สายฝนตกกระหน่ำแรงขึ้นในยามที่สวีเจียงหลัวมาถึงเรือนของน้องสาว ทั่วลานกว้างขวางแสงของโคมไฟกับตะเกียงลอดผ่านม่านฝนพรำบังเกิดเป็นแสงสีทองอร่ามงดงามราวภาพฝันพอนางกับไป๋อีหานและหลันถิงมาถึงเขตเรือนหลีฮวาได้ไม่นาน ร่มผ้าแพรหลายคันกางเรียงรายเหนือศีรษะคนสำคัญของจวนจวิ้นอันโหว ก็มุ่งหน้าตรงมาถึงเช่นกันสวีเหล่าไท่เย่ ก้าวเดินนำหน้าขบวน สีหน้าเขาภายในม่านฝนเข้มขรึมใต้ร่มด้ามยาวที่พ่อบ้านกวงถือ ข้างกันคือ จวิ้นอันโหว ถัดมาเป็น สวีเหล่าไท่ไท่ กับ สวีฮูหยิน ทุกคนแต่งกายเรียบง่ายแต่สง่างาม ดูย่อมรู้ทุกคนคนคงรีบร้อน ลุกจากเตียงนอนก็ตรงมายังเรือนหลีฮวานี้ทันทีพอทั้งหมดมาใกล้ตรงหน้าเรือน หลายสายตาพลันเบิกกว้าง เมื่อพบกับ สวีเจียงหลัว ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ซึ่งไม่น่าตกใจ หากข้างกันไม่มีร่างสูงใหญ่กำยำของ ชินอ๋องไป๋อี้หาน ยืนอยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน ยังดีที่ด้านหลังมี หลันถิง เป็นเงามิเช่นนั้นทุกคนอาจตกใจยิ่งกว่านี้ทันทีที่ขบวนผู้ใหญ่ทั้งสี่คนมาถึงเหล่าสวีเจียงหลัวกับหลันถิง รวมถึงบ่าวไพร่ทุกนายต่างประสานมือคำนับ ทั้งหมด“อาหลัวคารวะท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ”เหล่าไท่เย่กับจวิ้นอันโหว พยักหน้า
ยามดึกสงัดอีกด้านของจวนจวิ้นอันโหว ลมเหนือพัดหอบไอเย็นและละอองฝนบางเบามาสู่เรือนหลีฮวาเงามืดของต้นหลิวโยกไหวอยู่เบื้องหลังกำแพงมุมอับสายตา บ่าวไพร่และองครักษ์ต่างไม่กล้าเฉียดใกล้เมื่อราตรีล่วงเลยท่ามกลางความเงียบงัน เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น เงาร่างสูงในอาภรณ์สีเข้มเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วเจ้าของเงานั้นมิใช่ใครอื่น เขาคือไป๋อี้เฉิน องค์ชายสามผู้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความทะเยอทะยานของต้าหรง ด้วยวรยุทธ์แกร่งกล้า เขาไม่ต้องปีนกำแพงให้เป็นที่สงสัย เพียงอาศัยกำลังหกในแปดส่วน ก็เหินกายข้ามกำแพงจวนและเรือนหลีฮวาอย่างสง่างาม ไร้สุ้มเสียงสายตาคมกริบกวาดมองรอบด้านด้วยความระแวดระวัง ก่อนจะเร่งฝีเท้าตรงสู่ด้านในเรือนอย่างไม่ลังเลข่าวที่สวีเจียงหลีถูกลงโทษถึงหูเขาตั้งแต่ปลายยามเว่ย แม้ซูเหวินจิ้งจะทัดทานว่าบุตรสาวคนโตสำคัญกว่า แต่ไป๋อี้เฉินกลับคิดต่าง สวีเจียงหลัว เขาแน่ใจว่าตนกำอยู่ในมือแล้ว ทว่าเจียงหลียัง ไป๋อี้เฉินเป็นผู้รอบคอบไม่เคยปล่อยหมากตัวใดให้หลุดจากกระดานไป ยามนี้ เมื่อหญิงสาวแสนอ่อนไหวมีใจให้เขา ต่อให้ท่านปู่ของนางไม่เห็นดี บิดาไม่เห็นชอบ…เขาก็ไม่ใส่ใจตีเหล็กต้องตีตอนร้อน...วันนี
ทันใดนั้น เงาร่างหลันถิงก็ปรากฏในม่านฝน เร่งฝีเท้าเข้ามาอย่างเงียบเชียบ พอเข้าใกล้ร่างสวีเจียงหลัว นางค้อมกายกระซิบรายงานเสียงแผ่ว“คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ...”เจียงหลัวสบตากับหลันถิง เห็นประกายบางอย่างในแววตาสาวใช้สัญญาณที่เฝ้ารอมาครึ่งคืนริมฝีปากบางกระตุกเป็นรอยยิ้มเย็น ดวงตาส่องประกายแข็งกร้าวชั่วพริบตา ก่อนจะซ่อนอารมณ์ไว้ใต้แววตาเรียบสงบนางลุกขึ้นอย่างสง่างาม จัดอาภรณ์ให้เรียบร้อย “หวางเยี่ยเพคะ…”เจียงหลัวเอ่ยเสียงราบเรียบ หากแต่แฝงแรงกดดันกับคาดหวังอยู่ถึงแปดส่วน “บัดนี้อาหลัวเกรงว่าจะมีเรื่องรบกวนหวางเยี่ยแล้ว…”ไป๋อี้หานเลิกคิ้วสูง ความเยือกเย็นในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นความสนใจลึกซึ้ง เขาลุกขึ้นด้วยท่วงท่าสงบและมั่นคง “เรื่องสำคัญเช่นนั้นหรือ?”“ใช่เพคะ…เป็นเรื่องที่ควรมีผู้ใหญ่ในจวน และหวางเยี่ยในฐานะชินอ๋องแห่งต้าหรง ร่วมรับรู้ด้วย”ไป๋อี้หานขมวดคิ้วต่ำลง ก่อนพยักหน้ารับ “ได้ เจ้านำไป”เจียงหลัวประสานมือคารวะ “ขอบพระทัยเพคะ เสี่ยวผิง เจ้าไปเชิญท่านพ่อกับท่านแม่ เสี่ยวจิ่ว เจ้าไปเชิญท่านปู่กับท่านย่า พาทุกท่านไปยังเรือนหลีฮวา หลันถิง มากับข้า”นางเอ่ยจบก็ก้าวนำหน้าเสียงสายฝนด้านนอกยิ่
สายลมฝนพัดแรงขึ้น เปลวเทียนพลิ้วไหวแผ่ว เงาสตรีผู้หนึ่งทอดยาวบนพื้นไม้ ขณะที่ในดวงตาเจียงหลัว วาววับด้วยเปลวไฟอาฆาตเงียบงัน...คืนแห่งการพลิกชะตาได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเวลาเคลื่อนคล้อย บนตั่งใกล้หน้าต่างกระดาษน้ำมัน สตรีนางหนึ่งนั่งทอดกายรับลมในชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อน ปักเถากุหลาบสีน้ำเงินเข้ม ผมยาวดำเคยงามลออ บัดนี้มีรอยตัดแหว่งตรงขมับ ผ้าพันแผลสีขาวรัดรอบศีรษะกรอบหน้างดงามยังแต้มรอยช้ำสีจาง ริมฝีปากซีดเผือดเพิ่งคืนสีสันเพียงเล็กน้อย บอกเล่าความอ่อนแอหลังอุบัติเหตุเมื่อไม่กี่วันก่อนแต่แม้รอยเจ็บจะประดับทั่วกาย ดวงตาหงส์เรียวยาวกลับฉายประกายแน่วแน่ เยือกเย็น เงาสะท้อนในตาคู่นั้นลึกล้ำจนมิอาจคาดเดาแสงจันทร์อ่อนลอดผ่านหน้าต่าง ตกบนแก้มขาวและปลายจมูกดุจหยก กลีบมู่ตันขาวร่วงหล่นต้องกระถางเคลือบ ผ้าแพรคลุมไหล่ลู่ลงอย่างงดงามในสายลมเจียงหลัววางหมากขาวลงบนกระดาน ‘แกร๊ก’เสียงแผ่วเบาปลุกความสงัด ริมฝีปากบางขยับยิ้มแผ่ว ครึ่งหนึ่งเหม่อลอย อีกครึ่งเปี่ยมความนัยลมเย็นพัดปลายผมดำพลิ้ว เงาของเจียงหลัวทอดบนกระดานหมากกล้อมราวหงส์เดียวดายในม่านหมอก ดวงตาเรียวยาวทอดมองผ่านม่านหน้าต่างออกสู่สวนเบื้องนอก เง
สายลมกลางฤดูฝนพัดผ่านเบา ๆ กลิ่นบุปผานานาพรรณในสวนหลังเรือนฉาฮวาลอยตลบอบอวลไปทั่ว หยาดฝนปรอยยามอัสดงทำให้ม่านท้องฟ้าคล้ายถูกขีดแบ่งเป็นชั้น สีทองอมหมอกค่อย ๆ ละลายหายไปในเงารัตติกาลภายในเรือน เริ่มมีแสงตะเกียงเรืองรอง สะท้อนกับผนังไม้และกระดาษจนเกิดเป็นภาพเงาของหญิงสาวนางหนึ่งทอดตัวอยู่กลางความสลัวของบรรยากาศกลางยามโหย่ว ใบหน้าของสวีเจียงหลัวนิ่งเรียบแต่แววตากลับฉายประกายบางอย่าง ริมฝีปากงามกระตุกเป็นรอยยิ้มเยือกเย็นขึ้นเล็กน้อย“คุณหนู ท่านยังไม่เข้านอนอีกหรือเจ้าคะ นี่ก็กลางยามโหย่วแล้ว…”เสียงเสี่ยวผิงดังขึ้นขณะวางถ้วยยาที่เพิ่งจัดส่งให้คุณหนูใหญ่ดื่มหมดไปหลายขนาน เสี่ยวผิงยังไม่คลายกังวล สีหน้ากังขาปนห่วงใย แต่เพียงสบตาผู้เป็นนาย ใจของนางพลันสะท้านโดยไร้เหตุผลเจียงหลัวเหลือบตามอง เห็นสีหน้าและแววตาอันอ่อนน้อม จึงยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง“คืนนี้ข้าจะมีแขกมาเยี่ยม นอนดึกสักหน่อย เสี่ยวผิง หาอาภรณ์สุภาพแต่ไม่ต้องหรูหราเต็มพิธีการเกินไปมาให้ข้าสวม เสี่ยวจิ่ว เจ้าก็ไปเตรียมจัดโต๊ะน้ำชาตรงเฉลียงด้านแปลงเหมยกุ้ยกับมู่ตันเอาไว้” เสียงของเจียงหลัวนิ่งสงบ ไม่เร็วนัก หากแต่ทรงอำนาจชวนให้คนฟังใ
บ่ายคล้อยวันนั้น ลมจากภูผาหลิงอวี้พัดเอากลิ่นไม้สนและฝุ่นละอองจาง ๆ ผ่านเข้าจวนจวิ้นอันโหวรถม้าขององค์ชายสามเพิ่งจากไปไม่นาน ข่าวการที่ไป๋อี้เฉินมาส่งสวีเจียงหลีถึงหน้าประตูจวน ก็แพร่กระจายทั่วจวนราวไฟลามทุ่ง แม้แต่เรือนกลางของจวิ้นอันโหวก็ไม่เว้นสวีฉีฟ่านกับผู้เฒ่าสวีเฉาเฟยที่กำลังหารือเรื่องราชสำนัก ถึงกับวางถ้วยชาลงแรง ๆ สีหน้าถมึงทึงเต็มไปด้วยโทสะ“เจ้าบอกว่า เจียงหลีกลับมาพร้อมองค์ชายสาม?” สวีฉีฟ่านถามซ้ำเสียงเย็น“ขอรับท่านโหว บ่าวเห็นชัดเต็มสองตา” พ่อบ้านกวงเอ่ยตอบอย่างระมัดระวัง“บังอาจ!” สวีเหล่าไท่เย่ลุกพรวดจากเก้าอี้หยก ตวาดเสียงดังลั่นจนบ่าวไพร่ในห้องสะดุ้งตามกันเป็นแถวสองพ่อลูกต่างสบตากันอย่างเข้าใจดี พวกเขารับใช้ราชสำนักมาเกือบชั่วชีวิต ผ่านลมฝนแห่งการแย่งชิงอำนาจเชื้อพระวงศ์มานับไม่ถ้วนแต่เดิมบุตรหลานสตรีของสกุลสวีถูกกำชับหนักแน่นมาโดยตลอด ว่าอย่าได้ข้องเกี่ยวเรื่องชิงบัลลังก์ของเหล่าองค์ชายเป็นอันขาด ดังนั้นตลาดมาไม่ว่าจะวังหลังหรือจวนอ๋องหลายแผ่นดินจึงไม่มีสตรีสกุลสวีแม้แต่คนเดียวที่ผ่านมาสวีเจียงหลัวแม้จะมีใจให้ไป๋อี้เฉิน แต่ก็ยังสงวนท่าที ไม่เคยทำให้คนในสกุลต้อ