรื่นรมย์ยิ่งนักจึงนั่งแช่น้ำต่อไปอย่างใจเย็น เนื่องจากเป็นปกติที่มักจะมีเสียงไม่พึงประสงค์ที่กลางป่าแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงหมาป่ากัดกันเพื่อแย่งอาหาร เสียงเสือคำรามลั่นป่าเพื่อข่มขู่ยึดเขตแดน วันดีคืนดียังมีพรานป่าเข้ามาอย่างอุกอาจล่าสัตว์กันอย่างสนุกสนาน เสียงอันหลากหลายนั่น นางชินเสียแล้วเวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป ฟางหลันที่กำลังแช่น้ำร้อนอยู่จึงได้ยินเสียงฝีเท้าของคนเดินย่ำเหยียบใบไม้แห้งเข้ามาใกล้บ่อน้ำร้อนที่นางแช่ตัวอยู่ นางแยกเสียงนั้นได้ เสียงแกรกๆ ที่เหยียบใบไม้แห้งนั้น เป็นเสียงของฝ่าเท้าใหญ่คู่หนึ่ง กับเสียงของฝ่าเท้าเล็กคู่หนึ่ง ลักษณะการเดินมิได้ย่องคล้ายการลอบสังหารแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงเดินแบบหนักแน่นใจเย็น ทั้งยังมีเสียงหวานใสของสตรีดังแว่วมา หญิงสาวจึงตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในน้ำหลังซอกหินอันเป็นมุมอับ“พี่หง” เสียงของเหม่ยหลินดังขึ้น “ตรงนั้นมีบ่อน้ำพุร้อน” นางกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจมากนักเมื่อมองเห็นบ่อน้ำพุร้อนในระยะสายตาห่างออกไป
ริมลำธารแห่งเดิมที่ศพอืดลอยคอฟางหลันขึ้นมานอนหมดแรงตรงริมตลิ่งอยู่เป็นนานแล้ว เนื่องจากอาเจียนจนหมดไส้หมดพุงเจ้าศพนั่นเหม็นสิ้นดี หากท่านประมุขไม่ถูกสตรีนางนั้นพยายามพาให้เดินจากไป เห็นทีนางคงตายตามเจ้าศพนั่นไปเป็นแน่ ตายเพราะกลิ่นของมันนั่นล่ะ!หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง แล้วถอนหายใจคำโตออกมา นางควรกลับไปบ้านแล้วหาอะไรกินลงท้องเพื่อทดแทนอาเจียนเมื่อครู่เสียหน่อยอา...ก่อนเข้าบ้าน นางควรไปอาบน้ำที่บ่อน้ำพุร้อนส่วนตัวเสียก่อน ตรงนั้นนางซักผ้าแล้วตากเอาไว้พร้อมผลัดเปลี่ยน หญิงสาวผู้งดงาม ที่เป็นถึงอดีตเจ้าสำนักหมื่นดารา อมยิ้มกรุ้มกริ่มกับตนเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าจะได้ไปแช่น้ำร้อนก็เท่านั้น ชีวิตที่เคยมีสีสันก็ยังคงมีสีสันเช่นเดิม ถึงแม้ว่าสำนักจะถูกปราบเสียเหี้ยนเตียน จนนางต้องมาสร้างบ้านหลังน้อยที่แสนจะทรุดโทรมอยู่อย่างอัตคัด ก็ยังมิสามารถทำลายความสุขของนางได้ในเมื่อคนจะงาม ใช่งามที่ใบหน้า หากแต่ต้องงามทั้งจิตใจ กระทั่งฆ่าใครยังยิ้มได้เลย โฮะๆๆฟางหลันเดินไปหัวเราะไปยังทิศทางหนึ่ง ซึ่งเป็นป่ารกทึบ กลางป่ามีบ้านหลังเล็กที่สร้างขึ้นมาเพื่อบังแดด ซึ่งก็คือบ้านของนางเอง แต่นางยังไม่คิดจะเข
หลังจากได้ผ้าชุดใหม่เป็นสีชมพูจัดจ้านตัวหนึ่งพร้อมสายตาเย็นเยียบบนใบหน้าหล่อเหลาที่ดำทะมึนเล็กน้อยของผู้หยิบยื่น เหม่ยหลินจึงไม่กล้าทำตัวมากความอีกเป็นครั้งที่สอง นางรับชุดนั้นมาจากฝ่ามือใหญ่แล้วเอ่ยเตือน “เราเข้ามาขโมยเสื้อผ้าเจ้าของบ้านเช่นนี้จะดีหรือ?”“แล้วอย่างไร?” หงซือกวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชามิผิดจากสีหน้า “หากเจ้าต้องการกระทั่งบ้าน ข้าย่อมขโมยให้เจ้าได้”คำกล่าวตรงไปตรงมาเช่นนั้นทำเอาเหม่ยหลินถึงกับชะงักนิ่งไป ความหมายของชายหนุ่มตรงหน้าทำเอาหญิงสาวยิ่งหน้าแดงลามไปถึงลำคอนี่มิใช่ว่าเขาพร้อมตามใจนางได้ทุกเรื่องราวหรอกหรือไร?ทว่าเหม่ยหลินไม่อาจเขินอายได้นานเมื่อตระหนักได้ว่ามันไม่ถูกต้อง เป็นเพราะนางส่งสายตาชื่นชมบ้านหลังนี้กระนั้นหรือ พี่หงจึงคิดเช่นนั้น“พี่หง ข้าแค่ต้องการนอนพักที่นี่สักคืนก็เท่านั้น มิได้ต้องการช่วงชิง” นางรู้สึกผิดทันใดหงซือกวนมิได้ต่อคำประโยคนั้น เขาแค่ยืนนิ่งหน้าตายแล้วเอ่ย “เปลี่ยนชุดเสีย”“หืม...” หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นอีกนิดแล้วจ้องตาเขา “เปลี่ยนเลยหรือ?” นางหันซ้ายแลขวาครู่หนึ่งก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย ห้องนี้ไม่มีฉากไม้หรือฉากบังตาอันใดทั้งนั้น “พี่หงอ
เมื่อเดินห่างออกมาจากหมู่บ้านที่มีซากศพนับพัน ตามน้ำเสียงออดอ้อนของใครบางคน ร่างสูงสง่าจึงเดินด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง หากแต่ยังคงกลั่นแกล้งคนงามไม่มีเบื่อ“ข้าเป็นคนป่วย จำอะไรไม่ได้ อาจจะพาองค์หญิงหลงทางเสียแล้ว” หงซือกวนเอ่ยคำเนิบนาบพลางเดินเลี้ยวซ้ายคล้ายกับจะไปยังทิศทางเดิมของหมู่บ้านสุสานเหม่ยหลินรีบจับแขนของเขาเอาไว้ แล้วเอ่ยเสียงหวาน “พี่หงอย่าได้กังวล ครานี้ข้าจะนำทางท่านเอง” นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังพลางพาคนตัวสูงเดินเบี่ยงมาทางขวานางไม่ต้องการให้พี่หงกลับไปทางหมู่บ้านสุสานอันน่าหวาดหวั่นสั่นสะพรึงนั่น อันที่จริงนางมิได้หวาดกลัวสถานที่หรือสภาพแวดล้อมเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งที่น่ากลัวมากกว่านั้นก็คือ พี่หงอาจจะจำความได้แล้วจากนางไปนางยอมรับว่านางกำลังเห็นแก่ตัว...คงเหมือนกับเสด็จพ่อที่เคยกระทำกับเสด็จแม่นั่นล่ะเรื่องราวของพวกพระองค์ นางรู้จากคำบอกเล่าของเสด็จแม่ ว่าเสด็จพ่อเห็นแก่ตัวปานใด พระองค์รักเสด็จแม่จนไม่สนใจความถูกต้องอันใดทั้งสิ้น กระทั่งฉุดคร่าเสด็จแม่มาเป็นสนมอย่างเลือดเย็น ไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นอา...นางกำลังเลือดเย็นเฉกเช่นเสด็จพ่อเหม่ยห
“บรรยากาศตรงนี้ช่างงามนัก” น้ำเสียงราบเรียบดังออกมาจากริมฝีปากได้รูปบนใบหน้าเฉยชาของหงซือกวน เขาแสร้งหันหน้าไปชื่นชมธรรมชาติพลางเอ่ยวาจาคล้ายประชดนางตรงโขดหินกระนั้น “มิคาดว่าเจ้าจักชมชอบมองศพลอยน้ำมา”เหม่ยหลินพลันหน้าแดงซ่าน เมื่อถูกชายปากหนักถนอมคำพูดมาตลอดทางกล่าวคำยาวเหยียดคล้ายเย้ากันอย่างนั้น “พี่หงล้อข้าเล่นแล้ว” นางก้มหน้าหลุบตาเขินอายเหลือเกินนี่นับได้ว่าเป็นการเกี้ยวกันได้หรือไม่หนอ?เมื่อหญิงสาวคิดได้อย่างนั้น จึงนึกชอบใจนัก นางถึงกับอมยิ้มพริ้มเพราอย่างไม่อาจห้ามใจ ก่อนจะระลึกได้ว่าไม่สำรวมจึงรีบปรับกิริยาเสียใหม่ให้เป็นปกติที่สุด ก่อนจะเงยขึ้นแล้วเอียงหน้าส่งสายตาสวยหวานสู้สายตาคมเฉี่ยวของชายหนุ่มตรงต้นไม้ นางคลี่ยิ้มงดงามแฝงความเจ้าเล่ห์ถึงสามส่วนยามเอ่ย“พี่หงหิวหรือไม่ เราเดินทางออกจากที่นี่ไปหาอะไรกินกันเถิด” นางต้องหลีกเลี่ยงสถานที่สุ่มเสี่ยงต่อความทรงจำของเขา หากว่าเป็นจริงดั่งลางสังหรณ์ พี่หงย่อมต้องไม่ธรรมดาชายคนหนึ่งที่อาจจะยิ่งใหญ่มากๆ เขาคงไม่คิดจะอยู่กับสตรีเช่นนางเป็นแน่ นางยังไม่อาจทำใจยอมรับได้เจ้าของเสียงแว่วหวานยังคงเอ่ยต่อ “ท่านอย่าเข้าไปที่หมู่บ้