เช้านี้จึงเป็นวันที่บรรยากาศสดใสนัก เพราะเฉินอิ้งถงไม่ต้องเร่งทำหมั่นโถวไปขายในตลาดเฉกเช่นทุกวัน นางจะนั่งกินนอนกินให้หนำใจไปเลย
งานบ้านในส่วนของเฉินอิ้งถงสองแม่ลูกก็ทำจนเรียบร้อย ทว่าอยู่เช่นนี้มาครึ่งค่อนวันก็รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง
“ถงเอ๋อร์ จะไปที่ใดหรือเหตุใดเจ้าไม่พักผ่อนให้ดี ๆ”
วันนี้เฉินจิ้นซงหยุดงานหนึ่งวัน เขาจึงไม่ได้ออกไปทำหน้าที่อาลักษ์ที่ท่าเรืออีก ส่วนสองแม่ลูกเร่งทำงานบ้านเสร็จก็ร้องโอดโอยดั่งหมูถูกเชือดวันนี้จึงไม่มีผู้ใดออกไปหาเงินสักอีแปะ ทั้งที่ข้าวสารกรอกหม้อก็แทบไม่มีจะกิน
“ท่านลุงข้าอยากขึ้นเขาเจ้าค่ะ เผื่อว่าจะได้ของป่ามาขาย”
“เช่นนั้นให้จิงเอ๋อร์ไปเป็นเพื่อนดีหรือไม่”
เฉินอิ้งถงเร่งปฏิเสธ “ข้าไปผู้เดียวคล่องตัวกว่า นางไปก็รังแต่เป็นตัวถ่วง”
เฉินจิงขบฟันแน่น “ท่านพ่อ ดูนางสิเจ้าคะ ทำอย่างกับข้าอยากไปกับนางอย่างนั้นแหละ”
เฉินอิ้งถงแค่นยิ้มจากนั้นก็แบกตะกร้าไม้ไผ่สานจากไปโดยไม่คิดเหลือบแลผู้ใดอีก เฉินจิงยังคงฟ้องบิดาไม่หยุดปาก เสียงโหวกเหวกเช่นนี้หญิงสาวได้ยินจนเกิดเป็นความเคยชินเสียแล้ว
“อ้าว อาถงจะไปไหนหรือ” เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น
เฉินอิ้งถงยิ้ม “ข้ากำลังจะขึ้นเขาเจ้าค่ะท่านป้า”
“เช่นนั้นก็ระวังด้วยเล่า แต่ว่าตอนนี้อำเภอของเราแทบไม่เหลือของป่าอะไรแล้ว เจ้าจะเข้าไปทำอันใด”
เฉินอิ้งถงรู้ดีว่าอำเภอฉีหลินแร้นแค้นมานาน ทุกคนล้วนอาศัยอยู่กันอย่างปากกัดตีนถีบ “ข้าแค่เบื่อหน่ายเท่านั้นออกไปสูดอากาศดี ๆ เข้าปอดเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
หญิงวัยกลางคนขบขัน “ดูเจ้าพูดเข้า”
ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ดีว่าเมื่อก่อนเฉินอิ้งถงมักถูกสองแม่ลูกรังแกกดหัว ทว่าไม่กี่เดือนมานี้เฉินอิ้งถงกลายเป็นคนพูดเก่ง เข้ากับคนง่าย ทำให้ยามไปที่ใดก็มีแต่ผู้คนรู้จัก
ระหว่างทางพบปะหน้าใครก็ล้วนถูกทักทายไม่ขาดสาย
“อาถงวันนี้ไม่ขายหมั่นโถวหรือ”
“อาถงเจ้าขึ้นเขาระวังด้วยเล่า”
ตลอดเส้นทางเฉินอิ้งถงฉีกยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตาและตอบกลับทุกคนจนคอแห้ง เรียกว่ายิ้มธุรกิจไม่เกินจริง
ในที่สุดก็มาถึงที่หมาย แท้จริงแล้วที่เฉินอิ้งถงมักขึ้นเขามาเพียงลำพังบ่อยครั้งก็เพื่อหาทางกลับไปยังโลกใบเดิมของตน แม้นานวันเข้าจะรู้สึกว่ามันริบหรี่ก็ตาม
ในเมื่อนางปรากฏกายที่กลางหุบเขาหนิงอัน เช่นนั้นบริเวณนี้จะต้องมีที่มาที่ไปแน่ หญิงสาวเดินวนไปเรื่อย ๆ เพื่อลองหาช่องทางเดินข้ามกาลเวลา กระทั่งบริเวณต้นไผ่ที่ยืนต้นตายจนกลายเป็นสีน้ำตาลเกิดขยับ
เฉินอิ้งถงนิ่งงันเพราะเกรงว่าอาจเป็นสัตว์ร้าย ทว่าเขาหนิงอันแทบไม่หลงเหลือสิ่งมีชีวิตใดแล้ว ตั้งแต่อุทกภัยหนนั้นก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก
“เสียงอะไร ลมก็ไม่มี”
ขาเสลาค่อย ๆ ยื่นไปเบื้องหน้าทีละข้าง หัวใจของหญิงสาวสั่นกระเพื่อมแทบกระดอนออกมาโลดแล่น
“สวัสดีนายท่าน”
“เย้ย…ผีหลอก” เฉินอิ้งถงชักเท้ากลับ
เสียงแหลมเล็กเมื่อครู่ก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างของตัวประหลาดสุดน่ารัก ดวงตากลมโตเปล่งประกายสีมรกต บนศีรษะประดับปิ่นรูปดอกไม้สะท้อนแสง กระโปรงตัวจิ๋วสีรุ้งยาวคลุมเข่าบานสะพรั่งน่าเอ็นดู
เฉินอิ้งถงติดอ่าง “จะ…เจ้าเป็นตัวอะไร”
เจ้าตัวเล็กเอียงหน้าพลางกะพริบตาปริบ ๆ ไม่นานก็ยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตา จากนั้นร่างจิ๋วก็ลอยเข้ามาใกล้เฉินอิ้งถง หญิงสาวแทบตกใจตายดวงตาเบิกค้างตะลึงลาน
เสียงใสหัวเราะคิกคัก “ข้าก็คือภูติดอกไม้”
“ภูตินี่คล้ายผีหรือเปล่า” เฉินอิ้งถงหวาดระแวง
เจ้าตัวน้อยก็พลันโฉบไปมารอบกายของนาง พลางส่งเสียงขบขันประหนึ่งได้เล่นสนุก “ภูติกับผีจะคล้ายกันได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าคือภูติที่หมายถึงความมั่งคั่งเจริญรุ่งเรือง มิใช่ภูตผีเฉกเช่นที่ท่านคิด หากไม่เชื่อท่านก็มองตาข้าสิ ข้าน่ารักใช่หรือไม่”
เจ้าตัวเล็กลอยขยับเข้าไปเบื้องหน้าเฉินอิ้งถง หญิงสาวหลับตาแน่นไม่กล้ากระดิก กระทั่งรู้สึกว่ามีบางอย่างจิ้ม ๆ บริเวณปลายจมูก อกซ้ายที่กระเพื่อมขึ้นลงก็ยิ่งทำงานอย่างหนัก
เฉินอิ้งถงพยายามรวบรวมสติ จากนั้นแง้มเปลือกตาขึ้นทีละฝั่ง มือเรียวยกขึ้นแช่มช้าปลายนิ้วชี้จิ้มแก้มนุ่มฟูไปหนหนึ่ง
“เจ้าไม่ใช่ผีจริงด้วย เหตุใดจึงมีตัวประหลาดอย่างเจ้าอยู่ที่นี่ได้”
เจ้าตัวเล็กยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก “ก็ท่านสร้างข้าขึ้นมาอย่างไรเจ้าคะ”
เฉินอิ้งถงชี้นิ้วเข้าหาตน “ข้าน่ะหรือ เจ้าเข้าใจผิดหรือเปล่า ข้าเป็นคนธรรมดา จะมีพลังพิเศษสร้างภูติตัวจิ๋วอย่างเจ้าได้อย่างไร”
เจ้าตัวเล็กส่ายหน้า “ไม่ผิดแน่นอนเจ้าค่ะ ทุกวันที่ท่านขึ้นเขาท่านจะช่วยรดน้ำให้ข้า แล้วพูดเสมอว่าหากข้าเป็นคนพูดคุยกับท่านได้ก็คงดี”
เฉินอิ้งถงตาโต ที่แท้เจ้าตัวเล็กก็คือดอกไม้ที่ใกล้เหี่ยวตายต้นนั้น “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เหลือเชื่อเกินไปแล้ว”
เจ้าภูติตัวจิ๋วพยักหน้าหงึกหงัก “เดิมทีพลังวิญญาณของข้าอ่อนแอ ทว่าได้ท่านช่วยเหลือจนมีแรงแปลงกายอีกหนข้าซาบซึ้งยิ่งนัก เช่นนั้นข้าจะขอฝากตัวเป็นภูติรับใช้ของท่านตลอดไป”
“หา…” เฉินอิ้งถงกะพริบตาปริบ ๆ “มีอย่างนี้ด้วย”
เจ้าตัวเล็กร่อนลงบนพื้น “เอาล่ะ เช่นนั้นเรามาทำพันธสัญญากัน”
“ทำอย่างไร”
เจ้าตัวเล็กยิ้มแฉ่ง ปลายนิ้วชี้จิ้มไปยังหน้าผากนูนเด่นของเฉินอิ้งถงจนเกิดประกายสีรุ้งวูบหนึ่ง รอยบุปผาปรากฏขึ้นกลางหน้าผากไม่นานก็จางหายไป
“เรียบร้อยเจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงกะพริบตาถี่ หญิงสาวสลัดศีรษะเพื่อเรียกสติ “เจ้าทำอะไรข้า”
“ก็ทำพันธสัญญาอย่างไรเจ้าคะ ตอนนี้ข้าเป็นข้ารับใช้ของนายท่านแล้ว”
เฉินอิ้งถงยังอึ้งไม่หาย แต่ในเมื่อนางยังหลุดเข้ามาเป็นนางร้ายในซีรีส์ได้ สิ่งอื่นใดก็คงไม่ประหลาดไปมากกว่านี้แล้ว
“เช่นนั้นภูติอย่างเจ้าทำสิ่งใดได้บ้าง”
เจ้าตัวเล็กเอียงคอไปมา “อืม…รักษา เพิ่มพละกำลัง แล้วก็…” ระหว่างขบคิดร่างเล็กก็บินร่อนไปมาดุจผีเสื้อถลาลม จากนั้นก็มาหยุดตรงหน้าเฉินอิ้งถง “ข้าเนรมิตขนมจากบุปผาได้ทุกชนิด”
“เท่านี้รึ”
เจ้าตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าเป็นภูติตัวเล็ก ๆ พลังวิญญาณไม่กล้าแกร่ง แต่ก็พอใช้ประโยชน์ได้นะเจ้าคะ”
เฉินอิ้งถงขบขัน “ข้าก็คิดว่าเจ้าเนรมิตเงินทอง หรือช่วยเปิดประตูมิติให้ได้เสียอีก แต่ไม่เป็นไร เมื่อครู่เจ้าบอกว่าทำขนมได้ใช่หรือไม่”
ภูติน้อยพยักหน้ารัวเร็ว “เจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงหรี่ตาจนแคบ โซนสมองกำลังใคร่ครวญบางอย่าง “เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดออกแล้วว่าจะใช้งานเจ้าอย่างไร”
เจ้าภูติน้อยยิ้มกว้าง “จริงหรือเจ้าคะ”
“แต่ก่อนอื่น เจ้าชื่ออะไร”
“ชื่อหรือ…” เจ้าตัวเล็กเอียงคอ ใบหน้าของนางน่ารักจิ้มหลินจนเฉินอิ้งถงยั้งมือไม่อยู่เผลอบีบแก้มนุ่มนิ่มให้เสียเลย
“เจ้าตัวเล็กแก้มนุ่มดุจซาลาเปา ดูท่าเจ้าจะยังไม่มีชื่อ เช่นนั้นข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีหรือไม่”
ภูติตัวน้อยยิ้มกว้าง พยักหน้ากระตือรือร้น “ดีเจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงครุ่นคิด ไม่นานริมฝีปากก็ยกโค้งบางเบา “เจ้าเป็นดอกไม้ เช่นนั้นชื่อ เสี่ยวฮวา ชอบหรือไม่”
เจ้าตัวเล็กยิ้มตาปิด “เสี่ยวฮวาหรือ ข้าชอบมาก”
“แต่เจ้าจะตามข้ากลับอย่างนี้หรือ หากผู้อื่นเห็นเข้า มีหวังตกใจกันหมด”
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้ามีวิธี”
พริบตาเสี่ยวฮวาก็หายวับประหนึ่งอากาศ เฉินอิ้งถงหันรีหันขวาง
“เสี่ยวฮวา เจ้าอยู่ไหน”
“…”
“เสี่ยวฮวา”
“นายท่านข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ”
เสียงเล็กร้องเรียกอยู่ไม่ไกล ทว่าเฉินอิ้งถงหาอย่างไรก็หานางไม่พบ
“ไหน ข้าไม่เห็นเจ้าเลย”
“บนนี้เจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงยกมือคลำศีรษะก็พบว่ามีบางอย่างประดับผมอยู่ หญิงสาวหยิบของสิ่งนั้นลงมาก็พบว่าเป็นปิ่นหยกรูปบุปผาลวดลายงดงามแปลกตา “นี่เจ้าหรือ”
“เสี่ยวฮวาเองเจ้าค่ะ”
“อัศจรรย์เกินไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็อยู่บนนี้ดี ๆ เล่า”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
วันนี้เฉินอิ้งถงจึงลงจากเขาด้วยสีหน้าเริงร่า ตลอดเส้นทางทักทายผู้คนไม่หยุดปาก ครั้นกลับถึงเรือนก็ไม่ปริปากคุยกับใคร จากนั้นหญิงสาวก็ปิดประตูเงียบอยู่เพียงลำพัง ตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้ผู้ใดก็ห้ามรบกวน
“เสี่ยวฮวา” เสียงใสกระซิบ
ฉับพลันเจ้าภูติน้อยก็ปรากฏกายอีกครั้ง “นายท่านมีสิ่งใดให้เสี่ยวฮวารับใช้หรือเจ้าคะ”
“ก่อนหน้าเจ้าบอกว่าสามารถรักษา และเพิ่มพละกำลัง เช่นนั้นต้องทำอย่างไรหรือ”
เสี่ยวฮวาอมยิ้ม ฝ่ามือเล็กกางออกไม่นานก็ปรากฏลำแสงสีรุ้ง พริบตาขนมดอกกุ้ยฮวากลิ่นหอมกรุ่นก็ลอยวนเหนือฝ่ามือ “ท่านลองกินดูสิเจ้าคะ”
เฉินอิ้งถงประหลาดใจ แต่ก็ยอมหยิบขนมเข้าปาก เพียงสัมผัสลงตรงปลายลิ้นก็รู้สึกได้ถึงรสชาติอันหวานละมุน ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งอร่อยประหนึ่งวิญญาณใกล้หลุดจากร่างปีนขึ้นสรวงสวรรค์
“อื้อฮือ…อร่อยมาก…รสชาติเช่นนี้หากข้าทำขายต้องได้กำไรมหาศาลแน่”
เสี่ยวฮวาเชิดหน้าภูมิใจ “หากท่านจะขายทำให้รสชาติอร่อยก็พอได้เจ้าค่ะ แต่จะให้ข้าเสริมเรื่องพละกำลังหรือการรักษาเข้าไปด้วยเกรงว่าจะไม่เหมาะ เพราะหากข้าใช้พลังวิญญาณพร่ำเพรื่อไปจะต้องพักผ่อนยาวหลายวัน เผลอ ๆ อาจเป็นเดือนเลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้เอง ขึ้นชื่อว่าพลังก็ต้องมีวันหมดสินะ ถ้างั้นเวลาทำขายแค่เพิ่มรสอร่อยก็พอ แต่ยามนี้ข้ารู้สึกว่าร่างกายกระปรี้กระเปร่าอย่างไรไม่รู้สิ”
“ท่านลองขยับตู้หลังนั้นดูสิเจ้าคะ”
เฉินอิ้งถงยู่หน้า “ตู้นั่นหนักจะตาย อย่างน้อยก็ต้องช่วยกันยกสองสามคน”
“เอาน่า ท่านเชื่อข้า”
“ก็ได้” เฉินอิ้งถงยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมด กระทั่งนางวางเพียงฝ่ามือลงไปเท่านั้นตู้ไม้หลังเก่าก็ขยับไปไกล เฉินอิ้งถงเบิกตากว้างตะลึงลาน
“นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่”
สองปีผันผ่าน ณ แคว้นเป่ยเซี่ย“พี่หญิงเฉิน เป็นอย่างไรบ้างเพคะ ข้าขี่ม้าเก่งหรือไม่” จินม่านม่านกล่าวด้วยแววตาซุกซน“ม่านเอ๋อร์เก่งมาก ฝีมือขี่ม้ายิงธนูของเจ้าบุรุษยังต้องอับอาย”วันนี้จินม่านม่านรบเร้าอยากให้เฉินอิ้งถงออกมาขี่ม้าเป็นเพื่อน ทำให้แม่ลูกอ่อนเช่นนางต้องปลีกตัวจากลูกน้อยชั่วครู่ ส่วนเจ้าตัวน้อยในยามนี้ก็อยู่ในความดูแลของจินชางหลง และเหล่าแม่นมไม่รู้จะวางใจได้หรือไม่ ทั้งจินชางหลงและเฉินอิ้งถงล้วนเป็นพ่อแม่มือใหม่ด้วยกันทั้งคู่ หากเจ้าตัวเล็กลืมตาตื่นแล้วไม่พบหน้านางเกรงว่าต่อให้เป็นแม่นมหรือจินชางหลงเองก็คงเอาไม่ลง“บ่ายคล้อยแล้ว อากาศเริ่มอบอ้าวเรากลับกันเถิด”“ได้เพคะ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะแวะไปหาเจ้าสองแสบด้วยได้หรือไม่”เฉินอิ้งถงยิ้ม “ได้แน่นอน เย็นนี้ม่านเอ๋อร์ก็อยู่ทานสำรับเย็นด้วยกันสิ”จินม่านม่านตาเป็นประกาย “ได้ด้วยหรือเพคะ”“ได้แน่นอน” เฉินอิ้งถงยิ้มทั้งสองเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยก็มุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักจวิ้นอ๋อง ครั้นถึงหน้าตำหนักก็ได้ยินเสียงเหล่านางกำนัลและแม่นมโหวกเหวกกันจ้าละหวั
“ท่านแม่นางเด็กเหลือขอนั่นจะกลับบ้านเหตุใดท่านพ่อจะต้องจัดเตรียมโน่นนี่ให้ลำบาก เงินทองที่นางทิ้งเอาไว้ก็ไม่ให้เราแตะสักอีกแปะ ทำราวกับว่าตนเองเป็นองค์หญิง ไปแล้วก็ยังมีหน้าอยากกลับมาที่นี่อีกหรือ” เฉินจิงเบ้ปากตั้งแต่นางลอบติดตามเฉินอิ้งถงไม่สำเร็จก็หอบสภาพสุดสังเวชกลับมาบ้าน เฉินจิงเข็ดขยาดเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเคียดแค้นที่เฉินอิ้งถงกล้าทิ้งนางเอาไว้กลางทาง“ข้าจะไปรู้รึ พ่อของเจ้าไม่บอกอะไรเลย บอกเพียงให้เราปฏิบัติกับนางดี ๆ”“จะทำดีกับนางเพื่อสิ่งใด ท่านก็เห็นแล้วคราวก่อนอุตส่าห์พูดดีด้วยสมบัติพะเนินเป็นภูเขายังไม่คิดจะเจียดให้เราใช้ ชิ” เฉินจิงกระฟัดกระเฟียด คอยดูเถิดหากเฉินอิ้งถงมาถึง นางจะไล่ตะเพิดเยี่ยงหมูเยี่ยงสุนัขรถม้าขนาดกลางมาจอดที่หน้าจวนสกุลเฉิน เฉินจิงเบ้ปากไม่สบอารมณ์ “ข้าก็คิดว่านางไปได้ดิบได้ดีอันใด ดูสิเจ้าคะท่านแม่รถม้าเล็กกระจ้อยร่อย ยังจะมีหน้าให้ท่านพ่อจัดเตรียมห้องหับอย่างดี ข้าอยากจะเห็นนักว่ากลับมาหนนี้นางจะหอบความลำบากใดมาอีก”เฉินจิ้นซงได้ยินเสียงก็วางมือจากงานตรงหน้า เขารุดเข้ามาต้อนรับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ถงเอ๋อร์”
สามวันสามคืนหลังจากอภิเษกเข้ามาเป็นพระชายา เฉินอิ้งถงแทบไม่ได้พักร่าง วันยกน้ำชาทั้งไทเฮาและไท่เฟยก็รบเร้าให้นางเร่งมีทายาท หลานชายก็แสนเชื่อฟังตั้งแต่หายจากอาการป่วยก็ใช้งานตัวเองไม่คิดถนอม“ที่แท้ท่านก็รู้เรื่องราวของหม่อมฉันหมดแล้ว นางไปหาพระองค์แต่เหตุใดไม่เคยปรากฏตัวให้หม่อมฉันเห็นเลย”“คงเพราะเจ้าไม่ได้มีความหวาดกลัวเช่นข้า นางจึงมิอาจพบเจ้าได้ เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ข้าก็ไม่เคยฝันถึงนางอีก”“เช่นนี้เองหรือ อันที่จริงนางน่าเห็นใจมากนะเพคะ บางทีอาจเป็นหม่อมฉันที่ช่วงชิงชีวิตมาจากนาง”จินชางหลงยกมือปิดปากคนในอ้อมแขน “เจ้าอย่าพูดเหลวไหล นี่คือชะตาของนางและเจ้า มันควรเป็นเช่นนี้ จำเอาไว้เจ้ามิได้ช่วงชิงชีวิตผู้ใดมาทั้งสิ้น และไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากมิติใดข้าก็รักเจ้าที่สุด”เฉินอิ้งถงยิ้ม แววตาคู่สวยระริกไหว “เพคะ เชื่อท่านหม่อมฉันไม่พูดแล้ว ขอบคุณท่านที่เข้าใจและขอบคุณที่เป็นบุพเพของหม่อมฉันนะเพคะ”จินชางหลงยิ้มตอบ เขาโน้มจุมพิตลงบนหน้าผากหญิงสาวอย่างทะนุถนอม “ข้าเองก็ขอบคุณเจ้า หากไม่มีเจ้าก็ไม่มีข้าจนถึงตอนนี้”“คืนนี้บรรทมเถิดเ
พิธีมงคลผ่านไปอย่างราบรื่น สตรีร่างระหงนั่งตัวตรงภายใต้ม่านมุ้งสีชาด มือเรียวประสานกันไว้พลางบีบแน่น เดิมทีเฉินอิ้งถงคิดว่าตนจะไม่ประหม่าและเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์นี้ไว้เป็นอย่างดี ทว่าเมื่อถึงเวลาจริง ๆ นางกลับรู้สึกว่าความเป็นจริงและสิ่งที่คิดช่างแตกต่างกันลิบลับ“นายท่าน การแต่งงานต้องประหม่าเช่นนี้เชียวหรือเจ้าคะ”“เจ้าจะไปรู้อะไร ไม่เช่นนั้นหากเจ้าโตขึ้นก็ลองแต่งงานดูสิ”“น่าเสียดายที่เสี่ยวฮวาโตได้แค่นี้เจ้าค่ะ”เฉินอิ้งถงมันเขี้ยวมือเรียวเขี่ยปลายจมูกเล็กเบา ๆ เสี่ยวฮวาหัวเราะคิกคักเพราะรู้สึกจั้กจี้ “นายท่านอย่ารังแกข้าสิเจ้าคะ อ้อ…จริงด้วย ในงานเสี่ยวฮวาแอบเห็นว่ามีผู้คนมอบของขวัญวันแต่งงานให้นายท่านและท่านอ๋องเยอะแยะเลย”“เจ้าอยากได้บ้างหรือ”เสี่ยวฮวาลอยโฉบไปมาอารมณ์ดี “เปล่าสักหน่อย เสี่ยวฮวาก็แค่กำลังคิดว่าจะให้ของขวัญใดกับนายท่านและท่านอ๋องดีเจ้าค่ะ”“เจ้ายังต้องให้สิ่งใดข้าอีก ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็มากพอแล้ว ขอบคุณนะเสี่ยวฮวาฮวา” เฉินอิ้งถงยิ้มปลื้มปริ่ม หากนางไม่บังเอิญได้พบกับเจ้าภูติตัวน้อย ไม่รู้ว่าการเล่นนอกบทนาง
“กุ้ยเฟยเพคะ”มือเรียววางถ้วยชาในมือลงแช่มช้า “มาแล้วหรือ”“ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ” เฉินอิ้งถงประหม่า นางยังไม่เคยสนทนาและอยู่กับเสิ่นกุ้ยเฟยตามลำพังเช่นนี้มาก่อนใบหน้างดงามรับกับท่าทีสูงสง่าดุจนางพญาทว่าแววตากลับเจือไปด้วยความอ่อนโยนนี่น่ะหรือมารดาที่ไม่แยแสโอรสตนเอง!“เจ้ามาตรงนี้สิ”เฉินอิ้งถงขาแข็งไม่กล้าขยับ นางจะริอ่านนั่งเทียบเคียงพระสนมเอกได้อย่างไร “เอ่อ…”“เป็นท่านหญิงแล้วจึงไม่เชื่อฟังใครงั้นหรือ”เฉินอิ้งถงเร่งคุกเข่า “หามิได้เพคะ เพียงแต่ที่ตรงนั้นหม่อมฉันมิอาจนั่งเทียบเคียงท่านได้”เฉินอิ้งถงอยากตบปากตนเองนัก เมื่อคืนกล่าวเรื่องคุณค่าของคนให้ซูซูฟังเสียดิบดี ทว่ายามนี้นางกลับตกม้าตายเสียเองเสิ่นเพ่ยเหราขบขัน “เจ้าลุกขึ้นเถิด ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าไม่กี่ประโยค นั่งห่างกันมากเกินไปเกรงว่าข้าคงต้องตะโกนจนเจ็บคอ”“เพคะ”เฉินอิ้งถงจำใจย้ายร่างไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเสิ่นกุ้ยเฟย นางกำนัลรินชาส่งให้นาง“เจ้าชอบหลงเอ๋อร์หรือไม่”เฉินอิ้งถงที่ตั้งใจจิบชาให้คอโล่งแทบสำลัก เรื่อ
เฉินอิ้งถงทอดสายตามองสีหน้าของตนผ่านคันฉ่อง ตั้งแต่เกิดเหตุวุ่นวายในท้องพระโรงหนนั้น ก็ร่วมสองสัปดาห์แล้วที่จินชางหลงเงียบหายไปไม่แม้แต่ปรากฏตัวส่วนนางเองก็ถูกทั้งไทเฮาและไท่เฟยเรียกเข้าเฝ้าจนบางคราต้องค้างที่วังหลวง นั่นเพราะนางจะต้องเข้ารับการขัดเกลามารยาทจากมามาก่อนเข้าพิธีอภิเษกวันใดที่กลับมาบ้านก็ประหนึ่งวิญญาณหลุดออกจากร่าง ทำได้เพียงทิ้งตัวลงและก็ม่อยหลับไป วันนี้ได้โอกาสหยุดพักผ่อนตั้งหนึ่งวันจึงมีเวลาพบหน้าซูซูจริงจังเสียที“คุณหนู ท่านไปเสียนานบ่าวคิดถึงคุณหนูมาก อยู่ที่แดนเหนือลำบากหรือไม่เจ้าคะ” ซูซูหวีผมนุ่มสลวยดำขลับดุจสีน้ำหมึกด้วยความแผ่วเบา“ข้าไม่ได้รับความลำบากใด อีกอย่างข้าอยู่ที่นั่นยังได้รู้จักคนผู้หนึ่ง นางคล้ายเจ้ามากทีเดียว” เฉินอิ้งถงยิ้ม“น่าอิจฉานางที่ได้ช่วยคุณหนูทำประโยชน์ ทว่าบ่าว…”“อาซู เจ้านี่ขี้น้อยใจจริง ข้าก็กลับมาแล้วนี่อย่างไร”ซูซูทำท่าจะร้องไห้ “แต่อีกไม่นานคุณหนูก็ต้องอภิเษกแล้ว เช่นนั้นบ่าวจะได้ติดตามคุณหนูเข้าวังหรือไม่เจ้าคะ”“ข้าไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน วันพรุ่งนี้ไท