"โครก~"
เสียงท้องร้องดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของคนที่จะเป็นคนใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่
ก่อนที่ หลินจื่ออิง คนนี้ จะลงมือเปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมด ความหิวโหย กลับเป็นสิ่งที่เร่งเร้าให้เธอต้องลงมือทำอะไรเกี่ยวกับปากท้องเสียก่อน
จื่ออิงยกมือกดหน้าท้องแบนราบเบาๆ พลางถอนหายใจ คำกล่าวที่ว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ดูจะเป็นความจริงที่เถียงไม่ออก เพราะต่อให้เธอจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าปวดหัวเพียงใด แต่ร่างกายกลับเรียกร้องสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งในเวลานี้ก็คืออาหาร อย่างน้อยเธอก็ควรหาอะไรใส่ท้องเสียก่อน สมองของเธอจะได้ปลอดโปร่ง พอท้องอิ่มเธอจะได้คิดลงมือทำสิ่งอื่นต่อ เพราะตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาในร่างนี้ เธอยังไม่ได้แตะต้องอาหารเลยสักนิด
หวังว่าคงจะพอมีอาหารหลงเหลือให้เธอประทังความหิวได้บ้าง
จื่ออิงไม่ลืมที่จะคว้าแอปเปิ้ลลูกนั้นขึ้นมากัดกินอย่างหิวโหย ในขณะที่เดินไปยังห้องครัวซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของตัวบ้าน เมื่อมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู เธอกลับรู้สึกลังเลขึ้นมาอย่างประหลาด เธอไม่รู้เลยว่าข้างในนั้นจะมีอะไรให้กินบ้างไหม ตอนเดินสำรวจก็เพียงกวาดตามองผ่านๆ เพราะไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความทรงจำเกี่ยวกับร่างนี้เหลืออยู่ในหัวของเธอเลย
มันช่างไม่เหมือนอย่างที่เคยอ่านในนิยายเลยสักนิด ในเรื่องราวที่เธอเคยอ่าน ตัวละครที่ทะลุมิติมักจะได้รับความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมติดมาด้วยเสมอ แต่สำหรับเธอ มันกลับว่างเปล่า เรื่องราวของหลินจื่ออิงในนิยายก็เป็นเรื่องก่อนที่หญิงสาวจะตายเท่านั้น และไม่ได้ลงละเอียดอะไรมากนัก หลังจากหลินจื่ออิงตายนักเขียนก็ไม่ได้กล่าวถึงอีกฝ่ายอีกเลย
เธอไม่รู้ว่าภายในครัวนี้มีอาหารหรือเปล่า
เธอไม่รู้ว่าเธอสามารถกินอะไรได้บ้าง
หญิงสาวสูดลมหายใจลึก ก่อนจะตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป ต่อให้ไม่รู้อะไรเลยแต่เธอก็ต้องเอาตัวรอดจากความหิวให้ได้ก่อน
จื่ออิงยืนนิ่งอยู่กลางห้องครัว ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ คราบเขม่าสีดำที่เกาะตามผนังและเพดานเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงการใช้งานมาอย่างยาวนาน กลิ่นควันไฟจางๆ ผสมกับกลิ่นของน้ำมันและกลิ่นหอมของแป้งแตะจมูก
หญิงสาวกวาดตามองสำรวจทุกอย่างด้วยความรู้สึกทั้งตื่นเต้นและประหม่า
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้สัมผัสกับครัวในยุค 80 ของจีนจริงๆ ไม่ใช่ในซีรีส์หรือหนังสือที่เธอเคยอ่าน
มุมหนึ่งของครัวมีเตาหุงต้มดินเผาขนาดใหญ่ โครงสร้างทำจากอิฐและดินเหนียว ด้านล่างเป็นช่องสำหรับใส่ฟืนที่ตอนนี้ยังมีอายความร้อนและเศษขี้เถ้าเหลืออยู่ ส่วนด้านบนเป็นกระทะเหล็กขนาดใหญ่ที่แม้จะดูเก่าแต่ก็ยังแข็งแรงและใช้งานได้ดี ข้างเตามีฟืนจำนวนหนึ่งกองพิงผนังไว้สำหรับใช้จุดไฟ
ติดกับเตาหุงต้มมีโอ่งน้ำตั้งเรียงกันอยู่สามใบ แต่ละใบดูเหมือนจะใช้สำหรับเก็บน้ำสะอาดที่ใช้ทำอาหารและอุปโภคบริโภค ด้านข้างมีโต๊ะไม้ตัวเตี้ยที่ใช้วางเขียงไม้ขนาดใหญ่พร้อมกับมีดทำครัวที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก ใบมีดวาววับแม้จะมีร่องรอยสึกหรอ
จื่ออิงเงยหน้าขึ้นมองชั้นไม้ติดผนัง ที่วางโหลแก้วและถ้วยดินเผาเอาไว้หลายใบ ซึ่งดูแล้วน่าจะใช้สำหรับใส่เครื่องปรุงในการทำอาหาร เธอเอื้อมมือไปหยิบโหลหนึ่งขึ้นมาเปิดฝาดู ภายในกลับว่างเปล่าไร้เงาของวัตถุดิบที่ควรมี
สายตาของเธอกวาดมองไปที่โหลใบอื่นๆ พอจะเห็นอยู่บ้างว่าก้นโหลใบหนึ่งยังมีเกลือเหลือติดอยู่เล็กน้อย ส่วนอีกใบหนึ่งมีคราบน้ำมันหมูที่แห้งเกรอะกรังอยู่ตามขอบ บ่งบอกว่าอาจจะมีน้ำมันหมูเหลืออยู่บ้าง
จื่ออิงถอนหายใจเบาๆ สภาพของครัวแห่งนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ไม่ได้ดีนัก แม้อาจไม่ถึงกับอดอยากจนไม่มีอะไรกินเลย แต่ก็คงต้องใช้วัตถุดิบทุกอย่างอย่างประหยัดที่สุด
เธอหันไปยังมุมหนึ่งของครัว สายตาสะดุดเข้ากับถังไม้สำหรับบรรจุข้าวสารที่วางอยู่ใกล้ๆ กับโต๊ะเตรียมอาหาร จื่ออิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจยื่นมือไปเปิดฝาถังขึ้น
ภายในนั้นมีเพียงข้าวสารขาวๆ ที่เหลืออยู่แค่หนึ่งกำมือ น้อยจนแทบไม่พอหุงเป็นข้าวสักถ้วย
"เหลืออยู่แค่นี้เองหรือ"
หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาหรี่ลงอย่างครุ่นคิด ร่างกายของเจ้าของร่างนี้ผอมบาง แม้จะไม่ถึงกับซูบผอมเพราะอดอยาก แต่ก็ไม่ได้ดูมีเรี่ยวแรงมากนัก เธอเริ่มแน่ใจแล้วว่าชีวิตในบ้านหลังนี้ ไม่ง่ายเลย
จื่ออิงกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก ขณะที่ท้องของเธอเริ่มส่งเสียงประท้วงอีกครั้ง ความหิวเริ่มกัดกินมากขึ้นทุกที
หญิงสาวตัดสินใจเดินไปที่เตาไฟที่ยังคงอุ่นๆ จากความร้อน กลิ่นอาหารที่หลงเหลืออยู่ทำให้เธอพอจะเดาได้ว่า เมื่อไม่นานมานี้มีคนทำกับข้าวอยู่ที่นี่
เธอยกมือขึ้นปัดฝุ่นออกจากมือเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เปิดฝากระทะที่วางอยู่บนเตา ภายในมีน้ำซุปสีขุ่นๆ แต่เธอไม่แน่ใจว่ามันทำมาจากอะไร เพราะไม่มีเนื้อสัตว์หรือผักลอยอยู่เลย มันอาจเป็นน้ำแกงที่ถูกตักแบ่งไปแล้ว หรือไม่ก็เป็นเพียงน้ำซุปที่ใช้หุงต้มอาหาร
สายตาของเธอเหลือบไปเห็น แป้งย่างสองแผ่น ที่วางทิ้งไว้ข้างๆ กัน แป้งแผ่นบางนั้นมีรอยเกรียมนิดๆ ตรงขอบ บ่งบอกว่ามันถูกย่างอย่างดี แต่ตอนนี้กลับเย็นชืดไปแล้ว
จื่ออิงเม้มริมฝีปากแน่น พลางชั่งใจว่า สิ่งเหล่านี้เป็นของเธอหรือเปล่า และหากเธอกินเข้าไป เจ้าของของมันจะว่าอะไรหรือไม่ แต่สุดท้าย เสียงร้องของท้องที่ประท้วงอยู่ ก็ทำให้เธอต้องตัดสินใจ
"เถอะน่า กินๆ ไปก่อนก็แล้วกัน"
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยิบแป้งย่างขึ้นมาแผ่นหนึ่งและลองกัดไปคำเล็กๆ มันแห้งและแข็งไปหน่อย แต่ก็พอมีรสชาติจากแป้งที่โดนไฟย่าง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าวสาลีช่วยให้เธอพอใจขึ้นมาเล็กน้อย
จื่ออิงก้มลงมองน้ำซุปในกระทะอีกครั้ง ของเหลวสีขุ่นดูจืดชืดไม่มีแม้แต่เศษเนื้อหรือผักลอยอยู่ให้เห็น แต่ก็คงพอช่วยบรรเทาความหิวได้
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกวาดตามองหาอะไรสักอย่างที่พอจะใช้ตักน้ำซุปขึ้นมากิน ในที่สุดสายตาก็ไปหยุดที่ถ้วยดินเผาใบหนึ่งซึ่งถูกวางอยู่ตรงชั้นไม้ใกล้ผนัง
จื่ออิงหยิบถ้วยใบนั้นขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ใช้ทัพพีตักน้ำซุป เสียงน้ำกระทบขอบถ้วยดังเบาๆ กลิ่นจางๆ ของกระดูกหมูโชยขึ้นแตะจมูก แม้ว่าจะไม่ได้มีกลิ่นหอมกรุ่นตีจมูกเหมือนน้ำซุปที่เธอเคยกินในโลกเดิม แต่ก็มั่นใจว่ามันคือน้ำซุปกระดูกหมู คงเป็นน้ำต้มกระดูกที่เหลือจากมื้อก่อน แม้มันจะดูจืดชืดและไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นอาหารที่สมบูรณ์ แต่ในยามนี้อะไรก็ยังดีกว่าความหิวที่กำลังทรมานท้องของเธออยู่
หญิงสาวถือถ้วยขึ้นจรดริมฝีปากแล้วลองจิบคำแรก รสชาติอ่อนๆ แต่กลับกลมกล่อมกว่าที่คิด ไม่เค็มไป ไม่จืดไป
ไม่น่าเชื่อว่าน้ำซุปเปล่าๆ นี้จะอร่อยเฉย รสชาติของอาหารมื้อนี้ก็ไม่ได้แย่เลย
จื่ออิงจิบมันต่ออีกสองสามคำ ก่อนจะหยิบแป้งย่างขึ้นมากัดคำเล็กๆ เนื้อแป้งหยาบและแห้งแต่เมื่อกินคู่กับน้ำซุปแล้วกลับเข้ากันอย่างประหลาด นี่ไม่ใช่มื้ออาหารที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ได้แย่ อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอรู้สึกว่าท้องเริ่มอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ
ช่วงเย็นของอีกวัน จื่ออิงนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัวหลังร้าน ดวงตาหยุดนิ่งอยู่บนสมุดบัญชีตรงหน้า แต่เธอไม่ได้อ่านตัวเลขใดๆ เลย ความคิดของเธอล่องลอยไปไกลกว่าแถวตัวเลขเหล่านั้นในเมื่อไม่มีสมาธิจะทำงานต่อ จึงเลือกที่จะปิดสมุดบัญชีรายวันของร้านลง มือของเธอสั่นเล็กน้อย หัวใจหนักอึ้งจนแทบจะควบคุมอะไรไม่ได้ หญิงสาวเงยหน้ามองออกไปยังหน้าร้าน สายตาหยุดที่ภาพของหลี่เฉินสามีของเธอ ที่กำลังสอนบุตรสาวทำการบ้านอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้าน รอยยิ้มของเขายังคงอบอุ่นเหมือนเคย แต่แววตากลับดูครุ่นคิด เหมือนมีบางอย่างกำลังดึงเขาไปไกลจากตรงนั้นทุกอย่างในตอนนี้ดูเหมือนจะลงตัว แต่ในหัวใจของจื่ออิง กลับรู้ดีว่า บางสิ่งยังคงค้างคาภาพหลี่เฉินกับเจียงซินหยาเมื่อวานนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัว คำพูดของพวกเขายังคงก้องชัดในใจใช่ เธอบังเอิญได้ยินมันทั้งหมดการได้เห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันเมื่อวานนี้ ทำให้ตัวตนของทั้งสองที่เธอหลงลืมไปหวนกลับมาอีกครั้งจู่ๆ จื่ออิงก็รู้สึกเหมือนถูกดึงกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้เพราะชีวิตที่ผ่านมาไม่เป็นอย่างเนื้อเรื่องในนิยายเลยสักอย่าง จนเธอเกือบลืมไปแล้วว่า โลกใบนี้เป็นโลกของนิยาย เป็นโลกขอ
ในเวลาเดียวกันภายในหอร้อยรส ช่วงบ่ายคล้อยแสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านกระจกหน้าร้าน ลำแสงสีทองแตะต้องขอบหน้าต่างและโต๊ะไม้ในร้านอย่างแผ่วเบา ภายในร้านยังคงคึกคักไม่ขาดสาย เสียงจานช้อนกระทบกันเบาๆ ผสานกับกลิ่นหอมของอาหารที่ยังอบอวลอยู่ในอากาศ หลี่เฉินกำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ คิดเงินค่าอาหารส่งให้พนักงานอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปหยิบน้ำชาให้ลูกค้าประจำโต๊ะหนึ่ง ท่าทางของเขาขะมักเขม้น เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและใส่ใจในทุกรายละเอียดจนกระทั่งเสียงกระดิ่งเหนือประตูหน้าร้านดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ พร้อมเอ่ยประโยคต้อนรับอย่างเคย"สวัสดีครับ หอร้อยรสยินดีต้อน..."แต่ประโยคนั้นกลับหยุดลงกลางคันเมื่อเขาเห็นว่าใครกำลังยืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มอ่อนโยนประจำตัวชะงักไปในทันทีหญิงสาวรูปร่างโปร่งบางในชุดกระโปรงสีครีมยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าขาวสะอาดตา ผมยาวถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย แววตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่เขาเจียงซินหยาหลี่เฉินยืนนิ่งไปชั่วครู่ รอยยิ้มจางๆ ประจำตัวค้างอยู่บนใบหน้า ในฐานะเจ้าของร้านเขาไม่แน่ใจว่าควรจะรักษามันไว้หรือปล่อยมันหายไปความเงียบแผ่วบางพาดผ่านระหว่างสายตาของทั
วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ร้านอาหารเล็กๆ อย่าง "หอร้อยรส" ก็กลายเป็นที่รู้จักในย่านนั้นอย่างรวดเร็ว จากร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ กลับกลายเป็นจุดหมายของผู้คนที่แวะเวียนกันมาแทบทุกวัน ใครจะเชื่อว่าอาคารหลังนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รกร้างเก่าโทรม ไม่มีใครคิดจะหันกลับมามอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นร้านอาหารแสนอบอุ่นที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความสุขของผู้คนที่แวะมาใช้บริการและอิ่มท้องในแต่ละวันลูกค้าขาประจำบางคนถึงกับมาทุกเช้า บางคนแวะมาเย็น บางคนแค่เดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าเข้ามาดูว่ามีเมนูอะไรบ้างที่น่าสนใจในวันนี้ ส่วนลูกค้าใหม่ก็ทยอยตามกันมาแบบปากต่อปากไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่ล้วนได้ยินชื่อเสียงของร้านจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่เจอกันระหว่างต่อแถวซื้อของ ไม่มีวันไหนเลยที่ร้านจะเงียบเหงา ทุกๆ วันมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงช้อนกระทบชาม กลายเป็นเสียงประจำร้านที่อบอวลไปด้วยชีวิตชีวา กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลมเหมือนคำเชิญชวนที่ไม่มีใครต้านทานได้ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจและแรงกายแรงใจของจื่ออิงกับหลี่เฉิน คู่สามีภรรยาที่ทุ่มเทในทุกขั้นตอน เน
ในที่สุดร้านอาหารของพวกเขาก็เสร็จสมบูรณ์ จื่ออิงกับหลี่เฉินยืนเคียงข้างกันอยู่หน้าร้าน มองดูคนงานกำลังติดตั้งป้ายชื่อร้านเหนือประตูทางเข้าด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและภาคภูมิใจป้ายไม้ขนาดใหญ่ถูกออกแบบอย่างสวยงามและพิถีพิถัน รูปลักษณ์ดูทันสมัยแต่ยังแฝงกลิ่นอายของความเป็นจีนดั้งเดิม ลวดลายที่แกะสลักลงบนเนื้อไม้ให้ความรู้สึกคลาสสิก ไม่ฉูดฉาดแต่กลับโดดเด่นอย่างมีเสน่ห์ เมื่อติดตั้งเสร็จ ป้ายนี้ก็เสริมให้บรรยากาศของร้านดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวของอาหารและวัฒนธรรมที่รออยู่ภายในและสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นชื่อร้านที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตและสวยงาม"หอร้อยรส (百味楼)"ชื่อนี้จื่ออิงใช้เวลาคิดอยู่นานหลายวัน เธออยากได้ชื่อที่ไม่เพียงแค่ไพเราะ แต่ต้องสื่อถึงอาหารทุกจานในร้าน ร้านที่รวมร้อยรสชาติเอาไว้ รสชาติหลากหลายที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เปรียบเหมือนรสชาติร้อยแบบพันอย่างที่ลูกค้าจะได้สัมผัสและลิ้มลองวันนี้เมื่อเห็นชื่อร้านของเธอถูกยกขึ้นติดไว้อย่างสง่างามเหนือทางเข้า จื่ออิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าทุกอย่างจะยั
บ่ายวันนั้น หลังจากเก็บงานที่ร้านเสร็จเรียบร้อย จื่ออิงกับหลี่เฉินก็พากันไปรับเหยียนเหยียนที่โรงเรียนทันทีที่แม่หนูน้อยเห็นพ่อกับแม่มายืนรออยู่ตรงประตูโรงเรียน ใบหน้าเล็กๆ ก็เปล่งประกายสดใส ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ"แม่คะ พ่อคะ วันนี้หนูสนุกมากเลยค่ะ"เด็กหญิงร้องบอกเสียงใส ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แก้มกลมนุ่มนิ่มขึ้นสีชมพูอ่อนดูน่าเอ็นดู"วันนี้หนูได้ระบายสีสมุดภาพ ได้เล่นกับเพื่อน แล้วก็..."เหยียนเหยียนพูดเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด มือเล็กๆ แกว่งไปมาประกอบคำพูดอย่างกระตือรือร้นฝ่ามืออ่อนนุ่มของจื่ออิงยกขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดู รอยยิ้มละมุนกระจายเกลื่อนใบหน้าหลี่เฉินย่อตัวลงรับลูกสาวขึ้นมากอดด้วยท่าทีอบอุ่น แล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนเบาะจักรยานด้านหน้า ขณะฟังเรื่องราวของลูกอย่างตั้งใจ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาแต่ยังไม่ทันจะได้จัดให้เจ้าตัวนั่งดีๆ เสียงใสๆ ก็ประท้วงขึ้นเบาๆ"วันนี้หนูขอนั่งข้างหลังกับแม่ได้ไหมคะ"จื่ออิงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางสบตากับหลี่เฉินอย่างรู้ทัน เห็นท่าทางกระตือรือร้นของลูกสาวก็พอจะเ