จางอี้หมิงชี้ให้บิดาดูต้นกล้าที่ปลูกลงรางไม้ไผ่ซึ่งเจริญเติบโตขึ้นมามากในหนึ่งเดือนนี้ และเบาะสำหรับต้นกล้าเพาะขึ้นมาใหม่ ที่ ณ ตอนนี้ก็ยังไม่มีสิ่งใดงอกออกมาให้ชื่นใจเลยแม้แต่น้อย“พี่อาจู ผักไม่ต้องการน้ำมากในฤดูหนาว ไม่ต้องรดน้ำบ่อยนะขอรับ สักวันเว้นวันก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเห็นว่าดินมันแห้งเกินไปจึงค่อยรดก็ได้” จางอี้หมิงไม่วายเอ่ยเตือนสองหมิงให้ระวังเรื่องการรดน้ำ“นายน้อยขอรับ ถ้าเรารดน้ำตอนนี้ผักมันจะสำลักน้ำเพราะอากาศหนาวหรือไม่” อาจินเอ่ยถามเพราะเขาสงสัยมานานหลายวันแล้ว“อาจิน ผักมันจะไปมีความรู้สึกได้เช่นไร” อาจูค้านน้องชาย“พี่อาจินพูดถูกแล้วขอรับ น้ำในลำธารเย็นมาก ข้าว่าเราตักมาไว้ในห้องนี้ก่อนค่อยเอาไปรดก็นะขอรับพี่อาจู” “นายน้อย แล้วปุ๋ยไข่ที่นายน้อยหมักไว้ต้องใส่ตอนไหนขอรับ ตอนนี้กลิ่นไข่ไม่ค่อยมีแล้ว” หมิงจูนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกหนึ่งอย่างที่เขาไม่รู้จะจัดการยังไงจางอี้หมิงต้องทวนคำพูดของหมิงจูอีกครั้งถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาทำปุ๋ยฮอร์โมนไข่ไว้สำหรับรดผักที่ปลูก ในสมัยนี้ไม่มีนมเปรี้ยว แต่โชคดีที่เขาเคยหาข้อมูลมาก่อนเลยสามารถทำปุ๋ยฮอร์โมนไข่ออกมาได้ ซึ่งมันเป็นการทำแบบง่าย ๆ
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ววันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ชีวิตประจำวันของครอบครัวจางและชาวบ้านจึงไม่ต่างไปจากเดินเท่าใดนักในทุก ๆ วัน ผู้ที่ยุ่งตลอดหนึ่งเดือนมานี้เห็นทีจะมีเพียงหลี่อ้ายที่ต้องสอนเหล่าผู้หญิงในหมู่บ้านให้ปักผ้า โชคดีที่การเรียนการสอนเป็นไปด้วยดี หลี่อ้ายหวังว่าช่วงฤดูหนาวที่ชาวบ้านทำอันใดมิได้ เวลาว่างเหล่านี้จะทำให้หญิงชาวบ้านมีงานทำแก้เบื่อได้เป็นอย่างดีเช้าวันนี้เป็นวันที่จางอี้หมิงมิอยากลุกออกมาจากเตียงนอนสักเท่าไหร่ เพราะเป็นเช้าที่หิมะแรกของปีมาเยือน ความจริงหิมะคงตกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เห็นได้จากที่ลุกออกมาหน้าบ้าน บนพื้นดินที่มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาวโพลนเต็มไปหมด เมื่อลองเหยียบย่างลงไป เท้าน้อย ๆ ของเขาก็จมลงไปเกินข้อแข้ง“บรื๊ออออ เย็นชะมัด ไม่คิดว่าหิมะมันจะสวยและเย็นขนาดนี้” จางอี้หมิงร้องนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้สัมผัสหิมะ เด็กน้อยวิ่งออกไปหน้าบ้าน เขากระโดดหยองแหยงไปตามพื้นที่มีหิมะราบเรียบ เมื่อมองหันหลังกลับไปจึงเห็นรอยเท้าของตนเอง อี้หมิงถึงกับหัวเราะชอบใจทำไงได้ คนไม่เห็นหิมะนี่นา ประเทศไทยมีสามร้อยหกสิบห้าวันวัน ก็ร้อนไปแล้วสามร้อยหกสิบสี่วัน เว
เหลือเวลาอีกเพียงแค่ไม่ถึงสิบวันจะเข้าฤดูหนาวแล้ว แต่จางอี้หมิงก็ยังหาทางออกของความฝันที่น่ากลัวนั้นไม่ได้สักที ในแต่ละวันที่ผ่านไป เขาจึงมีท่าทางเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ความสดใสสมวัยที่เคยมีหม่นหมองไปในตอนนี้ บ้านสกุลจางหาได้มีปัญหาเรื่องเงินทองไม่ เนื่องจากรายได้ส่วนแบ่งจากเหลาอาหารซิ่งฝู และน้ำตาลผักจากสกุลซุนที่ทำออกมาขายให้กับเถ้าแก่หวังสำหรับขายให้ชาวเมืองไห่ถังก็มากมายเกินคาดเมื่อไม่สามารถคิดถึงวิธีการแก้ปัญหาได้ จางอี้หมิงจึงเลือกใช้เงินในการแก้ไขปัญหา ในเมื่อเขามีเงินอยู่มากมาย เด็กน้อยจึงนำเงินครึ่งหนึ่งที่มี ไปจัดซื้อเสบียงมาเก็บไว้ยังที่ทำการกลุ่มการค้าหลัวถงเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจริง ๆทำไงได้ จางอี้หมิงก็แค่เด็กคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้วิเศษที่ไหน...อาจจะจริงดังท่านปู่ถงว่า หากเตือนไปแล้วภัยหนาวไม่เกิด ชาวบ้านก็เสื่อมความเชื่อถือ หากเกิดขึ้นจริง เสบียงเหล่านี้คงเพียงพอสำหรับครอบครัวของเขาและอาจจะช่วยชาวบ้านได้นิดหน่อย อย่างน้อยเขาก็ทำจนสุดความสามารถแล้วหลังจากกักตุนเสบียงอาหารเตรียมไว้จนพอใจแล้ว เมื่อใกล้ฤดูหนาว จางอี้หมิงจึงทุ่มความสนใจไปที่การปลูกผักเป็นหลัก ซึ่งวันนี้
กว่าจะเตรียมอะไรทุกอย่างเรียบร้อย เวลาก็ผ่านไปราวสองเค่อ จางอี้หมิงเห็นว่าทุกอย่างพร้อมแล้วจึงให้หลี่อ้ายทำขั้นตอนต่อไป“ท่านแม่ ต้มหอยหินกับเห็ดหอมให้สุก ท่านพ่อ ไปย่างหอยหินบนเตา ข้ากะว่าพอพวกเราทำเสร็จ ท่านย่าคงกลับมาพอดีขอรับ” “หมิงเอ๋อร์ เอาหอยหินวางลงไปทั้งตัวเช่นนี้หรือไม่” จางอี้เทายังงงกับคำพูดของบุตรชาย เนื่องจากเขาไม่รู้จะทำเช่นไร“ถูกแล้วขอรับ แต่ท่านพ่อต้องหมั่นเติมฟืนนะขอรับ เพราะตอนที่เราย่างจะมีน้ำออกมาจากหอยเยอะ มันจะทำให้ไฟดับ รอข้าเข้าเมืองข้าอาจจะไปหาช่างให้ช่วยทำตะแกรงย่างเนื้อขอรับ แบบนั้นเราจะย่างบนตะแกรงเปิดฝาหนึ่งข้าง เช่นนั้นจะง่ายกว่ามากขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ หอยกับเห็ดน่าจะสุกแล้ว” หลี่อ้ายบอกบุตรชาย“ท่านแม่รอให้เย็นสักหน่อยค่อยเอาหอยกับเห็ดมาหั่นและสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เสร็จแล้วหั่นขิงสดเอาไปตำให้ละเอียดรอไว้เลยขอรับ” เมื่อผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้ว จางอี้หมิงจึงบอกขั้นตอนต่อไประหว่างที่สองแม่ลูกกำลังขะมักเขม้นทำน้ำปรุงรสหอย จางอี้เทาก็ย่างหอยหินไปด้วย ซึ่งถือว่าเป็นงานที่หนักพอสมควรเนื่องจากไฟเริ่มมอดลงทุกที“ท่านแม่สับหอมหัวใหญ่เอาไปผัดให้มีกลิ่นหอม ให้หอมไหม้
“ท่านอาอี้เทา หมิงหมิงน้อยบอกว่าหอยหินทำอาหารกินได้ พวกข้าเลยเก็บกลับมาด้วย ส่งหมิงหมิงน้อยเสร็จแล้วพวกข้าสองคนพี่น้องขอตัวกลับบ้านก่อนนะเจ้าคะ ป่านนี้ท่านพ่อท่านแม่คงตามตัวแล้ว” ซุนซูลี่บอกจากอี้เทาพลางยื่นตะกร้าส่งให้“ไปกันเถอะอาเย่ หมิงหมิงน้อย หากจะไปเก็บหอยหินอีกห้ามไปคนเดียวเข้าใจหรือไม่” ซุนซูลี่มิวายเอ่ยดักจางอี้หมิงไว้ นางไม่ไว้ใจเด็กซนคนนี้จริง ๆ “ขอบคุณพี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยขอบคุณสองพี่น้องที่ดีกับเขาเสมอมา“อาเย่ ไปกันเถอะ ท่านอาอี้เทา พวกข้าไปก่อนนะเจ้าคะ” ซุนซูลี่บอกน้องชายและเอ่ยลาบ้านจางอีกครั้ง เสร็จแล้วจึงแยกตัวกลับบ้านไป“หมิงเอ๋อร์ นี่มันหินทั้งนั้น มันจะเป็นของดีไปได้เช่นไร” จางอี้เทาถามบุตรชายอีกครั้ง เขาพินิจมองดูหินในตะกร้าแล้วก็ไม่เข้าใจมองอย่างไรก็หินชัด ๆ จะเป็นของดีถึงขนาดที่ทำให้บุตรชายของเขาต้องไปตามเก็บมาเชียวหรือ“ท่านพ่อ ข้าเคยบอกท่านย่าไว้ว่าผัดผักบุ้งต้องมีน้ำปรุงรส ซึ่งน้ำปรุงรสนี่แหละขอรับทำมาจากหอยหิน ท่านพ่อ ไปกันเถอะ เราต้องแกะหอยหินเอาแต่เนื้อข้างใน ข้าอยากทดลองทำมาตั้งนานแล้ว” จางอี้หมิงรีบลุกขึ้นจากแคร่ไม้ เขาจับมือบิดาแล
ณ แนวชายหาดทางไปท่าเรือของชาวบ้านหลัวถงซึ่งอยู่คนละที่กับบริเวณชายฝั่งที่เด็ก ๆ เคยไปจับปู มีเด็กสามคนกำลังเดินอยู่ด้วยกัน พื้นที่ตรงนี้จะมีน้ำลึกเหมาะแก่การจอดเรือประมงให้ชาวบ้านออกไปหาปลาปกติแล้วจะไม่อนุญาตให้เด็ก ๆ ไปป้วนเปี้ยนหรือเล่นแถวนี้ แต่จางอี้หมิงให้เหตุผลเพียงแค่ว่าอยากมาดูและต้องการเห็นหอยหินที่พี่ ๆ บอกว่ามีมากมายบริเวณชายหาดเท่านั้น และเขาไม่ได้จะลงไปในน้ำแต่อยู่บนบก ทำให้สองพี่น้องบ้านซุนปฏิเสธไม่ได้“พี่ซุนลี่ พี่หมิงเย่ เดินเร็ว ๆ เข้า ข้าอยากเห็นท่าเรือแล้ว” จางอี้หมิงเอ่ยเร่งท่านพี่ทั้งสองเสียงร้อนรน เขาอยากเห็นจริง ๆ กับตา“หมิงหมิงน้อย อย่าลืมว่าห้ามวิ่ง พี่สาวเร่งฝีเท้าเต็มที่แล้ว” ซุนลี่เอ่ยเตือนเพราะเด็กชายช่างซนเหลือเกิน แผลที่หัวเข่ายังไม่ทันหาย นางเกรงว่าจะเพิ่มแผลใหม่อีก หากเป็นเช่นนั้นอีกครั้งท่านอาอี้เทาคงห้ามเด็ดขาดไม่ให้มาที่นี่อีกเป็นแน่“พี่หมิงเย่ เราต้องไปถึงให้ไวที่สุด ถ้ามีหอยหินเยอะเราต้องเสียเวลาเก็บ ตอนนี้บ่ายคล้อยแล้ว อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะตกดิน ยิ่งใกล้ฤดูหนาวเช่นนี้แสงแดดมีไม่มาก ข้าจึงอยากไปให้ถึงไว ๆ ขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายให้สองพี่น้อง