กันตารู้สึกเหมือนเลือดในกายเย็นเฉียบ ที่ตัวเองมาอยู่ในร่างของตัวประกอบไร้ค่าผู้น่าสงสาร เป็นเพียงตัวประกอบตัวหนึ่งที่ถูกนักเขียนทรมาทรกรรมต่างๆ นานา แล้วกำจัดทิ้งอย่างเลือดเย็น เพื่อเป็นการเปิดทางให้พระเอกกับนางเอกได้สานสัมพันธ์กัน
สวรรค์ องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ พวกท่านกำลังเล่นตลกอะไรกัน
ชีวิตก่อน เธอเลือกเป็นฝ่ายหลีกทางให้คนรักได้ครองคู่กับหญิงอื่น เพื่อให้เขามีความสุขกับชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ทั้งที่ตัวเธอเองเจ็บปวดใจเจียนตาย
พอได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง สวรรค์กลับให้เธอมาเกิดใหม่ในร่างของคนบ้า ไม่พอ ยังจะให้เธอเป็นผู้เสียสละ ยอมตาย เพื่อให้ผู้อื่นครองคู่กันอีก
ไม่มีทาง
เธอขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่า เธอไม่มีวันแขวนคอตัวเองเหมือนในนิยายเด็ดขาด
ส่วนใครจะรักกับใครยังไงก็เชิญ ขอแค่อย่าเอาชีวิตของเธอไปข้องเกี่ยวด้วยก็พอ เธอยินดีหลีกทางให้
ชีวิตก่อนนั้นเธอยอมหลีกทางให้อดีตคนรักได้สุขสมหวังก็จริง แต่เธอไม่ได้อยากตาย เธอยังต้องการมีความสุขในฐานะสาวโสด แต่กลับต้องตายเพราะอุบัติเหตุ
ส่วนในชีวิตนี้เธอก็ไม่คิดอยากตายเช่นกัน เธอมีบุตรสาวที่น่ารักน่าชังอย่างเหยียนเหยียน จะให้เสียสละตัวเองเพื่อให้คนอื่นได้รักกันอย่างราบรื่น โดยไม่ผิดศีลธรรม
เหอะ! ใครมันจะไปยอม เธอจะฉีกบทปัญญาอ่อนนั้นทิ้ง
เธอพอแล้วกับการเป็นคนดีผู้เสียสละ
เธอเป็นคนดีและเป็นคนโง่เพื่อคนอื่นมามากพอแล้ว
ต่อไปชีวิตนี้เป็นของเธอ เธอจะเป็นผู้กำหนดโชคชะตาของตัวเอง นิยายบ้าบออะไร เธอไม่เป็นตัวประกอบอะไรให้ใครเหยียบย่ำทั้งนั้น
ไม่ว่าโลกใบนี้จะเป็นโลกคู่ขนาน หรือว่าโลกในนิยาย เธอก็ไม่สนใจทั้งนั้น เพราะนี่คือชีวิตของเธอ และเธอจะไม่มีวันยอมเดินตามเส้นเรื่องที่ใครขีดเขียนไว้เด็ดขาด
กันตาคิดอย่างหมายมั่น ความคิดเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวตอนนี้คือการคิดหาหนทางมีชีวิตต่อไป เธอจะทำอะไร ทำอย่างไรให้มีชีวิตรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้
เพราะหากนับเวลาตอนนี้เธอคงอยู่ในปี1980 ปีที่หลินจื่ออิงจะต้องตายในวัยเพียงสิบแปดปี
"โอ๊ะ!"
หญิงสาวอุทานออกมาเบาๆ เมื่อเพิ่งตระหนักได้ว่าเธออยู่ในร่างของเด็กสาวอายุสิบแปดปี ผู้หญิงอายุล่วงเข้าเลขสาม มองเห็นเลขสี่รำไรอย่างเธอ ริ้วรอยเริ่มปรากฏ เส้นผมเริ่มมีสีอื่นแซมจนต้องเดินเข้าร้านเสริมความงามเป็นว่าเล่น ตอนนี้ได้กลับมาเป็นสาวน้อยวัยแรกรุ่นอีกครั้งย่อมที่จะรู้สึกดี
กันตายิ้มกว้างอย่างยินดี รู้สึกเหมือนได้รับของขวัญล้ำค่าจากฟ้า นับว่าไม่เลวเลยจริง ๆ ถึงสภาพของร่างนี้จะซกมกไปหน่อยก็เถอะ แต่ไม่มีปัญหา เธอจัดการได้
อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องริ้วรอยหรืออาการปวดหลังอีกแล้ว แถมยังมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ชีวิตที่ถูกกำหนดให้จบลงอย่างอนาถเหมือนในนิยาย
แม้ปีนี้จะเป็นปีที่พระเอกและนางเอกจะเริ่มสานสัมพันธ์กันอย่างจริงจัง เพราะเกิดความเห็นอกเห็นใจกันหลังจากที่หลินจื่ออิงตาย การตายของหลินจื่ออิงจึงเป็นตัวจุดชนวนให้พระเอกกับนางเอกใกล้ชิดกันมากขึ้น
แต่ขอโทษเถอะ ตอนนี้เธอยังไม่ตาย
พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์สานสัมพันธ์กัน
กันตายกยิ้มมุมปาก ในเมื่อรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็จะต้องเปลี่ยนไป
พระเอกกับนางเอกอาจจะถูกลิขิตให้ลงเอยกัน แต่เธอนี่แหละจะเป็นคนฉีกบทเดิมทิ้ง
กันตา หญิงสาวผู้ยอมเสียสละให้คนรักมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ
หลินจื่ออิง หญิงบ้าที่ถูกลิขิตให้เป็นตัวประกอบผู้เสียสละ เพื่อให้พระเอกนางเอกได้ครองคู่กัน
ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีสองคนนี้อีกแล้ว ในเมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้เธอมาอยู่ที่นี่ งั้นเธอก็จะเขียนบทขึ้นมาใหม่
นิยายเรื่องนี้จะมีก็แต่ หลินจื่ออิง นางเอกคนใหม่ ภรรยาผู้เพียบพร้อม และมารดาที่แสนดีเท่านั้น
แต่ถ้าหากไม่อาจแยกคู่ยวนยาง คู่พระคู่นางได้จริง ๆ เธอก็จะหย่าขาดกับพ่อพระเอกในตอนที่เธอยังสาวยังสวย อย่างน้อยถึงจะเป็นหญิงหม้ายลูกหนึ่ง ก็คงจะหาคนมาดามใจได้ไม่ยาก เธอจะไม่ยอมปล่อยให้เวลาล่วงเลย ปล่อยให้ทุกอย่างสายเกินไปเหมือนในชีวิตก่อนของเธอ เพราะยิ่งอายุมากขึ้นทางเลือกก็เหมือนจะน้อยลงเช่นกัน
นี่คือความคิดและความตั้งใจของเธอจริงๆ และสิ่งที่ทำให้เธอมั่นใจที่จะทำเช่นนั้นก็คือ ความรู้สึกภายในใจของตัวเอง เพราะตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาในร่างนี้ เธอที่ควรจะรู้สึกเศร้าเสียใจหรือหวาดหวั่นกับการจากโลกเดิมมาอย่างกะทันหัน กลับไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นเลย ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความอาลัยอาวรณ์ นอกเหนือจากความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นในช่วงแรก
เธอลองถามตัวเองซ้ำๆ ว่า ทำไมถึงไม่รู้สึกเศร้ากับโลกเดิมเลย คำตอบที่ได้คือ เธอไม่มีใครเหลืออยู่อีกแล้ว ไม่มีครอบครัว ไม่มีคนที่รักรอคอย ไม่มีสิ่งใดผูกพันให้เธอต้องคิดถึง และเธอเหนื่อยกับการมีชีวิตในโลกใบนั้น โลกที่แสนวุ่นวายและมีแต่ความสิ้นหวัง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เธอรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองสงบลงกว่าที่ควรจะเป็น เธอไม่ได้ปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้น และแม้จะยังมีคำถามมากมายที่หาคำตอบไม่ได้ แต่เธอไม่ได้รู้สึกอยากดิ้นรนกลับไปยังที่เดิม อาจเพราะชีวิตที่แล้วของเธอเต็มไปด้วยความเดียวดายและความเหนื่อยล้า บางทีการได้มาอยู่ที่นี่ อาจเป็นโอกาสที่เธอจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ฤดูใบไม้ผลิวนเวียนกลับมาอีกครั้ง ต้นไผ่ข้างบ้านผลิหน่อใหม่สูงเรียงราย ลู่ลมเบาๆ เหมือนกำลังเต้นรำตามเสียงหัวเราะของเด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่หน้าบ้านเหยียนเหยียนโตขึ้นมากแล้ว วันนี้เธอสวมชุดนักเรียนชั้นประถมหนึ่ง ใบหน้าที่เคยกลมป้อมตอนเล็กๆ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสาวน้อยท่าทางฉลาด ช่างคิด ช่างฝันและข้างกายเธอ คือเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งหัดเดิน เด็กชายตัวกลมอารมณ์ดีที่กำลังยิ้มแฉ่ง ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในอ้อมแขนของมารดาหลี่ซื่อหาน เด็กชายวัยขวบกว่า ผู้เป็นที่รักของทุกคน เจ้าซาลาเปาน้อยของบ้าน หรือเสี่ยวหานหาน ของพี่สาวเหยียนเหยียนภาพของทั้งสองพี่น้องที่อยู่เคียงกันท่ามกลางแสงแดดอ่อนของยามบ่าย ราวกับภาพวาดแสนอบอุ่นที่ไม่มีคำบรรยายใดจะเทียบได้จื่ออิงเข้าสู่บทบาทภรรยาและคุณแม่อย่างเต็มตัว เธอกลายเป็นหัวใจหลักของบ้าน เป็นคนที่ดูแลทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ภายในบ้าน ตอนเช้า เธอจะลุกขึ้นก่อนใคร เตรียมอาหารเช้าให้สามีและลูกๆ พร้อมเสียงปลุกอ่อนโยนที่ทำให้บ้านทั้งหลังเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใสช่วงกลางวัน เธอมักใช้เวลาอยู่กับเจ้าตัวเล็ก เสี่ยวหานหาน ที่กำลังอยู่ในวัยซน ชอบยิ้ม ชอบหัวเราะ และชอบเกาะเธอไม่ห่
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีตามปฏิทินจันทรคติ หอร้อยรส ปิดให้บริการเป็นเวลาสามวัน เพื่อให้ทุกคนได้เฉลิมฉลองและใช้เวลาร่วมกับครอบครัว จื่ออิงยืนอยู่หน้าบ้าน มือประคองถ้วยน้ำเต้าหู้อุ่นๆ เอาไว้ ใบหน้าของเธอรับแสงแดดยามเย็นที่นุ่มนวล ลมหนาวต้นปีพัดแผ่วเบาผ่านปลายผม พาเอากลิ่นหอมของขนมปีใหม่ลอยโชยมาแตะจมูก ปีนี้ นับว่าเป็นปีใหม่ปีแรกที่เธอได้ฉลองกับครอบครัวของตัวเองในชีวิตนี้บ้านเรือนทั่วหมู่บ้านต่างตกแต่งด้วยสีแดงสดใส โคมแดงถูกแขวนเรียงรายไหวแกว่งตามแรงลม ผ้าสีแดงผืนยาวห้อยประดับอยู่เหนือประตู ข้างฝาผนังมีคำอวยพรปีใหม่เขียนด้วยพู่กันจีนสีดำอย่างประณีตบนกระดาษแดงสดคำว่า "ซินเหนียนไคว่เล่อ" และ "เจ้าไฉจิ้นเป้า" แขวนไว้เป็นสิริมงคล สื่อถึงความหวังและความมั่งมีในปีที่กำลังเริ่มต้นกลิ่นธูปหอมจากโต๊ะบูชาประจำบ้านและกลิ่นขนมหวานแบบดั้งเดิมลอยคลุ้งในอากาศ เสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้างเป็นระยะ สร้างความคึกคักไปทั่วทั้งหมู่บ้าน แทรกด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ตามท้องถนน พวกเขาวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน มือเล็กๆ ถือซองแดงคนละใบ ดวงตาเป็นประกายด้วยความสุขและตื่นเต้นบรรยากาศในวันนี้อบอวลไปด
เช้าวันถัดมา ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก ลมยามเช้าเย็นสบายพัดเอื่อยเข้ามาในลานหน้าร้าน กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้จากกระถางริมทางลอยปะปนมากับสายลม เสียงใบไม้เสียดสีกันแผ่วเบา ช่วยกลบความเงียบที่ก่อตัวขึ้นเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เจียงซินหยาแต่งกายงดงามอย่างที่เคยเป็นยืนอยู่ใต้เงาไม้ ใบหน้าแต่งแต้มอย่างประณีต ท่าทางน่ารักสดใสสมกับภาพลักษณ์ของเธอเสมอมา ใบหน้าดูบริสุทธิ์ผ่องใส แต่แววตากลับซ่อนความหวังเอาไว้อย่างชัดเจน เธอยืนรออยู่เพียงไม่กี่อึดใจ หลี่เฉินก็เดินออกมาจากด้านในร้านชายหนุ่มหยุดยืนตรงหน้าเธอ สีหน้าสงบ ดวงตาแน่วแน่"ซินหยา"หลี่เฉินเอ่ยเรียกขึ้นก่อน น้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดเจน"ฉันมาเอาคำตอบจากพี่ค่ะ"เจียงซินหยาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาไม่วางตา"พี่จะเข้าสอบเกาเข่าใช่ไหมคะ ตอนนี้ยังทัน ถ้าพี่รีบตัดสินใจ"เสียงของเธอนุ่มนวล ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยความคาดหวังที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนหลี่เฉินเงียบไปเพียงครู่หนึ่ง สายตาเขานิ่งสงบก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ"ฉันตัดสินใจแล้ว"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มั่นคง"ฉันจะไม่เข้าสอบ"เจียงซินหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ความประหลาดใจแฝงอย
นับจากวันนั้น จื่ออิงก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องสอบเกาเข่าอีกเลย เธอเลือกที่จะเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่สนใจ แต่เพราะอยากให้หลี่เฉินได้คิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยไม่มีแรงกดดันจากเธอแม้ในใจจะมีความห่วงใยอยู่ลึกๆ แต่เธอก็ซ่อนมันไว้ เธอเชื่อว่า การให้เขาได้ใช้หัวใจตัวเองเลือกทางเดิน คือสิ่งที่ดีที่สุดจื่ออิงยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ตื่นแต่เช้า เตรียมอาหารให้ลูกและสามี ดูแลร้าน ดูแลบ้าน ทำหน้าที่ของภรรยา แม่ และเจ้าของกิจการเล็กๆ อย่างดีที่สุดแต่หากมองให้ลึกลงไปในแววตาของเธอ จะเห็นความอ่อนโยนแบบใหม่ ความอ่อนโยนที่มาจากการยอมรับ และพร้อมจะเคียงข้างสามี ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนก็ตามยามเย็นวันหนึ่ง หลังจากวันอันแสนวุ่นวายและเหนื่อยล้าจบลง แสงสุดท้ายของวันทอดยาวผ่านช่องหน้าต่าง เงาของต้นไผ่ข้างหลังบ้านไหวไกวตามลมหลี่เฉินยืนอยู่หลังบ้านเพียงลำพัง มองภาพท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองอมส้ม ดวงตาของเขานิ่งสงบ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยเสียงของความคิดมากมายที่กำลังประดังประเดเข้ามาการสอบเกาเข่ากำลังใกล้เข้ามาทุกทีเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาตลอดหลายวันมานี้ เขาเคยฝันอยากจะเป็นอาจารย์ อยากเรียนต่อ อยากรู้ว่า
แสงแดดยามเช้าค่อยๆ สาดเข้ามาทางหน้าต่าง ลูบไล้ผ่านผ้าม่านบางเบา บนเตียง ผ้าปูเตียงยับย่นจากรอยสัมผัสแห่งความวาบหวามเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา หลี่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ แขนยังโอบภรรยาคนงามเอาไว้แนบอก ร่างเล็กของจื่ออิงซุกตัวอย่างสงบอยู่ในอ้อมกอดของเขา ชายหนุ่มมองดูใบหน้าของภรรยาที่ยังซุกอยู่ตรงอกด้วยแววตาอ่อนโยน พลางยิ้มจางๆ ออกมาอย่างมีความสุขนิ้วมือของเขาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของภรรยา ก่อนจะก้มลงหอมขมับเธออย่างแผ่วเบา ราวกับไม่อยากให้เธอตื่นจากความสงบสุขนี้จื่ออิงขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตายังคงฉ่ำปรือจากความง่วง ทว่าก็เปล่งประกายอ่อนหวานเมื่อมองเห็นใบหน้าของเขา"ตื่นแล้วเหรอครับ" หลี่เฉินกระซิบถาม น้ำเสียงทุ้มนุ่มเปี่ยมด้วยความอบอุ่นจื่ออิงยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าเบาๆ เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขา ในแววตาของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ลึกซึ้งจนหัวใจเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยนที่สุด"สามีคะ"เธอเรียกเขาเสียงเบาเสียงของเธอเบาและนุ่ม ราวกับกลัวว่าคำพูดจะทำลายความสงบที่รายล้อมอยู่"หืม?" หลี่เฉินขานรับพลางโอบกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย"ขอบคุณนะคะ"เธอพูดแค่น
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ