หน้าหลัก / โรแมนติก / ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า / บทที่ I กลิ่นสาบคนเลี้ยงม้า (Part 1/2)

แชร์

บทที่ I กลิ่นสาบคนเลี้ยงม้า (Part 1/2)

ผู้เขียน: 0I0VIII
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-17 18:04:41

        “ข้าบอกไปกี่ครั้งแล้วว่าห้ามไม่ให้พวกเจ้าเข้ามาที่นี่ รีบไสหัวออกไปให้พ้นหน้าข้าเสีย ก่อนที่ข้าจะจับพวกเจ้าโยนออกไป” ซูไป๋หลานชี้นิ้วสั่งเด็กน้อยสองคนที่นั่งเล่นอยู่ในเก๋งริมน้ำ ดวงตากลมโตกดต่ำแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจเท่าใดนัก

        “ข้าจะรีบพานางออกไปเดี๋ยวนี้ขอรับ” เด็กชายก้มหัวขออภัยงันงก เขาจับมือน้องสาวไว้แน่น รีบจูงนางให้พ้นสายตาของพี่หญิงใหญ่โดยไว เพียงไม่นานแผ่นหลังเล็กก็หายไปจากครรลองสายตา

        “หึ” คุณหนูซูในวัย 10 หนาวเชิดหน้าขึ้น เก๋งริมน้ำแห่งนี้นับว่าเป็นของนาง ท่านพ่อสร้างให้นาง ดังนั้นนางไม่คิดจะเผื่อแผ่ให้ใคร กระทั่งพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันก็ตาม

        ดอกไม้พวกนี้ก็ด้วย ดังนั้นปีกขวาเกินกว่าสามในสี่ของพื้นที่ ซูไป๋หลานจึงครอบครองทั้งหมด เหลือไว้เพียงหนึ่งส่วนให้พี่น้องอยู่อาศัย สำหรับลูกอนุเท่านี้ก็นับว่าปรานีมากแล้ว

        ดวงตากลมสีดำขลับมองน้ำใสแจ๋วที่มีดอกบัวเบ่งบานพลางรับลมเย็น ทิวทัศน์ยามเช้านับว่าเหมาะแก่การพักสายตาหลังรับประทานอาหารอย่างยิ่ง

        ในวันหนึ่งของซูไป๋หลานไม่มีอันใดมาก หลังรับประทานอาหารเช้าจะแวะพักที่เก๋งริมน้ำมุมโปรด จากนั้นก็เข้าเรียนมารยาทกับอาจารย์ที่ถูกเชิญมาสอนถึงในจวน ตามด้วยศาสตร์และศิลป์ ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ คัดอักษร เขียนกลอน เย็บปักถักร้อย นางล้วนร่ำเรียนจนเริ่มเบื่อหน่าย เกิดความคิดว่าอยากฝึกขี่ม้าฟันดาบ เฉกเช่นลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งท่านตาดูบ้าง น่าจะสนุกไม่น้อยทีเดียว

        “ฮ่วนผิง ยวี่ถิง พวกเราไปท้ายจวนกันเถิด” ร่างเล็กดีดตัวลุกขึ้นจากพื้น ปรายตามองสาวรับใช้คนสนิททั้งสองพลางออกเดินนำไปก่อนโดยไม่คิดฟังคำทัดทาน

        วันนี้เป็นวันหยุด ฉะนั้นนางต้องใช้ให้คุ้มค่า

        เนื่องจากอาณาบริเวณกว้างขวาง การเดินจากปีกขวาไปท้ายจวนนั้นกินเวลาไปราวชาในจอกเย็นชืด ซูไป๋หลานแต่ไหนแต่ไรมามิเคยลำบาก ทว่าวันนี้เหงื่อเม็ดเล็กกลับผุดขึ้นบนกรอบหน้ากลม แต่นางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับ

        บ่าวไพร่ที่เห็นคุณหนูใหญ่เดินมาทางนี้ต่างสงสัยว่านางมาทำอันใดที่นี่ กระนั้นต่างหยุดค้อมกายให้ทุกครั้งที่ร่างเล็กก้าวผ่าน

        มิมีผู้ใดกล้าปริปากถาม เนื่องด้วยนิสัยใจคอดุร้ายเลื่องลือในหมู่ข้ารับใช้

        “พวกเรากลับกันดีไหมเจ้าคะคุณหนู” คงมีเพียงสาวรับใช้คนสนิทอย่าง ‘ฮ่วนผิง’ และ ‘ยวี่ถิง’ ที่กล้าทักท้วง กระนั้นพอดวงตากลมตวัดมองพวกนางก็หุบปากฉับ ก้มหน้าเดินตามคุณหนูของตนต่ออย่างไร้ซึ่งปากเสียงใด

        “ข้าไม่ได้ขอความเห็นจากพวกเจ้า หากไม่อยากตามมาก็ไสหัวกลับไปเสีย” ปากคอของเด็กที่เป็นผ้าขาวไฉนเลยเราะรายได้ถึงเพียงนี้ มิทราบว่าถูกผู้ใหญ่ย้อมสีใดลงไปบ้างแล้ว จึงได้มีนิสัยไม่เห็นหัวผู้ใด

        ผ่านมาอีกราวหนึ่งก้านธูป ขาเล็กเริ่มอ่อนล้าในที่สุดก็มาถึงยังจุดหมาย ซูไป๋หลานมองเห็นคอกม้าอยู่ในระยะสายตา คอกไม้เรียงกันเป็นแนวยาวนับสิบ ในนั้นล้วนมีอาชาพันธุ์ดีที่ถูกส่งมาจากตระกูลหลิวของมารดาอาศัยอยู่คอกละตัว บ้างเป็นสีดำ บ้างสีน้ำตาล บ้างผสมสองสีน้ำตาลดำ และที่สะดุดตามากสุด เห็นทีจะเป็นม้าสีขาวปลอดราวปุยเมฆนี่กระมัง

        ซูไป๋หลานมิอาจละสายตาไปจากมันได้ ราวกับต้องมนตร์สะกด นางก้าวเข้าใกล้พลางยื่นมือเข้าไปลูบหัว ในขณะที่มันก้มลงเล็มยอดหญ้า

        “ฮี้!!”

        “ว้าย!!...คุณหนู” เสียงม้าร้องตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของสาวรับใช้ทั้งสองนาง ซูไป๋หลานผงะถอยหลังทำตัวไม่ถูกเมื่อม้าที่นางลูบหัวเมื่อครูพุ่งตัวชนกับคอกเสียงดังโครมใหญ่ ร่างเล็กกำลังจะล้มก้นกระแทกพื้น หากแต่ได้วงแขนหนึ่งรับตัวเอาไว้เสียก่อน

        เจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงคือบุรุษวัยฉกรรจ์ ผิวของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้มกร้านแดด ใบหน้าหล่อเหลามีไรหนวดเห็นสันกรามชัด รูปร่างเองก็สูงใหญ่มิต่างจากม้าศึก กลิ่นเหงื่อจางๆ ของบุรุษเพศแตะจมูกคุณหนูผู้ไร้เดียงสา นางผงะอีกรอบผลักอ้อมแขนนั้นออกในทันที

        “เจ้าคนต่ำต้อย กล้าดีอย่างไรมาแตะต้องตัวข้า” เสียงเล็กแหลมตะโกนลั่นจนม้าแตกตื่น นางรีบนำผ้าเช็ดหน้าเช็ดไปตามแขนและเสื้อผ้าในจุดที่คนเลี้ยงม้าสัมผัสเมื่อครู่ แล้วเสร็จก็โยนทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี สีหน้าท่าทางแสดงออกว่ารังเกียจอย่างชัดเจน

        “ข้าจะไปบอกท่านแม่ว่าเจ้าล่วงเกินข้า เตรียมตัวเตรียมใจรอรับโทษได้เลย” นางกล่าวก่อนจะหมุนกายจากไปอย่างฉุนเฉียว พลางคิดในใจว่ามันกล้าดีอย่างไรมาแตะต้องร่างกายอันสูงส่งของนาง

        ซูไป๋หลานมีสถานะเป็นถึงคู่หมั้นขององค์รัชทายาท รอถึงวัยปักปิ่นนางจะได้เข้าพิธีอภิเษกเป็นชายาเอก ฐานะในวันข้างหน้าคือฮองเฮาแม่แห่งแผ่นดิน บุรุษผู้ต้อยต่ำเกลือกกลั้วอยู่กับมูลม้าเช่นมัน ไฉนเลยใช้มือสกปรกมาจับต้องนางได้กัน

        “อย่าคิดที่จะหนีเล่าเจ้าคนเหม็นสาบ” นางหันกลับมากล่าวอีกประโยคหนึ่ง ก่อนจะเชิดหน้าคอตั้ง เดินหายลับไปยังทางที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครู่

        คนเลี้ยงม้ามิได้เอ่ยแม้สักหนึ่งประโยค ที่เขาไม่พูดมิใช่ไม่อยากพูด ทว่าเขาพูดไม่ได้ต่างหาก

        อนิจจา!! คนเลี้ยงม้าแม้รูปลักษณ์ภายนอกดูไม่เลวกลับเป็นใบ้ จะแก้ต่างให้ตนยังมิสามารถกระทำได้

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า   บทพิเศษ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ชั่วนิจนิรันดร์ (Part 6/6)

    คล้อยหลังร่างสูงใหญ่ไปไม่นาน นางรับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งสัมผัสกับผิวกาย ซูไป๋หลานตื่นตระหนกเมื่อเจ้าสิ่งนั้นค่อยๆ เลื้อยพันร่างของนาง กระทั่งมันรัดรอบหน้าอก ผิวสากแลเย็นยะเยือกครูดไปกับยอดถันชูชัน เมื่อนั้นร่างของนางก็สั่นระริกระคนสั่นกระเส่า “งะ…งูรึ” ซูไป๋หลานกลัวงู นางอยากจินตนาการว่าเป็นอย่างอื่น ทว่าสัมผัสแนบเนื้อชัดเจนจนคิดเป็นอย่างอื่นมิได้ ร่างบอบบางพลันสิ้นเรี่ยวแรง กระทั่งเสียงจะกรีดร้องยังดังอยู่ในลำคอ ร่างยาวเหยียดและอวบหนาพันรอบร่างกายซูไป๋หลาน มันใช้บริเวณโคนหางแยกขาเรียวออกจากกัน ส่งปลายหางเรียวแหลมแหย่เข้าไปในโพรงนุ่มทีละน้อย “เฮือก!!” “อะ…อา” นางตกใจในคราแรก ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นครางแผ่วเมื่อเดรัจฉานเลือดเย็นทะลวงหางของมันเข้าออกในรูร่องที่ยังคงเปียกชื้นจากน้ำหวานของนาง และน้ำคาวของคนเลี้ยงม้า มันขยับสอดใส่ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น สุดท้ายกลายเป็นลื่นไหลไม่ติดขัด สัมผัสแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้รับส่งดรุณีน้อยมากราคะถึงสวรรค์ ร่างกายของนางสั่นกระตุก โพรงนุ่มรัดหางงูแน่น กระทั่งมันถอนส่วนนั้นออกนางจึงรู้สึกโล่ง ทว่าเพียงไม่นานกลับมีบางอย่

  • ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า   บทพิเศษ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ชั่วนิจนิรันดร์ (Part 5/6)

    “ข้ากลัว ไม่ไปได้หรือไม่” ซูไป๋หลานหยุดยืนนิ่ง ทอดสายตามองเข้าไปในความมืดที่ถูกแสงจากคบไฟสาดส่องให้เห็นเพียงเลือนราง ทว่าเสียงน้ำไหลทำให้นางตัวสั่น ก้าวเท้าถอยหลังโดยไม่รู้ตัว “ไม่เป็นไรนะขอรับคุณหนู ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่แล้ว” คนเลี้ยงม้าพยายามปลอบคุณหนู มือใหญ่กอบกุมมือเล็กไว้แน่น ดวงตาดำมืดมองใบหน้าซีดเผือด ออกแรงดึงมือเล็กให้เดินตาม “อึก” ซูไป๋หลานกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ นางจดจำเหตุการณ์ร่วมสังวาสที่น้ำตกกับเขาได้ ภาพร่างแน่นิ่งยังคงติดตา สัมผัสเย็นยะเยือกยังคงติดตรึงในใจ นางกลัวว่าจะเป็นเช่นคืนนั้นอีก หากให้เห็นคนรักเย็นชืดเป็นศพอีกครั้ง นางคงรับไม่ไหวอีกแล้ว “คุณหนู คิดเสียว่าคืนนั้นเป็นเพียงฝันร้ายนะขอรับ ข้าสัญญาว่าจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีก” “ข้า…เชื่อเจ้า” ซูไป๋หลานยังคงไม่คลายความกังวล ร่างกายเองก็ยังคงสั่นระริก ทว่าหากคนเลี้ยงม้ารับปาก นางก็เชื่อใจเขา คนเลี้ยงม้าไม่โกหก ครั้งหอโคมเขียวเขาบอกจะมารับในอีกหนึ่งเดือนเขาก็มาตามที่พูด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ซูไป๋หลานก้าวเท้าสัมผัสผิวน้ำทีละข้าง น่าแปลกที่อากาศเย็นทว่าน

  • ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า   บทพิเศษ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ชั่วนิจนิรันดร์ (Part 4/6)

    “อ๊ะ…อ๊า…” เสียงครางหวานแว่วออกมาจากในกระท่อมหลังเล็ก เงาร่างสองร่างโยกไหวเกิดเป็นระลอกคลื่นวาบหวาม เสียงการสอดประสานของสองกายดังเป็นจังหวะหนัก ท่ามกลางความมืดแลหนาวเหน็บของราตรีกาลอันเป็นนิจนิรันดร์ ภายในกระท่อมกลับร้อนระอุ ซูไป๋หลานเป็นม้าให้คนเลี้ยงม้าควบขี่ บุรุษร่างใหญ่คร่อมทับร่างเล็กของนาง สอบกลางกายเข้าใส่ สาดซัดความเสียวให้ร่างแน่งน้อยแดดิ้นอยู่บนพื้น นางคลานเข่าแอ่นบั้นท้ายราวกับสัตว์ที่กำลังถูกผสมพันธุ์ เพื่อรองรับแท่งทวนอวบใหญ่ที่ทะลวงเข้าออก “อ่า…คุณหนู เด้งสะโพกสวนรับด้วยสิขอรับ” คนเลี้ยงม้าออกคำสั่งอย่างไร ซูไป๋หลานก็ทำตามนั้น แม้ว่าแท่งทวนจะทะลวงลึกจนนางจุกในท้อง ทว่าหากคนเลี้ยงม้าต้องการ แม้จะจุกเพียงใด อึดอัดจนรู้สึกไม่สบายตัว นางก็ยินดีทำให้ เพียงเพื่อปรนเปรอให้เขาพึงใจ “อ๊ะ…ลึก…ลึกมาก” นางเชิดหน้าครวญคราง สวนสะโพกรับกับจังหวะตอกอัดของคนเลี้ยงม้า แท่งทวนยาวเหยียดเข้าสุดออกสุดทุกครั้ง เมื่อนางเสียวจนทนไม่ไหว แขนสั่นระริกมิอาจทรงตัวได้ จึงแนบใบหน้าลงกับพื้นเย็นเฉียบของกระท่อม แอ่นเพียงบั้นท้ายให้เขาตอกตรึง ซ้ำยังสวนสะโพกกลับไปอย่างไม่ขา

  • ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า   บทพิเศษ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ชั่วนิจนิรันดร์ (Part 3/6)

    “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินกำลังให้นมคุณชายน้อยอยู่เจ้าค่ะ หลังรับประทานอาหารเย็น ค่อยมาใหม่นะเจ้าคะ” ซูไป๋หลานแวะมาหามารดาก่อนที่จะเข้าเรียนในช่วงบ่าย ทว่าคำตอบที่ได้รับทำให้นางเดินคอตกกลับไปโดยไม่มีคำพูดใด “ฮูหยินเข้านอนไปพร้อมคุณชายน้อยแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะเจ้าคะ” ซูไป๋หลานมาหามารดาช่วงหัวค่ำ นางตั้งใจปักผ้าเช็ดหน้ามาให้จึงใช้เวลาทำนานพอสมควร รูปดอกกุหลาบสีแดงทำให้นึกถึงผู้ให้กำเนิด ทว่าคำตอบจากสาวใช้เป็นเหตุให้นางต้องเก็บผ้าผืนนั้นกลับไป ไว้รอมาให้ในวันพรุ่งนี้แทน “ฮูหยินพาคุณชายน้อยไปรับแสงแดดอ่อนยามเช้า คุณหนูใหญ่มาพบฮูหยินในช่วงรับประทานอาหารกลางวันแทนนะเจ้าคะ” แล้วคำตอบที่ได้รับก็ไม่ต่างไปจากเดิม คราวนี้ซูไป๋หลานโยนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นทิ้งลงไปในสระบัว นางยืนนิ่งจ้องมองมันค่อยๆ จมหายลงไปใต้ผืนน้ำ เฉกเช่นใจดวงน้อยที่ค่อยดำดิ่งลงสู่เบื้องล่าง ลึกลงไปในก้นสระ ไม่ต่างจากก้นบึ้งหัวใจอันหนาวเหน็บของนาง ซูไป๋หลานจำไม่ได้ว่ามาหามารดาสิบครั้งได้เข้าพบถึงสองครั้งหรือไม่ เพราะมารดายุ่งเหลือเกิน จึงเดินคอตกกลับไปยังห้องที่ใช้เรียนคัดอักษรในวันนี้ ทว่านางไม่ม

  • ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า   บทพิเศษ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ชั่วนิจนิรันดร์ (Part 2/6)

    ซูไป๋หลานในวัยสิบหนาวกระโดดโลดเต้น นางตั้งใจจะนำภาพวาดครอบครัวที่มีนาง บิดาและมารดามามอบให้ท่านพ่อและท่านแม่ตามคำแนะนำของสาวรับใช้คนสนิท เด็กน้อยพบว่าประตูห้องนอนใหญ่มิได้ปิดไว้เช่นทุกทีจึงยิ่งอารมณ์ดี ขาเล็กก้าวเร็วๆ กระทั่งเห็นว่าด้านในไม่ได้มีเพียงบิดาและมารดา ทว่ามีแผ่นหลังชราและสาวรับใช้คนสนิทของฮูหยินซูอยู่ด้วย นางหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าประตู มองคนทั้งหมดด้วยความสงสัยว่าเหตุใดจึงมารวมตัวกันที่นี่ในเวลาเช่นนี้ “ยินดีด้วยขอรับนายท่าน ฮูหยินซูตั้งครรภ์แล้วขอรับ” “จริงหรือ เจ้าตรวจดูอีกทีให้แน่ใจ” “จริงขอรับ ข้าจับชีพจรของฮูหยินเพื่อให้มั่นใจถึงสามรอบ ผลที่ออกมาไม่ผิดพลาดแน่ขอรับ” “ท่านพี่ ข้าดีใจเหลือเกิน ในที่สุดก็ตั้งครรภ์ที่สองให้ท่านได้แล้ว” น้ำเสียงของฮูหยินซูสั่นเครือ ทว่าไม่ใช่เพราะความเสียใจ นางกำลังดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เดิมทีซูซือเย่ก็มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก นางมีบุตรยาก กระทั่งอนุลี่มีบุตรชายอายุได้สามหนาวนางจึงให้กำเนิดซูไป๋หลาน ทว่าน่าเสียดายที่ฮูหยินซูได้บุตรสาว แทนที่จะเป็นบุตรชายไว้สืบสกุล หลัง

  • ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า   บทพิเศษ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ชั่วนิจนิรันดร์ (Part 1/6)

    เพี้ยะ!! ขวับ!! เสียงแส้ฟาดลงบนผิวเนื้อดังบาดหู เสียงหวีดหวิวเมื่อแส้ถูกเงื้อขึ้นและหวดกลับลงมาด้วยความเร็วเองก็น่าหวาดเสียวไม่น้อย ทว่ายังไม่ดังเท่าเสียงอ้อนวอนของสตรีที่กำลังได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส “ได้โปรดยกโทษให้…อ๊า…ข้าด้วยเจ้าคะ…เพี้ยะ!!...อ๊า…ฮูหยิน” “แรงกว่านี้อีก หรือว่าเจ้าอยากโดนเสียเอง” ฮูหยินซู หรือก็คือ ซูซือเย่ปรายตามองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่กำลังเฆี่ยนสตรีผู้โชคร้าย กระแสความไม่พอใจพาดผ่านดวงตาหงส์ นางรู้สึกว่าทัณฑ์ทรมานที่บ่าวรับใช้มอบให้อนุลี่นั้นยังไม่มากพอ มิเช่นนั้นคงไม่พูดอะไรให้ระคายหู สิ่งที่นางอยากได้ยินมีเพียงเสียงร้องโหยหวนเท่านั้น นับจากนั้นจึงมีเพียงเสียงกรีดร้องของสตรีที่ถูกขึงไว้กับตั่งไม้ยกสูง ในลานโบยที่มิมีผู้ใดอยากเฉียดใกล้ ซูไป๋หลานวัยแปดหนาวกอดเอวมารดาแน่น ใบหน้าเล็กซุกอยู่ด้านหลัง ทว่าบางคราจะโผล่เพียงเสี้ยวหน้าออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก และภาพที่เห็นก็ทำให้เจ้าตัวหลบกลับเข้าไปที่เดิมอีกครั้ง จวบจนเสียงของอนุลี่เริ่มแผ่วลง ทว่าแรงหวดของแส้กลับยังคงหนักแน่นเช่นเดิม นางจึง

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status