จากคุณหนู สู่การเป็นทาสสวาทของคนเลี้ยงม้า สถานะอันสูงส่งปลิดปลิว ราวกับใบไม้หลุดจากขั้ว ร่างกายบริสุทธิ์แปดเปื้อนรอยมลทิน จากสูงส่ง ถูกฉุดให้ตกต่ำ
View Moreจากคุณหนู สู่การเป็นทาสสวาทของคนเลี้ยงม้า
สถานะอันสูงส่งปลิดปลิว ราวกับใบไม้หลุดจากขั้ว
ร่างกายบริสุทธิ์แปดเปื้อนรอยมลทิน
จากสูงส่ง ถูกฉุดให้ตกต่ำ
ท่ามกลางความมืดของราตรีกาล เสียงหวีดหวิวของสายลมในวสันต์ฤดู จิ้งหรีดเรไรขับขานบทเพลงอย่างแข็งขัน กระนั้นยังดังมิสู้เสียงหนึ่ง กึ่งโหยหากึ่งเจ็บปวด
“เจ้าคนเลี้ยงม้า”
“ข้ามาแล้ว”
“เจ้าคนเลี้ยงม้า เจ้าอยู่ที่ใด รีบออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้นะ”
“เจ้าคนเลี้ยงม้า…ฮึก…ฮือ…ข้าขอโทษ”
กลางดึกในทุกค่ำคืนจะได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งเรียกหาคนเลี้ยงม้า นานวันเข้ากลายเป็นความเคยชินสำหรับข้ารับใช้ในจวนเสนาบดีซูไปเสียแล้ว
ทว่าน่าแปลกนักที่มิมีผู้ใดสนใจนาง ไร้คนสงสารหรือเห็นใจ มีเพียงความเวทนาและดูแคลน
สตรีวิปลาสผู้นี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นคุณหนูผู้สูงส่ง ใบหน้าหมดจรดงดงาม เสียทีแต่ว่ามีจิตใจโหดเหี้ยม เมื่อถึงคราวตกต่ำจึงถูกซ้ำเติม เคราะห์กรรมที่ทำมาโหมกระหน่ำใส่ระลอกแล้วระลอกเล่า
สกุลซูคือขุนนางเถรตรงและภักดีต่อราชวงศ์ บรรพบุรุษสร้างคุณงามความดีนานัปการ อำนาจและความมั่งคั่งส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
จวนเสนาบดีกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่หลายลี้ แบ่งสัดส่วนชัดเจน เรือนหลังใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางแยกย่อยเป็นปีกซ้ายขวา ด้านหลังเป็นเรือนของข้ารับใช้
ประมุขของจวนและฮูหยินอาศัยอยู่เรือนหลัก ปีกซ้ายคือที่อยู่ของเหล่าอนุภรรยา บุตรชายและบุตรสาวอยู่ปีกขวา
นายท่านซูมีภรรยาเอกคือ ‘ซูซือเย่’ แซ่เดิมคือ ‘หลิวซือเย่’ นางมีบุตรสาวนามว่า ‘ซูไป๋หลาน’ ด้วยความที่เป็นบุตรีเพียงคนเดียวของฮูหยินซู นางจึงมีนิสัยหยิ่งทะนงและเอาแต่ใจ ไม่มีอะไรที่คุณหนูซูอยากได้แล้วไม่ได้
อนุภรรยามีทั้งสิ้นสามนาง ล้วนมาจากตระกูลระดับกลางและล่างทั้งสิ้น ต่างจากภริยาเอกที่มาจากตระกูลแม่ทัพใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่เสาหลักของแคว้น ฐานะนับว่าเท่าเทียมกันกับนายท่านซู ดังนั้นบุตรที่เกิดจากอนุภรรยาจึงมิได้รับความโปรดปรานจากประมุขของบ้านเท่าใดนัก
เรียกได้ว่าบิดาลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งฮูหยินตั้งครรภ์ที่สองด้วยแล้ว นางจึงถูกประคบประหงมเป็นพิเศษ ด้วยหวังว่าในท้องกลมใหญ่นั่นจะมีทายาทผู้สืบสกุลอยู่ หลังจากที่รอมานานกว่าสิบปีจนเริ่มถอดใจ
"เจ้าเห็นอันใดหรือไม่” ซูไป๋หลานลอบไปพบกับคนเลี้ยงม้าเพียงลำพังในกลางดึกคืนหนึ่ง หลังกลับมาจากป่านางก็นอนซมด้วยพิษไข้ถึงสามวัน ราตรีที่สามเองก็เพิ่งฟื้นจากอาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีเพียงศีรษะที่ยังวิงเวียนอยู่บ้างเล็กน้อย ทว่านั่นมิใช่ปัญหา เรื่องใหญ่ของนางคือการที่สาวรับใช้ข้างกายบอกว่าคนเลี้ยงม้าเป็นผู้พบนางและพากลับมาส่ง แทนที่จะเป็นเจ้าสิ่งไร้ตัวตนที่ข่มเหงนางจนยับเยินงั้นหรือ ซูไป๋หลานวิตกกังวล ครั้นจะถามว่านางกลับมาในสภาพใด สวมใส่อาภรณ์ครบถ้วนหรือไม่ ก็เกรงจะเป็นการสาวไส้ให้กากิน เห็นสาวรับใช้มิพูดอันใดจึงค่อยวางใจได้ ทว่านางคงมิอาจวางใจได้ทั้งหมด หากไม่ได้รับการยืนยันจากคนเลี้ยงม้า แต่แล้วซูไป๋หลานก็เพิ่งนึกออกว่าคนเลี้ยงม้าที่กำลังมองนางพลางเลิกคิ้วสงสัยเป็นใบ้ ต่อให้เห็นอันใดก็บอกใครไม่ได้ ซ้ำมันยังไม่รู้หนังสือ ดูท่าว่าจับไข้ครั้งนี้คงทำให้สติของนางเลอะเลือนไม่มากก็น้อย หรือคิดในแง่ดีหน่อยก็คงเป็นเพราะนางกังวลมากเกินไปจนลืมความเป็นจริงบางประการ และต่อให้คนเลี้ยงม้าไม่เป็นใบ้กล่าวไปคงมิมีผู้ใดเชื่อ หรือไม่ก็กล่าวหาว่ามันเองนั่นแหละที่ย่
“เมื่อครู่เป็นข้าต่างหากที่มอบรางวัลให้แก่ท่าน” ซูไป๋หลานรู้สึกว่ากำลังถูกบางอย่างถูไถกลางร่องกลีบ นางนึกฉงนในคำพูดของมัน ทั้งนึกสงสัยเจ้าสิ่งที่วนเวียนรอบปากรู ทว่าก็เสียวไม่น้อยไปกว่ากัน จึงหันกลับไปถาม “ให้รางวัลข้า…ด้วยเหตุใดเล่า” กรี๊ด!! ยังมิทันได้คำตอบ ซูไป๋หลานกลับต้องส่งเสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ นกแตกจากรังบินหนีไปคนละทิศ ร่างบอบบางทรุดลงในอ้อมแขนบุรุษเพศอีกครา ม่านน้ำใสไหลมิต่างจากน้ำตก มันเอ่อล้นจากบนที่สูงสู่ที่ราบต่ำ อาบแก้มนวลเป็นสาย คุณหนูซูเจ็บปวดราวกับถูกฉีกกระชากจากภายใน “ให้รางวัล…ที่ท่านจะมอบความบริสุทธิ์ให้ข้าอย่างไรเล่า หึหึ” มันหัวเราะในลำคอ แช่แท่งทวนอวบใหญ่ค้างไว้ในกลีบบุปผาแสนบอบบาง ข้างในทั้งอุ่น ทั้งรัดแน่น แลตอดกระตุกเป็นจังหวะถี่ “เจ้า…เจ้าผิดสัญญา” ซูไป๋หลานร่ำไห้ พรหมจรรย์ถูกฉีกกระชากมิเหลือชิ้นดี เช่นนี้นางจะมีหน้าแต่งกับองค์รัชทายาทได้อย่างไร “ผิดแล้วคุณหนู มีครั้งใดที่ข้าสัญญากับท่านหรือไม่” “ฮึก…ฮือ…เจ้าตัวประหลาด…เจ้ามันชั่วช้า” ซูไป๋หลานจำนนด้วยคำพูดมิพอ บัดนี้ยัง
ร่างบอบบางสั่นระริก น้ำตาไหลอาบแก้มนวล ซูไป๋หลานหลับตาปี๋ด้วยมิกล้ามองสิ่งที่กำลังเผชิญ อาชาตัวนี้วิ่งเร็วเสียจนผมสีดำขลับของนางปลิวพันกันยุ่งเหยิง แรงขยับขึ้นลงทำให้นางต้องเพิ่มแรงยึดเกาะ ในใจสวดภาวนาให้มีผู้มาช่วยเสียที “ฮึก…ฮือ…อ๊ะ” เหมือนคำอ้อนวอนของนางจะส่งไปถึงสวรรค์ ไม่สิ!! ต้องเรียกว่าส่งไปถึงนรกจะเหมาะกว่า เอวคอดถูกบางสิ่งที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลคว้าไว้ พาร่างบอบบางลอยขึ้นจากหลังม้าพยศไปนั่งบนหลังม้าอีกตัวที่วิ่งมาตีขนาบข้าง ซูไป๋หลานหันกลับไปมองด้านหลังพบเพียงความว่างเปล่า ทว่าแขนที่รัดรอบเอวนั้นนางรู้สึกถึงมันได้ชัดเจน “เจ้า” นางกล่าวได้เพียงเท่านี้ริมฝีปากพลันถูกปิดแน่น ท่ามกลางความว่างเปล่าเหมือนอยู่คนเดียวแต่ทว่าไม่ได้อยู่คนเดียวกลีบปากบางถูกบดขยี้อย่างกักขฬะ คล้ายว่ามันต้องการระบายโทสะผ่านรสจูบที่มีกลิ่นสนิทคลุ้งในโพรงปาก “อื้อ…อือ…อึก” ซูไป๋หลานดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนแกร่ง บ้างทุบตี บ้างขีดข่วนตามประสา แทนที่มันจะคลายอ้อมกอดกลับกระชับแน่นจนนางอึดอัด แผ่นหลังแนบกับอกแข็งจวนจะสิงเข้าไปในนั้น นางรู้สึกคล้ายกระดูกกำลังจะหักจึงหยุดดิ้นรน ปล
เช้าวันต่อมาซูไป๋หลานยืนอยู่หน้าคอกม้ากับบิดา นับเป็นวันแรกในรอบสี่ปีที่มาเหยียบท้ายจวน กลิ่นมูลม้าเจือกับกลิ่นหญ้าสดเหม็นเขียวลอยตามลมมาแตะจมูกจนต้องเบ้หน้า “หึ” คุณหนูผู้สูงส่งแค่นหัวเราะในลำคอ หางตาเหลือบมองคนเลี้ยงม้าพร้อมกล่าววาจาถากถาง “เหม็นกลิ่นสาบม้าเสียจริง” ไม่ว่าอย่างไรนางก็มิชอบขี้หน้าคนต่ำต้อยผู้นี้ยิ่งนัก “เอาน่าหลานเอ๋อร์ อดทนเสียหน่อยแล้วจงเลือกม้าที่ลูกคิดว่าดีที่สุดมาหนึ่งตัว” นายท่านซูลูบผมนุ่มของบุตรสาว งานราชการในราชสำนักยุ่งเสียจนไม่มีเวลาว่างมากนัก หากวันนี้มิใช่ว่าบุตรสาวต้องเลือกของขวัญในวันพระราชสมภพให้องค์รัชทายาท เขาคงไม่พามาด้วยตนเอง ความจริงจะให้คนเลี้ยงม้าเลือกอาชาพันธุ์ดีก็ย่อมได้ ทว่าบุตรสาวอยากเลือกด้วยตนเองเขาจึงตามใจ จะได้ทูลองค์รัชทายาทได้ว่านางใส่ใจเขามากเพียงใด ทว่าแทนที่ดวงตากลมโตจะมองม้านางกลับเหลือบมองคนเลี้ยงม้าแทน เป็นเช่นที่สาวรับใช้กล่าว เขานับว่ารูปร่างดี ใบหน้าคมคร้ามนั่นก็น่ามอง ทว่าให้เทียบกับองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ก็ไม่นับว่าเป็นอะไร ซูไป๋หลานเลิกสนใจ เดินไปหยุดหน้าคอกม้าคอกหนึ
นับตั้งแต่คืนที่ถูกนิ้วและลิ้นชำเราจนสุขสม คืนต่อๆ ไปนางก็ถูกกระทำคล้ายกันจนขึ้นสวรรค์ไปอีกหลายครา บัดนี้ ซูไป๋หลานมิได้ขัดขืนอันใด เพียงปล่อยให้ร่างกายคล้อยตามเจ้าสิ่งนั้นไปกระทั่งถึงจุดหมาย นานวันเข้ากลายเป็นสิ่งเสพติดชนิดหนึ่งเสียแล้ว “อ๊ะ…อืม…ลึกเกินไปแล้ว” ร่างอรชรแอ่นโค้งดั่งคันศร สะโพกอวบส่ายร่อนไปมาคล้ายกำลังหลีกหนีจากบางสิ่ง ทว่าสิ่งนั้นเองก็ตามติด สอดลึกสุดข้อนิ้วในทุกการขยับเคลื่อน “ไม่คิดว่าคุณหนูผู้สูงส่ง ยามอยู่บนเตียงจะร่านราคะได้ถึงเพียงนี้” เจ้าของนิ้วแค่นหัวเราะ ส่งก้านนิ้วยาวเข้าไปสำรวจโพรงนุ่มเพิ่มอีกหนึ่ง กลายเป็นว่ารูสวรรค์กำลังกลืนกินนิ้วของบุรุษเพศเข้าไปถึงสามนิ้ว “นั่นเป็นความผิดของเจ้า…อ๊ะ…อู้ย” ซูไป๋หลานแม้เสียวจนร่างแดดิ้นอยู่ไม่สุขยังมิคิดจะยอมรับ ไม่ว่าเรื่องใดนางล้วนไม่ผิด และไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวโทษนาง “ขอรับ…ข้าผิดเอง เช่นนั้นให้หยุดหรือไม่เล่า” มันหัวเราะในลำคอ หยุดขยับและค่อยๆ ถอนนิ้วออกอย่างอ้อยอิ่ง ซูไป๋หลานเม้มปากแน่น นางมิอยากอ้อนวอนให้มันทำต่อ ทว่าก็กลัวจะถูกทิ้งไว้กลางทางเพียงลำพังเช่นกัน “ไ
“อดทนให้ได้สิขอรับคุณหนู อย่าให้ผู้ใดรู้ว่าท่านกำลังถูกกระทำลามกเช่นใดอยู่” “เจ้าคนชั่ว…อึก…อ๊ะ…เจ็บนะ…ข้าจะฆ่าเจ้า” “ก็ลองดูสิขอรับ ว่าใครจะตายก่อนกัน” นิ้วที่สองถูกสอดเข้าไปในรูสวรรค์ มันคับแน่นและบริสุทธิ์เกินกว่าจะถูกสิ่งใดล่วงล้ำ ทว่าบัดนี้กลับขยายออกกว้าง ยิ่งมองไม่เห็นสิ่งที่ทำ ก็เผยให้เห็นผนังนุ่มสีสดด้านในมากเท่านั้น “เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่…อึก…อ๊ะ…อย่าหมุนนะ” ซูไป๋หลานดิ้นพล่าน ร่างบอบบางบิดเร่าเมื่อถูกนิ้วบุรุษหมุนคว้านเป็นวงกลม มันครูดผนังเนื้อทุกทิศราวกับกำลังค้นหาบางสิ่ง สุดท้ายก็พบและกดกระแทกย้ำๆ จนนางเสร็จสม “อ๊ะ…อ๊ะ…อ่า” กายเล็กสั่นกระตุก ขับน้ำเมือกลื่นออกมาจากรูที่ถูกทะลวง ซูไป๋หลานตาปรือปรอย นางล่องลอยอยู่บนปุยเมฆสูง เบาหวิวและวูบไหวอย่างที่ไม่เคยสัมผัส ไม่รับรู้กระทั่งว่ากำลังถูกลิ้นชื้นแลบเลียรอบกลีบอูม ปัดป่ายหาหยาดน้ำราวกับภมรดูดเกสรจากบุปผา “ปล่อยออกมาอีกสิขอรับ ข้าอยากลิ้มรสน้ำหวานของท่าน” เจ้าสิ่งไร้ตัวตนปล่อยร่างคุณหนูเป็นอิสระเพื่อมาดูดกลืนน้ำหวานนางยังคงมิรู้ตัว ซ้ำยังมิได้ขัดขืนเช่นในตอนแรก มันอยู่กลางหว่าง
Comments