สองพี่น้องกินข้าวแล้วพักผ่อนกันก่อน ลู่จื้อ บอกพี่ชายว่าวันนี้ยามเว่ย (13.00-14.59น.) นางจะชวนพี่ชายขึ้นเขาเผื่อมีโชคจะได้มีเงินพาท่านพ่อไปหาหมอเสียที หากช้าเกินไปขาข้างที่บาดเจ็บนางกลัวจะพิการเสียก่อน
ลู่จื้อนึกถึงนิยายที่นางเคยอ่าน หากขึ้นเขาต้องได้ของดีติดไม้ติดมือกลับบ้านอย่างแน่นอน ลู่เพ่ยกับลู่จื้อสะพายตะกร้าพร้อมมีดพร้าขึ้นหลังออกจากบ้านไป
แม้ในใจลู่เพ่ยยังไม่อยากให้น้องสาวทำงานหนักเช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึงขาของผู้เป็นบิดา ตัวเขาก็เห็นด้วยกับนางทันที
ตีนเขาไม่มีของให้เก็บได้เลย เพราะชาวบ้านส่วนมากก็ขึ้นเขามาเก็บของป่ากัน ลู่จื้อเลยชวนพี่ชายเดินเข้าไปในป่าชั้นกลาง ป่าชั้นกลางนั้นไม่ค่อยมีชาวบ้านเข้ามากันสักเท่าใดนัก เพราะมีหมูป่าหลงเข้ามาหากินอยู่ประจำ
หากมิใช่พรานป่าก็ไม่มีผู้ใดที่คิดจะเข้า หากถูกมันทำร้ายเข้า มีหวังคงได้ตายมากกว่าจะมีชีวิตรอด
แต่ไม่ใช่ลู่จื้อ นางอยากจะเจอหมูป่าสักตัว แต่ตลอดทางเดินมีเพียงเห็ด กับผักป่าเท่านั้น เมื่อเดินไปอีกนิด พุ่มไม้ข้างทางก็สั่นไหว ลู่จื้อเลยหยิบมีดพร้าแล้วขว้างออกไป ลู่เพ่ยที่กำลังเก็บเห็ดเพลินๆ รีบวิ่งมาหาน้องสาว
“ท่านพี่ ดูนี่สิ “ลู่จื้อยกไก่ป่าขึ้น พร้อมทำหน้าใสซื่อใส่ลู่เพ่ย
“เจ้า จับมันได้อย่างไร “
“ข้าก็ปามีดพร้าใส่มันยังไงเล่าท่านพี่”
“…” ลู่เพ่ย นางจะเก่งเกินไปแล้ว
ลู่จื้อเก็บไก่ใส่ตะกร้าแล้วเดินตามหาของที่นางต้องการต่อ
“ไปต่อไม่ได้แล้ว ข้างหน้าก็จะเข้าเขตป่าชั้นในแล้ว” ลู่เพ่ยดึงแขนของลู่จื้อไว้
“ไปอีกนิดนะท่านพี่ ข้าขอไปดูอีกนิด หากยังไม่เจอข้าสัญญาว่าเราจะกลับบ้านกันเลย” ลู่จื้อนางขี้เกียจจะขึ้นเขาบ่อยๆ
แต่ลู่เพ่ยหวาดกลัวสัตว์ร้ายที่ชาวบ้านพูดถึงกันมากกว่า อาวุธก็ไม่มีหากเจอสัตว์ใหญ่ได้ตายแน่
ลู่เพ่ยมองสำรวจไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นรอยเท้าของสัตว์ใหญ่จึงยอมตามใจน้องสาว ตัวเขาก็มีความหวังเช่นกันว่าจะเจอสมุนไพรล้ำค่าเช่นผู้อื่นบ้าง
ลู่จื้อก็ยังคงปามีดพร้าของนางไปเรื่อย ๆ ได้กระต่าย ได้ไก่ป่าเพิ่ม แถมยังเจอรังไก่ป่าที่มีไข่อยู่หลายฟอง นางจึงเก็บมาให้หมด
ตอนนี้นางเริ่มจะถอดใจแล้ว เพราะเดินมาไกล หิวก็หิว นางเลยกำลังจะกลับเพราะพี่ชายก็ไม่ยอมไปต่อแล้ว
“ประเดี๋ยวท่านพี่ ข้าคิดว่าข้าเจอของที่ตามหาแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า” นางเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะ
ลู่เพ่ยมองน้องสาวเหมือนมองคนบ้า อยู่ดีๆ จะหัวเราะขึ้นมาทำไม ตัวเขายังไม่เห็นของดีที่นางว่าเลย ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็เห็นเพียงต้นไม้ ต้นหญ้า
“ท่านตามข้ามา เดี๋ยวข้าเก็บให้ทันดู”
ลู่จื้อค่อยๆ ขุดขึ้นมาจากดิน ลู่เพ่ยที่มองน้องสาวขุดต้นไม้ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่นางขุดเสร็จ
“สะ สะ โสม โสมใช่หรือไม่” จากที่นั่งยอง ๆ ดูน้องสาวขุด ตอนนี้ก้นกระแทกพื้นไปเรียบร้อยแล้ว
“ใช่ท่านพี่ ท่านดูสิ มีเป็นดงเลย มา มา อย่ามัวแต่ตกใจ ช่วยข้าเร็วๆ เข้า ระวังด้วย อย่าให้รากมันขาด ตำลึงทองทั้งนั้นเลย” ลู่จื้อเร่งมือขุดอย่างอารมณ์ดี
นี้ไงบอกแล้วขึ้นเขาต้องได้โชค
สองพี่น้องใช้เวลาขุดถึงสองชั่วยาม ลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้พวกเขาหิวกันขนาดไหน
โสมที่ได้มี
อายุ 50 ปี ถึง 20 หัว
อายุ 100 ปี 15 หัว
อายุ 300 ปี 5 หัว
อายุ 500 ปี 3 หัว
(โสมนับอายุตามใบ ใบจะเพิ่มขึ้นปีละ 1 ใบ)
ทั้งคู่ใช้ใบไม้ห่ออย่างดี จากนั้นนำผักป่ากับเห็ดที่เก็บมาได้วางทับไว้ด้านบน
“ท่านพี่หากเจอชาวบ้านท่านต้องทำตัวให้นิ่งเข้าไว้นะ หากใครรู้เข้าต้องมาแย่งเราไปแน่นอน” ลู่เพ่ยพยักหน้ารับอย่างจริงจัง
ตลอดทางที่ทั้งสองรีบลงเขา ไม่พบใครเลย อาจจะเป็นเพราะตะวันเริ่มตกดินแล้ว ตอนนี้ทั้งสองเดินแทบไม่ไหวแล้ว เพราะไม่ได้กินอะไรกันเลย
เมื่อถึงบ้านท่านแม่ก็ยืนเท้าสะเอวรอเลย เตรียมด่าเต็มที่ แต่พอเห็นสภาพลูกทั้งสองก็รีบเข้ามารับตะกร้าของลู่จื้อแทน
“ท่านแม่ข้าขอข้าวกินหน่อยเจ้าค่ะ” ลู่จื้อทิ้งตัวลงที่เก้าอี้กลางบ้าน
นางจินหรูเห็นเช่นนั้นก็รีบหาข้าวให้บุตรทั้งสองทันที
“ค่อยๆ กิน ไม่พอประเดี๋ยวแม่ทำเพิ่มให้” นางช่วยคีบ ช่วยรินน้ำส่งให้สองพี่น้องอย่างใส่ใจ ด้วยสงสารสภาพที่อิดโรยของทั้งคู่ จนลืมถามไปเลยว่าไปที่ใดกันมา
เมื่อทั้งคู่กินเสร็จแล้ว นางจินหรูจึงเก็บชามไปล้าง ลู่เพ่ยกับลู่จื้อจึงนำของทั้งหมดออกมาจากตะกร้า
“ท่านแม่ ข้าจับกระต่ายป่ากับไก่ป่ามาได้ ท่านเอาไว้ตากแห้งเถิดไม่ต้องขายหรอก ท่านพ่อยังต้องบำรุงร่างกาย” ลู่จื้อบอกท่านแม่เพราะนางรู้ว่าท่านแม่ต้องให้เอาไปขายแน่
“ข้ามีของอย่างอื่นไปขายแทน รับรองท่านพ่อได้หาหมอแน่เจ้าค่ะ” ลู่จื้อรีบพูดก่อนที่แม่ของนางจะแย้งขึ้นมา
เมื่อนางจินหรูเห็นของที่ลูกเก็บมาได้ก็ลมแทบจับ ต้องรีบนั่งทันที พร้อมทั้งเอามือตบหน้าอกให้หายใจสะดวกขึ้น
ลู่เพ่ยจึงเล่าเรื่องที่พวกเขาทั้งสองได้ไปเจอมา เพราะตอนนี้ลู่จื้อกำลังแยกโสมอยู่
“พรุ่งนี้ข้ากับท่านพี่จะนำโสมไปขายเจ้าค่ะ แต่จะเอาไปแค่สามหัวก็พอที่เหลือข้าจะทำโสมแดงเก็บไว้ขายมันจะได้ราคาดีกว่า”
ตอนนี้ทั้งนางจินหรูและลู่เพ่ยไม่ได้ฟังที่นางพูดเลย
“งั้นข้าเอาไปเก็บนะเจ้าคะ” พอจบคำโสมตรงหน้าก็หายไปเลย ทั้งสามก็ยืนแข็งเป็นหินไปแล้ว
“หะ หะหายไปไหนแล้ว” ลู่เพ่ยที่เพิ่งหาเสียงเจอ
ลู่จื้อก็งง ของมันหายไปไหนหายไปได้อย่างไร
ทั้งสามจึงมานั่งมองหน้ากัน เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า
ท่านพ่อจางหมินที่ได้ยินโวยวายในตอนแรก แล้วตอนนี้กลับเงียบไปแล้ว เขาเลยเอ่ยเรียกจินหรูขึ้นมา
“น้องหญิง เกิดอะไรขึ้น” ทั้งสามจึงลุกไปในห้องที่บิดานอนอยู่แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้บิดาฟัง
จางหมินก็นอนครุ่นคิด ว่ามันเป็นไปได้ไงที่สิ่งของจะหายไปต่อหน้าต่อตาของทั้งสามคน
นางยื่นเงินสามร้อยหกสิบห้าตำลึงให้หัวหน้าหมู่บ้าน ให้เกินอีกห้าตำลึงเพื่อเป็นค่าน้ำชาให้ดำเนินเรื่องที่ให้ หัวหน้าหมู่บ้านก็รับมาแต่โดยดี"ท่านหัวหน้าหมู่บ้านเจ้าคะ ท่านพอจะแนะนำช่างสร้างบ้านให้ข้าด้วยได้หรือไม่" นางจินหรูเอ่ยอย่างเกรงใจ"ได้ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ บุตรชายข้า ชุนหยุน ก็เป็นช่างสร้างบ้านอยู่ ข้าจะให้อาหยุนไปคุยกับพวกเจ้าที่บ้านก็แล้วกัน" เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อยสองแม่ลูกก็ขอตัวกลับสองแม่ลูกที่กำลังเดินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี ต้องมาพบเจอสะใภ้ใหญ่ระหว่างทาง" นึกว่าใคร สะใภ้รองนี่เอง พวกเจ้าไม่คิดจะมาแสดงความยินดีกับเยว่เออร์เสียหน่อยหรือ" นางยิ้มเย้ยใส่จินหรู"เช่นนั้นก็ยินดีในวาสนาของเยว่เออร์ด้วยเจ้าค่ะ วันแต่งข้าและท่านพี่ต้องช่วยเพิ่มสินเดิมให้เจ้าสาวอย่างแน่นอน" นางจินหรูมองข้ามสายตาที่เยาะเย้ยของสะใภ้ใหญ่เมื่อมองสำรวจพี่สะใภ้ดีๆ จึงได้เห็นว่าชีวิตบ้านใหญ่ที่ไม่มีครอบครัวของนางให้คอยรับใช้ คงจะลำบากไม่น้อย เพราะจางเยว่คงไม่ยอมไปซักผ้าริมแม่น้ำหรือจะเข้าครัวทำอาหารอย่างแน่นอน"โอวโยว อย่างเจ้ากับน้องรองนะหรือจะมีปัญญามาช่วยเยว่เออร์ของข้าเพิ่มสินเดิม แค่ไม่ขนกันมากินใน
สองพี่น้องจึงขอตัวไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน ลู่เพ่ยยังคงศึกษาตำราที่ลู่จื้อให้ไว้ทั้งคืน แต่เขายังไม่เข้าใจมากนักลู่จื้อที่แยกตัวออกมาก็เข้าไปในมิติ นางเห็นพื้นที่วางมากมายจึงเริ่มมีความคิดที่จะซื้อเมล็ดผักมาปลูกนางเดินเข้าไปในกระท่อมเพื่อหาตำราที่สามารถอ่านได้ เพราะเมื่อคืนมีตำราเพียงเล่มเดียวที่อ่านได้ ตอนนี้นางเปิดจุดตันเถียนได้แล้วคงจะมีสักเล่มที่นางสามารถอ่านได้นางไล่ดูตำราที่ละเล่มจนไปเจอตำราฝึกวรยุทธ์ ยุคก่อนนางได้ฝึกมวยไทย กังฝู มวยหย่งซุน แต่ตำราเล่มนี้สอนฝึกลมหายใจกับความเร็ว ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับนางลู่จื้อไม่คิดว่าการฝึกลมหายใจจะช่วยได้หลายอย่างขนาดนี้ หลังจากที่อ่านตำราจบนางถึงได้รู้ว่าการฝึกลมหายใจเป็นส่วนสำคัญของการฝึกฝนพลังปราณเมื่อนางลองฝึกตามตำราจึงค้นพบว่า หากนางควบคุมการหายใจได้ก็สามารถควบคุมเส้นปราณในร่างกายได้ เหมือนเป็นการเปิดเส้นปราณในร่างกายให้พร้อมที่จะเริ่มฝึกขั้นต่อไปตอนนี้เส้นปราณของนางนั้นใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม อีกทั้งนางยังสามารถรับรู้เสียงต่างๆ รอบตัวได้ชัดเจนขึ้นแม้กระทั่งเสียงน้ำไหลที่ลำธารนางก็ได้ยินชัดเหมือนนางนั่งอยู่ริมลำธารเลยลู่จื้อนางไม่รู
ลู่จื้อจึงนำตำราออกมาให้ลู่เพ่ยได้ศึกษา ก่อนหน้านี้ลู่เพ่ยเคยได้เขียนอ่านมาบ้างแล้วจากบิดาจึงทำให้สามารถอ่านตำราได้ บิดาของตนเคยได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาเช่นท่านลุงใหญ่ แต่ทั้งคู่สอบหลายรอบแล้วไม่ผ่านจึงเลิกเรียนออกมาทำงานแทนท่านใหญ่ลุงจางเสียนได้ดูแลบัญชีให้กับร้านขายผ้าในตัวเมือง โดยส่งเงินให้ท่านย่าใช้ภายในบ้านทุกเดือน บิดาของนางจึงต้องอยู่บ้านทำนา ขึ้นเขาล่าสัตว์แทน นี้คืออีกเหตุผลที่ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ใหญ่มีอำนาจภายในบ้านมากจนท่านปู่ท่านย่าเกรงใจ"น้องสะใภ้อยู่หรือไม่" เสียงตะโกนเรียกหน้าบ้านทำให้ลู่เพ่ยรีบเก็บตำราแล้วออกไปดู เป็นท่านลุงใหญ่ของตนกับกู้เหลี่ยง"ท่านแม่ดูแลท่านพ่ออยู่ขอรับ เชิญท่านลุงกับท่านลุงกู้ด้านในขอรับ" ลู่เพ่ยเปิดทางให้ทั้งสองเข้ามา"ขออภัยข้าไม่อาจลุกออกไปต้อนรับพวกท่านทั้งสองได้" จางหมินเอ่ยปากพูดกับทั้งคู่ ลู่จื้อนำน้ำออกมาต้อนรับแขกแล้วปลีกตัวออกไปอย่างรู้ความตอนนี้ในห้องของจางหมินมีเพียง จางเสียนกับกู้เหลี่ยงเท่านั้น จางเสียนมองน้องชายของด้วยที่นอนเป็นคนพิการอยู่บนเตียง ตัวเขาก็ตอบไม่ได้เช่นกันว่ารู้สึกเช่นใดกับน้องชาย เขาสองพี่น้องมิได้รังเกียจกัน แต่จ
เมื่ออ่านตำราจบแล้วทำให้รู้ว่าไม่ใช่ว่าในแคว้นฉี จะไม่มีผู้ฝึกปราณ แต่คนที่ฝึกนั้นมีน้อยมาก แล้วยังไม่มีผู้ที่เป็นผู้ฝึกตนเพื่อก้าวข้ามสู่ขั้นเป็นเซียน หากนางทำให้ครอบครัวของนางทุกคนเป็นผู้ฝึกตนได้ต่อไปครอบครัวของนางก็ไม่ต้องเกรงกลัวอำนาจของผู้ใดอีกลู่จื้อจึงลองเปิดจุดตันเถียนตามตำรา นางนั่งกำหนดจิตไปที่จุดตันเถียน (อยู่ด้านล่างสะดือลงไปสามนิ้วเรียกตันเถียนล่าง) เมื่อเข้าสู่สมาธิลู่จื้อค้นพบจุดแสงใจกลางตันเถียนก้อนเท่าเมล็ดถั่ว หากใช้ความรู้สึกจับจะเห็นว่าจะมีแสงหลากหลายสีกระจายโดยรอบๆ อีกมาก นางจึงค่อยๆ ดึงแสงเหล่านั้นเข้ามารวมในจุดตันเถียนให้เป็นหนึ่งเดียวจากนั้นนางโคจรเส้นลมปราณเพื่อดึงแสงสีต่างๆ จากจุดตันเถียนระหว่างคิ้ว (เรียกจุดตันเถียนบน) และตรงกลางหัวใจ (เรียกจุดตันเถียนกลาง)ลู่จื้อทำตามวิธีที่ตำราได้บอกไว้ นางนั่งรวบรวมแสงจนเก็บทั้งหมดเข้าจุดตันเถียนได้แล้ว นางจึงออกจากสมาธิก็พบว่าเวลาผ่านมาไม่น้อยแล้วและคิดว่าด้านนอกคงจะเช้าแล้ว ครอบครัวของนางคงจะเป็นห่วงที่นางหายไปที่ใดก็ไม่รู้ ตอนนี้ตัวของนางส่งกลิ่นเหม็นแถมยังมีคราบสีดำเลอะเสื้อผ้าเต็มไปหมด ชุดนี้ของนางคงจะนำมาใส่อีกไ
“หากพวกเจ้ามีสมุนไพร นำมาขายให้ร้านยาของข้าได้ตลอด” หมอฉีกล่าวบอกทั้งสองคน“หากข้าได้ของดีเช่นนี้มาอีกจะนึกถึงร้านยาของท่านก่อนแน่นอนเจ้าค่ะ” หมอฉีดูจะพอใจกับคำพูดของลู่จื้อ“ดีดีดี หากพวกเจ้ามีเรื่องใดที่ข้าช่วยเหลือได้ก็อย่าได้เกรงใจ” นี่แหละคือสิ่งที่ลู่จื้อต้องการ“ท่านหมอฉีเจ้าคะ ข้าอยากรบกวนให้ท่านไปตรวจดูอาการของบิดาที่หมู่บ้านชุนหนานเจ้าค่ะ” ลู่จื้อแจ้งรายละเอียดอาการบาดเจ็บของบิดาที่ไม่สามารถเดินทางมาที่โรงหมอได้เมื่อนัดเวลากับหมอฉีที่จะไปตรวจให้บิดาที่หมู่บ้านแล้วลู่จื้อจึงขอตัวกลับลู่เพ่ยที่เก็บตั๋วเงินไว้ในอกก็มีอาการแข็งขาอ่อนแรง ก้าวเดินแทบจะไม่ออก ลู่จื้อจึงพาพี่ชายไปร้านรับฝากเงิน หากพี่ชายนำเงินกลับบ้านในสภาพนี้ได้ถูกโจรปล้นเป็นแน่แม้จะมีมิติเก็บของได้แล้ว แต่นางก็อยากจะนำเงินบางส่วน ฝากเงินไว้ที่ร้านรับฝากด้วย ด้วยคนอื่นจะได้เห็นว่าครอบครัวนางมาเบิกเงินไปใช้ ไม่ใช่ว่าเงินทั้งหมดที่ได้จากการขายสมุนไพรถูกเก็บไว้ที่เรือนเงินหนึ่งพันหกร้อยตำลึงทอง นางฝากเพียงสามร้อยตำลึงทองเท่านั้น แล้วส่งให้ลู่เพ่ยถือเงินไว้ซื้อของเพียงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ที่เหลือล้วนอยู่ในมิติของนาง
“จื้อเออร์ เจ้าพูดว่าอย่างไรก่อนที่โสมจะหายไป” จางหมินถามบุตรี“ข้ากำลังเก็บโสมใส่ตะกร้าแล้วพูดว่า ข้านำไปเก็บก่อนนะเจ้าคะ”ลู่จื้อกำลังแสดงท่าทางตอนเก็บโสมให้ทุกคนดู โดยใช้แก้วน้ำที่วางบนโต๊ะของท่านพ่อถือไว้ด้วยแก้วน้ำในมือก็หายไปพอนางพูดว่าเก็บตอนนี้เป็นนางเองที่กระโดดตัวลอย ลู่เพ่ยก็หงายหลังล้มจากเก้าอี้ นางจินหรูก็กระโดดไปจับตัวจางหมินไว้ พอสงบสติอารมณ์กันได้แล้วจึงได้รู้ว่า ลูกสาวของตนมีบางสิ่งผิดปกติ“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร” จินหรูพึมพำกับตัวเอง สติของนางล่องลอยไม่อยู่กับตัวแล้ว“จื้อเออร์ แขนของเจ้าไปโดนอะไรมา” จางหมินเห็นข้อมือลู่จื้อมีรอยเลือดที่แห้งแล้วอยู่“เอ่อ... ข้าโดนกิ่งไม้เกี่ยวตอนเข้าไปเก็บไก่ป่าเจ้าค่ะ” ลู่จื้อเพิ่งจะสังเกตเห็นข้อมือของตนมีรอยบาด ทั้งยังมีเลือดที่แห้งกรังแล้วอยู่ด้วย“เอ๊ะ” ตอนนี้นางรู้แล้วว่าของหายไปได้อย่างไรที่ข้อมือปรากฏกำไลวงที่พ่อบ้านให้นางก่อนจะไปอยู่หมู่บ้านชนบท แต่ทำไมไม่มีใครเห็น หรือนางจะเห็นเพียงแค่คนเดียวลู่จื้อลองกำหนดจิต แล้วคิดว่าให้โสมออกมา บนโต๊ะตรงหน้าก็ปรากฏตะกร้าโสมขึ้น“ปะ เป็น ไป ได้ อย่าง ไร” ลู่เพ่ย พูดตะกุกตะกักออกมา“ข้