พอเข้ามาในเรือนยังไม่ทันได้นั่ง เสียงเอะอะข้างนอกก็ดังเข้ามา ว่านชิงอีกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย นางเพิ่งจะทะลุมิติมาอยู่ในยุคนี้ อยากหาเวลาปรับตัวปรับใจ กับสถานที่อยู่แห่งใหม่ แต่ก็ยังมีคนตามมาวุ่นวาย ให้นางเดาคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบิดาผู้แสนประเสริฐและท่านย่าผู้แสนใจดี
“บุตรสาวสุดที่รักของพ่อ ได้ข่าวว่าเจ้าฟื้นแล้วจริงหรือนี่ ขอบคุณสวรรค์ๆ” ว่านจื่อหยวนพอก้าวเข้ามาเห็นว่านชิงอี ก็รู้สึกดีใจจนบรรยายไม่ถูก จึงรีบคุกเข่าคำนับฟ้าดินและขอบคุณสวรรค์ไม่หยุด เขาเชื่อแล้วว่าคำทำนายของท่านนักพรตเป็นจริง นางตายแล้วฟื้นจะมีใครทำเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่คนที่เกิดมาพร้อมบุญญาธิการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ยิ่งทำให้เขาปักใจเชื่อมากขึ้นเป็นร้อยเท่า ก่อนฮูหยินผู้เฒ่าจะก้าวเข้ามาอีกคน “หลานรักของย่าเจ้าฟื้นจากความตายจริงๆ หรือ มาให้ย่ากอดหน่อย เด็กดีของย่าหมดเคราะห์เสียทีนะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากอดว่านชิงอีพร้อมลูบหัวลูบตัวไปมา ด้วยความรักใคร่และเอ็นดู ว่านชิงอีเริ่มทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ผู้เป็นย่ากอดอยู่อย่างนั้น “เนื้อตัวเจ้าซีดมาก ซื่อหยวนไปบอกบ่าวในจวนให้ไปตุ๋นน้ำแกงร้อนๆ ให้หลานข้าเร็วเข้า ร่างกายนางจะได้อบอุ่นเลือดลมจะได้หมุนเวียน” ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปสั่งบุตรชายที่มัวแต่ยืนไหว้ขอบคุณสวรรค์ไม่หยุด ว่านชิงอีมองแล้วก็แอบขำกับครอบครัวนี้ ที่เชื่อคำทำนายมาก จนต้องเอาใจว่านชิงอีโดยไม่ลืมหูลืมตา “ท่านย่า ท่านพ่อ พวกท่านใจเย็นลงหน่อยเถิด ตอนนี้ข้าก็ฟื้นขึ้นมาแล้วอีกอย่างข้าก็รู้สึกสบายดีมาก ยังไม่อยากกินอะไรเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความเกรงใจ และต้องรีบบอกออกไปเพราะไม่อยากให้วุ่นวาย ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นมารดา และพี่สาวอีกสองคนที่ยืนแอบอยู่ข้างประตูเพราะไม่กล้าเข้ามา ว่านชิงอีจึงส่งยิ้มไปให้อย่างผูกมิตรไมตรี ทำเอาว่านชิงหลินและว่านชิงหลาน หันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ พอฟื้นขึ้นมานางก็กลายเป็นมิตรกับทุกคนเลยหรือ ปกติเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใคร “พวกเจ้าสามคนเหตุใดไม่เข้ามา เป็นมารดาและพี่สาวประสาอะไรกัน ลูกและน้องฟื้นจากความตายไม่รีบมาแสดงความยินดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า ทำเอาว่านชิงอีรู้สึกผิดกับความลำเอียงนี้ จึงรีบเอ่ยแก้ไขสถานการณ์ทันที “ท่านย่าอย่าได้ตำหนิท่านแม่และท่านพี่เลยเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน ช่วงที่วิญญาณของข้าออกจากร่าง ข้าได้ไปพบท่านเทพเซียนบนสวรรค์ เขาได้บอกข้าว่าหากให้ข้ากลับมา ข้าต้องรักและเอาใจใส่กับทุกคนในครอบครัว มิเช่นนั้นเขาจะมาเอาวิญญาณของข้าไปจริงๆ เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีปั้นเรื่องขึ้นมาเพราะฮูหยินผู้เฒ่าปักใจเชื่อเรื่องนี้มาก อีกอย่างนางอยากอยู่อย่างสงบ ไม่อยากมี่เรื่องกับใคร โดยเฉพาะกับคนในครอบครัวตนเอง “หา!เจ้าได้ไปพบกับท่านเทพเซียนจริงๆ หรือ เจ้าเกิดมาช่างมีบุญวาสนาจริงๆ หลานย่า” ฮูหยินผู้เฒ่ายามนี้ได้ยินเพียงแค่ประโยคได้พบกับเทพเซียน อย่างอื่นที่ว่านชิงอีพูดนางไม่ได้ใส่ใจ “ท่านย่า! ท่านฟังข้าดีๆ นะเจ้าค่ะ ท่านเทพเซียนบอกข้าว่า หากให้ข้ากลับมา ข้าต้องทำดี รัก และเอาใจใส่กับทุกคน มิฉะนั้น จะมาเอาชีวิตข้าอีกครั้ง” โอ้ยเหนื่อย!ว่านชิงอีเอ่ยเน้นทีละคำอย่างช้าๆ เพราะอยากให้ท่านย่าเข้าใจความหมายที่แท้จริง ที่นางต้องการจะสื่อออกไป “ได้ๆ รักและเอาใจใส่ทุกคน ย่าเข้าใจแล้ว” ว่านชิงยกยิ้ม อย่างน้อยนางก็ยอมฟังอยู่บ้าง ก่อนว่านชิงอีจะเดินไปจับมือของว่านซูอวี้ผู้เป็นมารดาให้เข้ามาในห้อง ก่อนจะจูงมือพี่สาวทั้งสองคนให้เข้ามาในห้องเช่นกัน จากนั้นนางก็คุกเข่า ทุกคนพากันเบิกตากว้างตกใจว่านางจะทำอะไร “ท่านแม่ พี่ใหญ่ พี่รอง ที่ผ่านมาข้าต้องขออภัยที่ทำตัวไม่ดี ยามนี้ข้าสำนึกผิดแล้ว ต่อไปข้าจะทำตัวใหม่เจ้าค่ะ” ว่านซูอวี้น้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ ในที่สุดนางก็คิดได้แล้ว ส่วนว่านชิงหลินและว่านชิงหลาน ก็แอบน้ำตาซึมเช่นเดียวกัน นางสำนึกได้แล้วจริงหรือ? “เอาละๆ ลุกขึ้นเถิด เจ้าเพิ่งฟื้นขึ้นจากการป่วยหนัก เดี๋ยวจะกลับไปล้มป่วยอีก” ว่านจื่อหยวนผู้เป็นบิดารีบเข้ามาประคองให้นางลุกขึ้นด้วยความเป็นห่วง แต่ว่านชิงอีก็ขืนร่างกายเอาไว้ไม่ยอมลุก “ท่านพ่อและท่านย่าต้องรับปากข้าก่อน ว่าจะรักและให้ความใส่ใจกับท่านแม่และท่านพี่ อย่างที่ทำกับข้า” “ได้พ่อกับท่านย่ารับปากเจ้า เอาละเจ้าลุกขึ้นมาเถิด” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” ว่านซูอวี้ ว่านชิงหลิน ว่านชิงหลาน ซาบซึ้งใจจนต้องร้องไห้ออกมา ว่านชิงอีนางเปลี่ยนไปแล้ว ขอบคุณสวรรค์ที่ให้นางกลับมาและยังเปลี่ยนนิสัยที่เคยเป็น ว่านชิงอีเดินเข้าไปสวมกอดมารดา อย่างฝากเนื้อฝากตัว กุมารน้อยปิงปิงยืนมองภาพนั้นด้วยความซาบซึ้งใจเช่นกัน ก่อนจะพูดกับว่านชิงอี “คุณหนูครอบครัวนี้ก็ไม่ได้แย่ ต่อไปท่านต้องทำดีกับพวกเขาให้มากนะเจ้าค่ะ” “อืมข้าต้องทำอยู่แล้วในเมื่อมาอยู่ร่างเขาแล้วนี่” ว่านชิงอีเอ่ยตอบกลับไปในใจ หลังจากทุกคนแยกย้ายกันกลับไป ว่านชิงอีก็เดินสำรวจรอบๆ เรือนและมาจบที่ห้องนอนของนาง เรือนหลังนี้งดงามมาก บิดาของร่างนี้คงหมดเงินไปไม่น้อย รอบๆ เรือนยังมีต้นไม้และดอกไม้ปลูกไว้เต็มไปหมดมองแล้วสดชื่นเบิกบานใจ “ปิงปิงเอายามของพ่อข้ามาดูหน่อยว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง เกิดมาเป็นลูกสาวเจ้าพ่อร่างทรง และพ่อหมอปราบผี แต่ดันตายและทะลุมิติมายุคจีนโบราณ ไม่ใช่ว่าจะให้ข้ามาปราบผีจีนหรอกนะ” ว่านชิงอีกล่าวติดตลก เพราะว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกใบนี้ ขนาดทะลุมิติยังเกิดขึ้นมาแล้ว “นี่เจ้าค่ะ” ปิงปิงรีบปลดยามที่สะพายไว้ข้างตัว ส่งให้ว่านชิงอี นางรับมาแล้วเริ่มเปิดถุงยามดูว่ามีอะไรบ้าง แต่ก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบแผ่นกระดาษที่เขียนพับไว้คล้ายจดหมาย นางจึงรีบเปิดออกมาอ่าน “ลูกรักวันใดที่ลูกได้เปิดอ่านนั้นหมายถึงว่าลุูกได้ไปอยู่อีกโลกหนึ่งแล้ว มันเป็นโชคชะตาที่กำหนดเอาไว้ ตัวตนของลูก คือเทพผู้พิทักษ์ ลูกต้องเรียนรู้และต้องช่วยเหลือผู้คน สิ่งที่อยู่ในยามใบนี้อาจช่วยลูกได้บ้าง ส่วนลูกประคำหยกเจ็ดสีลูกต้องใส่ทันที สุดท้ายพ่ออยากบอกว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน พ่อกับแม่ก็รักลูกเสมอ ปล พ่อกับแม่จะพยายามทำบุญส่งไปให้” แสดงว่าพ่อของนางรู้เรื่องราวของนางมาโดยตลอด ว่าวันใดวันหนึ่งนางจะต้องจากไป จึงเขียนจดหมายใส่ไว้ในย่าม หากพวกเขาทำบุญส่งของมาให้นางจะได้รับหรือไม่นะ?เหล่าบรรดาขุนนางพากันปาดเหงื่อกับปริศนาคำทายของท่านหญิง เหล่าคุณหนูและฮูหยิน ต่างพากันขบคิดกับปริศนาคำทายกันอย่างขะมักเขม้น แม้แต่เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว และรัชทายาท ก็พากันขบคิดว่าปริศนาคำทายนี้หมายถึงสิ่งใด นางบอกเริ่มที่ง่ายๆ ก่อน อันนี้ง่ายสุดแล้วใช่หรือไม่ ฮ่องเต้แอบดูคำตอบที่นางให้มาก็แอบยิ้มด้วยความสะใจ คำตอบที่ส่งมาให้ฮ่องเต้ตรวจคำตอบยังไม่มีใครที่ตอบถูกเลยสักคน การสั่งสอนคนบางทีก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเสมอไป ธูปที่จุดบอกเวลาไหม้ลงเรื่อยๆ สร้างความกดดันให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างมาก ก่อนขันทีจะประกาศหมดเวลา ทำเอาเหล่าขุนนางตกใจหน้าซีด เหตุใดเวลาถึงได้เดินเร็วนักเล่า “ทูลฝ่าบาทขอเวลาอีกสักครึ่งชั่วยามได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฮ่องเต้หันไปมองว่านชิงอี ว่าจะเอาอย่างไร นางก็พยักหน้าให้โอกาสอีกครึ่งชั่วยาม “ได้เราจะให้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม หากยังไม่ได้คำตอบก็ถือว่าไม่มีใครหาคำตอบได้ เราจะเก็บของรางวัล500ตำลึงเข้ากองคลัง” ไม่นานครึ่งชั่วยามก็มาถึงอีกครั้ง เหล่าขุนนางเหงื่อตก เพราะไม่สามารถคิดหาคำตอบได้ทันเวลา “เอาละหมดเวลาแล้ว วันนี้ท่านหญิงได้ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ขุนนางของเ
หลังจากเรื่องราวคลี่คลาย ทุกอย่างก็กลับมาปกติอีกครั้ง วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง การแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ ซึ่งฝ่าบาทจัดงานนี้เพื่อนางโดยเฉพาะ ตระกูลต่างๆ มาพร้อมฮูหยินและคนในครอบครัว แม้จะไม่ยินดีที่จะมาร่วมงาน แต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทได้ พองานใกล้เริ่มทุกคนก็พากันไปนั่งประจำที่ ที่ทางวังหลวงจัดเอาไว้ตามตำแหน่งของแต่ละคน วันนี้ท่านหญิงจวินจู่มาในชุดอาภรณ์สีขาวขลิบสีชมพูอ่อน ประดับด้วยปิ่นหยกสีขาวเข้าชุด นางไม่ได้ประโคมแต่งมากจนเกินไป ตั้งใจให้ดูเรียบๆ แต่ดูดี ถึงจะเป็นเจ้าของงาน แต่ก็ไม่อยากโดดเด่นจนเกินไป พอนางมาถึงบริเวณจัดงาน ก็เห็นวิญญาณของพระสนมกุ้ยเฟยยืนรออยู่ นางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าดูงดงามมาก” “ขอบพระทัยเพคะ” ว่านชิงอียิ้มหวานให้พระสนม และก้าวเดินเข้างานไปพร้อมกับนาง ก่อนจะไปยอบกายถวายความเคารพฮ่องเต้ต่อหน้าพระที่นั่ง “ท่านหญิงวันนี้ท่านดูงดงามมากจริงๆ เอาละไปนั่งที่ของท่านเถิดงานจะเริ่มแล้ว” ฮ่องเต้เจินเฉินหลงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี พอนางนั่งลงดนตรีก็เริ่มบรรเลง เหล่านางกำนัลก็เริ่มทำหน้าที่ ยกอาหารและสุรามาวาง ว่านชิงอีมองอาหารอย่างสนใจ อาหารในว
“ท่านอ๋องยามนี้ผู้คนร่ำลือถึงข่าวท่านหญิง ว่าคบบุรุษทีเดียวสามคน ซึ่งในข่าวลือมีท่านร่วมอยู่ด้วย” อู่ถงหลังจากออกไปทำธุระกลับมา ได้ยินข่าวลือเรื่องท่านหญิงจึงรีบมารายงาน “เล่ามาให้ละเอียด” อู่ถงจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ได้ยินมาอย่างละเอียดให้เขาฟัง ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งไม่พอใจ ใครกันนะที่สร้างข่าวพวกนี้ขึ้น แล้วนางจะทนคำพูดเหล่านี้ได้หรือไม่? ช่วงนี้เขาต้องห่างจากนางออกมาหรือว่าเขาต้องทำตัวปกติดีนะ แต่ความคิดเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อองครักษ์เข้ามารายงานว่า องค์ชายซีห่าวและรัชทายาทมาขอเข้าพบ เหว่ยอ๋องถอนใจ ดีเหมือนกันพวกเขามา จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดี เขารู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของนางจริงๆ “เสด็จพี่ท่านได้ข่าวหรือยัง?” องค์ชายซีห่าวร้อนใจร้องถามตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง “เหว่ยอ๋องเราจะทำอย่างไรกันดี นางต้องทุกข์ใจมากเป็นแน่ เรื่องนี้ข้าต้องหาต้นตอคนปล่อยข่าวให้ได้” รัชทายาทเอ่ยน้ำเสียงเจ็บแค้น กับคนสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นจริง “เราจะโทษคนปล่อยข่าวก็ไม่ถูก พวกเราออกไปข้างนอกกับนางจริงมีคนเห็นมากมาย เราควรคิดหาวิธีดีกว่า ว่าต่อไปพวกเราจะไปมาหาสู่นางได้อย่างไร เพราะนางเหมือนจะอยากให้พวกเราช่
จางเจียอีพอกลับมาถึงจวน ก็รีบตรงไปหาฮูหยินจางทันที นางต้องพยายามข่มเก็บอาการเคืองขุ่นและน้อยใจรัชทายาทเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมา เขาปกป้องสตรีนางนั้นอย่างออกหน้า แม้เขาและนางจะยังไม่ได้หมั้นหมายแต่ แต่ก็ได้มีการพูดคุยถึงว่าจะให้หมั้นหมายกัน ตั้งแต่ตระกูลจางรับรู้ข่าวนั้น ก็ได้ให้นางเตรียมตัวฝึกฝนกิริยามารยาท เพราะหากหมั้นและแต่งกับรัชทายาท นั้นก็หมายถึงตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นนางจึงต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด แต่ว่าวันเวลาผ่านไปรัชทายาท ก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลจาง เจอกันในงานก็เพียงทักทาย ยามนี้ยังมาแสดงท่าทีแบบนี้ ใจของนางเหมือนแหลกสลาย พอมาถึงเรือนมารดา จางเจียอีก็โผเข้ากอดนางแน่นพร้อมกับร้องไห้อย่างอัดอั้น จากนั้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฮูหยินจางฟัง ฮูหยินจางได้ฟังก็นึกขุ่นเคืองรัชทายาท และพาลโกรธไปถึงท่านหญิง เป็นท่านหญิงแล้วอย่างไร คิดจะแย่งบุรุษที่มีคู่หมายแล้วได้อย่างงั้นรึ แต่ว่าวันนี้บุตรสาวนางบอกมีเหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาท ฮึเรื่องนี้นางจะปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเรียกอีกสามตระกูลมาคุยกัน “ท่านแม่ข้าไม่ยอม ข้าเตรียมตัวมาตั้งหลายปี หากข้าไม่ได้แต่งกับรั
“ถวายบังคมรัชทายาท ท่านอ๋อง องค์ชาย สตรีสามนางยอบกายถวายความเคารพอย่างงดงาม ตามแบบฉบับคุณหนูที่เพียบพร้อม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชทายาทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เหตุใดไม่ทำความเคารพท่านหญิง หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสตรีที่เพียบพร้อมเขาปฎิบัติกับคนที่สูงกว่าหรือ?” สตรีสามนางหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าพวกนางจะพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นนี้ “ถวายบังคมท่านหญิงจวินจู่ ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดท่านหญิงอย่าถือสา” จางเจียอีเอ่ยออกมาอย่างอ่อนหวาน แม้ภายนอกจะแสดงออกมาว่ารู้สึกผิด แต่ภายในใจนั้นกลับสุ่มไปด้วยเพลิงโทสะจางเจียอีจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ เพื่อระงับอารมณ์และความรู้สึกภายในใจ เหว่ยอ๋องยืนอยู่ด้านหลังของว่านชิงอี มีองค์ชายซีห่าวและรัชทายาทยืนประกบซ้ายขวาคล้ายดั่งองครักษ์ ยิ่งทำให้สตรีสามนางแทบอยากกรีดร้องออกมา จึงได้แต่ขอตัวและจากไปด้วยความแค้นเคือง หลังจากพวกนางไปแล้วว่านชิงอีก็หมุนกายเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ ก่อนจะสั่งอย่างละเอียดว่าชามไหนใส่อะไรไม่ใส่อะไร ทำเอาสามบุรุษหนุ่มยกยิ้มด้วยความพอใจที่นางให้ความใส่ใจกับพวกเขา พอชามบะหมี่ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ว่านชิงอี
จวนสกุลว่าน เสนาบดีว่านพอกลับมาถึงจวนก็รีบตรงดิ่งไปหามารดา วันนี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างยากจะบรรยาย เขารอแทบไม่ไหวที่จะเล่าเรื่องราวที่รับรู้ในท้องพระโรงให้ผู้เป็นมารดาฟัง แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมารดาอยู่ที่เรือน พอสอบถามบ่าวรับใช้ก็ได้ความว่านางไปที่เรือนใหญ่ได้สักพักแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่เรือนใหญ่ทันที พอมาถึงก็เห็นทุกคนนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงคิดว่าเป็นการดีที่จะได้เล่าทีเดียว แต่พอเขาเล่าจบทุกคนกลับนั่งนิ่งไม่มีอาการดีใจเลยสักนิด เขารู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่ให้ความสำคัญกับข่าวนี้ “เหตุใดไม่มีใครดีใจกับข่าวนี้เลย” ? “จื่อหยวนข่าวเจ้านะพวกข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ นึกขำบุตรชายที่รีบรุดมาแจ้งข่าว แต่ที่ไหนได้ข่าวนี้กระจายออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ออกมากระพือข่าวนอกวัง “พวกข้าดีใจก่อนเจ้าจะมาแล้ว แต่ว่ามีข่าวใหม่ที่เจ้ายังไม่รู้อีกนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นแล้วยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนที่จะเล่าออกไป ทำให้เสนาว่านร้อนใจอยากรู้มากขึ้น “ท่านแม่ท่านรีบเล่ามาเถิดข้ารอไม่ไหวแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกระดาษปกแข็งมาให้เขาตรงหน้า