ด้านนอกจวนตอนนี้เริ่มมีข่าวซุบซิบกันว่า เกิดอันใดขึ้นทำไมถึงมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ส่งกลิ่นเหม็นออกมาจากจวนใต้เท้าเสิ่น รอไม่นานก็มีข่าวออกมาให้ชาวบ้านได้รู้กันว่า กลิ่นเหม็นที่ลอยออกมาจากจวนนี้นั้น เป็นเพราะว่าคนในจวนเกิดท้องเสียพร้อมกันยกจวน ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าเดินใกล้จวนรองแม่ทัพอีกเลย และกว่ากลิ่นเหล่านั้นจะหายไปก็ใช้เวลาหลายวันทีเดียว
เมื่อทุกคนที่ท้องเสียมีอาการดีขึ้นแล้ว ฮูหยินก็มีคำสั่งให้บ่าวไพร่มารวมกันที่หน้าเรือนใหญ่ ในเช้าวันนี้เพื่อทำการลงโทษ
“บ่าวทั้งหมดที่รับผิดชอบโรงครัว ลงโทษโบยพวกมันคนละสิบไม้ งดเบี้ยหวัดสามเดือน ส่วนคนที่เหลือให้ช่วยกันทำความสะอาดโรงครัว ทุกซอกทุกมุมภายในสองวันให้เสร็จ หากเสร็จไม่ทันโบยพวกมันเพิ่มอีกคนละสิบไม้” ฮูหยินสั่งงานกับพ่อบ้านด้วยอารมณ์โมโหรุนแรงจนบ่าวคนสนิทต้องช่วยนวดให้
“ทางฝั่งเรือนท้ายจวนล่ะพ่อบ้าน” ฮูหยินถามพ่อบ้านและคำตอบที่ได้ก็ทำให้ไม่พอใจเล็กน้อย
“ในส่วนของเรือนท้ายจวนนั้น พวกเขาไม่ได้รับอาหารจากโรงครัวมาหลายปีแล้วขอรับ” พ่อบ้านหยางตอบตามความจริง เพราะนี่เป็นคำสั่งของฮูหยินเอกที่ตัดสินใจสั่งบ่าวไพร่เอาไว้
“หึ ถือว่าพวกมันโชคดีไป ขนาดไม่ได้รับอาหารจากโรงครัวมาหลายปี แต่ยังสามารถมีหน้าอยู่ในจวนนี้ได้ไม่เลวเลยจริง ๆ” พูดจบก็หันไปมองบุตรชายด้วยความสงสาร
“โธ่ อาห่าวลูกแม่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่หรือไม่” ฮูหยินเอกเอ่ยถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง
“ท่านแม่ ท่านต้องหาตัวการที่ทำให้ข้าต้องเป็นแบบนี้ให้ได้นะขอรับ ตอนนี้ข้าไม่มีหน้าออกไปเจอใครแล้ว” เสิ่นซีห่าวเป็นคนที่มีอาการหนักกว่าใคร เพราะกินอาหารเข้าไปเยอะ ถ้าจะให้ออกนอกจวนไปเที่ยวเล่น เขาต้องโดนเหล่าสหายหรือผู้คนที่เดินผ่านไปมาล้อแน่ ๆ
“ได้สิลูกแม่ แม่จะเร่งหาตัวการมาลงโทษให้เจ้า ดูสิเจ้าซูบผอมลงไปเยอะเลย นอนพักผ่อนต่อเถิดที่เหลือแม่จะจัดการให้เอง”
พ่อบ้านหยางขมวดคิ้วมุ่น มองไปที่คุณชายใหญ่กับสิ่งที่ฮูหยินเอกพูด ‘อะไรที่บ่งบอกว่าผอมลง ถ้าจะบอกว่าน้ำหนักคุณชายใหญ่ลดลงไปสิบห้าจิน (7.5 กิโลกรัม) เขามองไปทั่วทั้งตัวของคุณชาย ยังมองไม่ออกเลยว่าตรงไหนที่ผอมลงไป’
พ่อบ้านหยางได้แต่ส่ายหน้า เมื่อรับคำสั่งจากฮูหยินเอกแล้ว จึงขอตัวออกมารีบไปทำหน้าที่ลงโทษบ่าวไพร่ จัดการเรื่องทำความสะอาดโรงครัว รวมถึงการตามหาต้นตอของอาหาร ที่ทำให้คนทั้งจวนท้องเสียพร้อมกัน
แต่ก็ยังหาสาเหตุไม่เจอว่าเกิดจากอะไร ด้วยเรื่องที่เกิดครั้งนี้ทำให้บรรดาเจ้านายทั้งหลาย ไม่กล้าออกจากจวนเป็นเดือนเชียวล่ะ
“เยว่เอ๋อร์พักนี้เจ้าเป็นอะไรไป แม่มักจะเห็นเจ้านั่งยิ้มทุกวันเลย” ลี่หลินถามขึ้นด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ได้เห็นบุตรสาวมีความสุขนางย่อมมีความสุขไปด้วย
“ข้าดีใจที่จะได้ออกไปจากที่นี่เร็ว ๆ นี้เจ้าค่ะ” ซินเยว่ตอบมารดาด้วยเรื่องนี้แทน ทั้งที่ในใจยังตลกคนพวกนั้นอุจจาระแตกไม่หาย
“แม่ว่าจะบอกเจ้าเรื่องนี้พอดี เราย้ายไปอยู่ที่เมืองเหลียงซานดีหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นเมืองที่อยู่ติดชายแดน แต่ก็ไม่มีการทำศึกสงครามเพราะติดกับแคว้นต้าโจว ที่เป็นพันธมิตรกับแคว้นหยุนของพวกเรา และที่นั่นยังมีชินอ๋องปกครองอยู่ การค้าขายก็ถือว่าคึกคักไม่น้อยยังมีการค้าขายระหว่างแคว้นอีกด้วย พวกเราอาจจะเดินทางไกลสักหน่อย แต่ไม่น่ามีปัญหาเจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร เห็นด้วยกับแม่หรือไม่”
“ในเมื่อท่านแม่บอกว่าที่นั่นดี ข้าย่อมเห็นด้วยกับท่านอยู่แล้วเจ้าค่ะ ตกลงพวกเราจะไปเริ่มต้นใหม่กันที่เมืองเหลียงซานนะเจ้าคะ” อันที่จริงนางย่อมเห็นด้วยกับมารดาอยู่แล้ว จึงฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะในหัวของนางตอนนี้นั้นคิดแต่เรื่อง……
‘อืม ใครจะเป็นรายต่อไปดีนะ อ๊ะ! นึกออกแล้ว ฮ่า ๆ ๆ’ เมื่อคิดออกซินเยว่ก็ยกยิ้มแบบตัวร้ายเล็กน้อย
“ปัดโธ่เว้ย!!!…เพล้ง ๆ ๆ” ด้วยความโมโหกับเรื่องที่ลี่หลินพูด เสิ่นหมิงเหยียนถึงกับปาแจกันในห้องทำงานลงพื้นอย่างแรง ทำให้มีเศษแจกันกระจัดกระจายไปทั่ว ตั้งแต่ข้าเติบโตมาไม่เคยมีใครพูดจาข่มขู่แบบนี้มาก่อน นางคิดว่าตนเองเป็นใครกันแค่อนุคนหนึ่งที่ไม่มีตระกูลหนุนหลัง แต่กล้ามาพูดจากับเขาเช่นนี้นางจะใจกล้าเกินไปแล้ว“ว๊ายยยย ท่านพี่นี่มันเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ เหตุใดถึงมีเศษแจกันเต็มพื้นไปหมด” ฮูหยินเอกถึงกับตกใจเมื่อเดินเข้ามาเห็นสภาพในห้องทำงานเขาปฏิเสธออกไปเพราะไม่อยากพูดถึง “ข้าเผลอสะบัดมือไปโดนแจกันเข้ามันก็เลยหล่นแตกเท่านั้น ว่าแต่เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือไม่ฮูหยิน”“เมื่อครู่ข้าเห็นอนุซูเดินออกจากห้องทำงานของท่านพี่ นางมารบกวนเวลาทำงานของท่านพี่หรือไม่เจ้าคะ”“นางมาขอพบเพื่อขอหนังสือหย่าและตัดขาดจากข้า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย“หนังสือตัดขาดงั้นรึ? แล้วท่านพี่ได้มอบมันให้กับนางไปหรือไม่เจ้าคะ” นางรู้สึกดีใจที่สามารถกำจัดสตรีในเรือนหลังไปได้หนึ่งคน แต่แสร้งถามออกไปด้วยท่าทางปกติ“ข้ามอบมันให้นางแล้วต่อจากนี้ไปนางไม่ใช่คนของจวนนี้อีก ที่เหลือรบกวนเจ้าช่วยจัดการต่อก็แล้วกัน”“ได้เจ้า
ในเรือนท้ายจวนซินเยว่กำลังช่วยมารดา เปลี่ยนแปลงใบหน้าที่งดงามด้วยเครื่องประทินโฉมให้ดูซูบซีด ประหนึ่งคนป่วยที่มีอาการหนัก“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ลองดูตนเองในกระจกสิเจ้าคะ” เพื่อให้เป็นไปตามแผนการ ซินเยว่จึงต้องเปลี่ยนใบหน้าของมารดา ให้ดูซูบผอมซีดเซียวไร้สีเลือด“อืม ถ้าแม่ไม่เห็นใบหน้าของตนเองก่อน แม่คงคิดว่าตนเองนั้นป่วยหนักจนมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งปีแน่ ๆ ลูกสาวของแม่ช่างเก่งกาจยิ่งนัก” ลี่หลินส่องดูใบหน้าในกระจก ก่อนจะหันมาเอ่ยชมบุตรสาวที่น่ารักของนาง พร้องลูบศีรษะอย่างเบามือ“นายหญิง คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้นายท่านอยู่ที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลานเดินเข้ามารายงานตามคำสั่งของซินเยว่ แต่เมื่อมารดาของนางหันหน้ากลับมาเท่านั้นแหละ“นะ นะ นายหญิงของบ่าว ฮือ ๆ ๆ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ เมื่อวานยังดูสดใสแข็งแรงอยู่เลย ทำไมวันนี้ถึงได้เจ็บป่วยอาการหนักเช่นนี้ ถ้านายหญิงเป็นอะไรไปบ่าวกับคุณหนู จะอยู่เพียงลำพังได้ยังไงกันเจ้าคะ ฮือ ๆ ๆ” ซินเยว่นั่งเท้าคางมองเสี่ยวหลาน ที่ตอนนี้ร้องไห้น้ำตาดั่งสายเลือด จนทำให้แป้งที่ทาไว้เป็นคราบเลอะไปทั่วไหน้า ซินเยว่อยากจะหัวเราะแต่จำเป็นต้องกลั้นไว้แทน“เ
ผ่านไปอีกสองวันและเช้านี้ที่บริเวณหน้าจวน มีฮูหยินเอกและบ่าวไพร่บางส่วน ไปยืนรอต้อนรับนายท่านเสิ่นอย่างใจจดใจจ่อ ไม่นานก็มีรถม้าขนาดกลางมาหยุดที่หน้าจวน“ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว” ฮูหยินเอ่ยเรียกสามีด้วยความดีใจ“ฮูหยินเจ้าสบายดีหรือไม่ หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว คนอื่นๆ เล่าทำไมถึงมีเจ้าคนเดียวที่มารอข้า” นายท่านเสิ่นหันไปมองก็เจอแค่บ่าวไพร่ แล้วบุตรชายกับอนุทั้งสองของเขาหายไปไหนกันหมด“ท่านพี่เดินทางไกลคงเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ข้าว่าท่านเข้าไปพักผ่อนในเรือนก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ท่านฟังทีหลัง” นางจะพูดตอนนี้ได้อย่างไร หน้าจวนมีผู้คนผ่านไปมามากมาย หากใครได้ยินเข้าต้องกลายเป็นเรื่องเล่าในวงน้ำชาทั่วเมืองหลวงเป็นแน่“อืม ก็ดีเหมือนกัน” นายท่านเสิ่นเดินเข้าไปนั่งพักผ่อนในห้องโถงที่เป็นเรือนรับรอง“น้ำชาเจ้าค่ะท่านพี่” ฮูหยินเอกพูดด้วยท่าทางเอาใจใส่สามี“ท่านพี่เจ้าคะ ตอนนี้ห่าวเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุนอนรักษาตัวอยู่ที่เรือน ส่วนอนุทั้งสองพวกนางทำความผิด ข้าจึงลงโทษตามกฎของบ้านและกักตัวให้อยู่แต่ในเรือน วันนี้จึงมีเพียงข้าที่ออกไปรอต้อนรับท่านพี่เจ้าค่ะท่านเพิ่งกลับมาถึง
พวกบ่าวไพร่ช่วยกันหามเปล ที่มีร่างของคุณชายใหญ่กลับมาที่เรือน แต่เจอเข้ากับฮูหยินเอกเสียก่อน“อาห่าวลูกแม่! นี่มันเกิดอะไรขึ้นใครเป็นคนทำร้ายเจ้าจนบาดเจ็บถึงเพียงนี้!” ฮูหยินตกใจเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นสะท้าน ทันทีที่เห็นสภาพของบุตรชาย จึงหันไปถามความกับบ่าวคนสนิทของซีห่าว“ฉู่เหอ ใครเป็นคนทำร้ายลูกข้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้”“บะ บะ บ่าวไม่ทราบขอรับว่าเป็นผู้ใด ตอนที่บ่าวไปถึงก็เห็นคุณชายอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วขอรับ” ฉู่เหอตอบฮูหยินเอกด้วยเสียงสั่น ๆ“พวกไม่ได้เรื่อง!! เจ้าเป็นบ่าวคนสนิทของบุตรชายข้า มีหน้าที่ติดตามคอยดูแลตลอดเวลา แต่เจ้ากลับปล่อยให้เขาคลาดสายตาจนเจ็บตัวเช่นนี้ได้ยังไง เอาไว้ข้าจะลงโทษเจ้าทีหลังตอนนี้รีบไปตามท่านหมอมาได้แล้ว” ฉู่เหอรีบวิ่งออกไปตามท่านหมออย่างรวดเร็ว“ลูกแม่เจ้าเจ็บมากหรือไม่ ใครเป็นคนทำร้ายเจ้า ๆ บอกแม่มาแม่จะไปจัดการให้เจ้าเอง” ฮูหยินนั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ เตียงผ่านไปราวสองเค่อ ฉู่เหอก็พาท่านหมอเข้ามาตรวจอาการของเสิ่นซีห่าว ท่านหมอจับชีพจรและสอบถามอาการเบื้องต้น พอตรวจกระดูกที่ขาเรียบร้อยก็หันกลับมาเอ่ยกับฮูหยินเอก“อาการบาดเจ็บของบุตรชายข้า เป็นอย่างไรบ้างเจ้าค
กลับไปที่สวนไผ่ไกลผู้คน ซึ่งยามนี้พี่ชายแสนดีของซินเยว่ ยังคงยืนได้ไม่มั่นคงนักแต่ปากก็ไม่วายพ่นคำด่าทอนางไม่หยุด“คอยดูเถอะนังสารเลวข้าจะฟ้องท่านแม่ ให้ท่านแม่สั่งโบยเจ้ากับแม่ของเจ้าให้ตาย”ไม่ต้องรอให้จบคำด่าทอซินเยว่ก็วิ่งเข้าไป กระโดดถีบตรงกลางลำตัวของซีห่าวจนกระเด็นไปตกในกอไผ่ “อ้ากกกกก”“เช่นนั้นก่อนที่ข้าจะถูกโทษโบยจากแม่ของเจ้า ข้าควรจัดการเจ้าให้หนัก ๆ เป็นการขอบคุณล่วงหน้าก็แล้วกัน” นางยิ้มเยาะไปหนึ่งกรุบ“โอ้ยยย ซินเยว่นังสารเลวเลี้ยงไม่เชื่อง นังบะ อั่ก!! แค่ก ๆ ๆ” ยังพูดไม่ทันจบก็รู้สึกว่ามีเม็ดอะไรสักอย่าง ไหลลงคออย่างรวดเร็วและตอนนี้ก็เริ่มเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย“พูดไร้สาระอยู่ได้ ตอนนี้เป็นทีของข้าที่ต้องพูดบ้าง รู้สึกเช่นไรที่ต้องกลายเป็นที่รองรับอารมณ์และถูกทุบตี เจ็บหรือไม่เล่า ในตอนที่ข้าโดนเจ้ากับพวกสหายเหล่านั้นทำกับข้า ๆ ก็เจ็บปวดเป็นเหมือนกัน เพราะข้าเป็นคนไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่เจ้าจะทำอะไรกับข้าก็ได้” ซีห่าวทำได้แค่จ้องมองไปที่ซินเยว่ เขารู้สึกว่านางเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากจนเขาเริ่มหวาดกลัว“นี่ ๆ ๆ อย่ามองประหนึ่งว่าข้าเป็นคนเลวร้ายสิ เรื่องในวันนี้มันก็แค่อุบัติ
เช้าวันนี้ ณ เรือนท้ายจวน“คุณหนูเจ้าคะสายข่าวของบ่าวรายงานว่า ขบวนเดินทางของนายท่านใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลานเข้ามารายงานซินเยว่ด้วยความเร่งรีบ“หืม สายข่าว? นี่ถ้าข้าไม่รู้มาก่อนว่าพี่เป็นสาวใช้ของท่านแม่ ข้าคงคิดว่าพี่มีอาชีพซื้อขายข่าวเป็นแน่ อืม หรือข้าจะเปิดหอขายข่าวให้พี่เสี่ยวหลานเป็นผู้จัดการเรื่องการขายข่าวดีไหม”“คุณหนูอย่าล้อบ่าวสิเจ้าคะ บ่าวก็แค่อาศัยการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี และมีสหายอยู่ด้านนอกจวนมากมาย แม้บ่าวจะไม่อยากรู้พวกเขาก็เอามานั่งเล่าให้บ่าวฟังอยู่ดีเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลานทำเป็นเขินอายกลบเกลื่อน“อั้ยโย่ว นี่ขนาดไม่อยากรู้นะเนี่ยถ้าเกิดอยากรู้จะขนาดไหนนะ คิก ๆ ๆ เอาล่ะ ๆ ข้าไม่ล้อพี่เสี่ยวหลานแล้ว ข้าจะจบงานสุดท้ายในจวนเร็ว ๆ นี้แหละ พี่ต้องคอยดูต้นทางให้ข้าด้วยล่ะ”“งานอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู?” เสี่ยวหลานถามด้วยความอยากรู้ทันที“งานเชือดคนในจวนแบบไม่มีเลือดแต่เจ็บปวด” แค่คิดก็สนุกแล้ว“เรื่องคอยดูต้นทางคุณหนูไว้ใจบ่าวได้เลยเจ้าค่ะ บ่าวจะจัดการให้ดีที่สุด” เสี่ยวหลานพยักหน้าเข้าใจในทันทีหลายวันต่อมาเสี่ยวหลานที่คอยดูต้นทาง หันไปเรียกซินเยว่เมื่อเป้าหมาย