“อารักขาฝ่าบาท”
สิ้นเสียงของทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้ายามอยู่หน้าตำหนักสนมตะโกนแจ้งเหตุ เหล่าชายชุดดำนับร้อยต่างออกมายืนห้อมล้อมตำหนัก คืนนี้จะเป็นวันที่พวกเขาจะต้องปลิดชีพเจ้าแห่งแผ่นดินให้ได้ ในยามนี้เป็นเวลาที่ฮ่องเต้ มัวแต่เสพสุขกับนางสนมจึงเป็นโอกาสให้พวกเขาได้ลอบเข้ามาอย่างง่ายดาย
องครักษ์และชายชุดดำต่างยืนนิ่งหยั่งเชิงอีกฝ่าย ถึงแม้องครักษ์จะมีจำนวนน้อยกว่าแต่ก็มิอาจจะดูถูกฝีมือคนเหล่านี้ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังถือว่าพวกตนยังได้เปรียบอยู่มากเรื่องจำนวนคนและฝีมือ
“ใครส่งพวกเจ้ามา” หัวหน้าองครักษ์เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นก่อน หลังจากที่ก่อนหน้าเพียงแค่ยืนสบตากันเท่านั้น
“รู้แล้วอย่างไรไม่รู้แล้วอย่างไร วันนี้พวกเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี” ชายชุดดำผู้หนึ่งพูดออกมาอย่างหยิ่งยโส ก่อนจะหัวเราะอย่างได้ใจ เพราะในวังแห่งนี้ทหารที่เหลืออยู่มีเพียงหยิบมือ เนื่องจากต้องแบ่งกองกำลังส่วนใหญ่ไปยังชายแดน นับว่าโชคดีของพวกเขาโดยแท้
“ดูจะมั่นใจในฝีมือตัวเองเกินไปหรือไม่ ฝ่ายที่จะต้องตายคือพวกเจ้ามากกว่าล่ะมั้ง แค่พวกกระจอกปลายแถว” ฝ่ายหัวหน้าองครักษ์ก็พูดยั่วโทสะของอีกฝ่ายกลับไป มิได้รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด
“กระจอกปลายแถวหรือเช่นนั้นก็ตายกันให้หมดซะ”
จากนั้นชายชุดดำส่วนหนึ่ง ได้พุ่งตรงเข้าหาเหล่าองครักษ์ทันที ต่างฝ่ายต่างไม่ออมมือแม้แต่น้อย หากฝ่ายไหนเพลี่ยงพล้ำนั่นหมายถึงจะต้องสิ้นชีพ
เสียงดาบปะทะกันเสียงดังฟาดฟันกันไม่ได้หยุด แต่ดูเหมือนว่าเหล่านักฆ่าชุดดำจะได้เปรียบอยู่มาก จนในตอนนี้พวกมันได้ต้อนเหล่าองครักษ์มารวมกันอยู่หน้าตำหนักได้ทั้งหมด
ยังไม่ทันที่หัวหน้าองครักษ์จะทันตั้งตัว ชายชุดดำกลับเล่นทีเผลอถีบเข้ากลางลำตัว จนกระเด็นเข้ากับประตูตำหนักอย่างแรงประตูตำหนักได้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
“ว้าย หม่อมฉันกลัวเพคะฝ่าบาท” สนมคนโปรดที่กำลังคลอเคลียเจ้าแห่งแคว้นอยู่นั้น ถึงกับกรีดร้องออกมากอย่างตกใจกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน น้ำตาแห่งสาวงามเอ่อคลอ จนต้องดึงนางเข้ามากอดไว้เพื่อปลอบประโลม
“เราอยู่ตรงนี้ทั้งคนเจ้าจะกลัวไปไยสนมรัก” ชายรูปงามเจ้าแห่งแคว้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ตบหลังมือสนมรักเบา ๆ เพื่อให้นางได้คลายความกลัว
ด้านชายชุดดำที่จัดการกับองครักษ์ทั้งหมดมัดรวมกันไว้หน้าตำหนัก พวกมันเดินเข้ามายังด้านในอย่างผู้ที่เหนือกว่า มองหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีด้านในด้วยสายตาเหยียดหยาม จะตายกันในอีกไม่ช้าอยู่แล้วยังมีอารมณ์มาพลอดรักกันอีกหรือช่างไม่เจียมตัว
หัวหน้าองครักษ์ลุกขึ้นตั้งหลัก ได้ถอยร่นไปยืนคอยคุ้มกันหนานหยางจง ผู้เป็นนายและเจ้าแห่งแคว้นอยู่ด้านข้าง เตรียมพร้อมรับมือหากว่าฝ่ายนั้นลงมือ
“ผู้ใดส่งพวกเจ้ามา” หนานหยางจงเอ่ยถามด้วยท่าทีสบายมิได้เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด กลับกันเขายังคงนั่งจิบชารสเลิศข้างกายมีนางกำนัลและสนมคอยปรนนิบัติเอาใจ
“ประเดี๋ยวท่านจะรู้เอง ยามนี้ท่านจงจิบชาเสพสุขก่อนจะถึงวาระสุดท้ายของท่านไปเถิด ก่อนที่นายข้าจะมาถึง”
เพียงสองเค่อเสียงฝีเท้าคนจำนวนหนึ่งได้ตรงเข้ามายังตำหนัก และคนเหล่านั้นได้ปรากฏตัวต่อสายตาทุกคน อ๋องหนานจิ้งเดินนำเหล่าชายชุดดำเข้ามาด้านใน ข้างกายเขามีเหล่าขุนนางที่คอยสนับสนุนเขาอยู่เบื้องหลัง
“โอ้ เสด็จลุงเป็นท่านเองหรอกหรือ” หนานหยางจงกล่าวทักทาย เมื่อผู้เดินเข้ามาเป็นคนที่เขาได้คาดการณ์ไว้แต่แรกอยู่แล้ว
“ดูท่า เจ้าจะยังไม่รู้ชะตาตัวเองในตอนนี้สินะ ถึงได้ทำตัวสุขสบายเช่นนี้หลานรัก เอาเถอะลุงผู้นี้จะให้เจ้าได้เสพสุขก่อนตายก็แล้วกัน หึ หึ” ในระหว่างที่กล่าวนั้นอ๋องหนานจิ้งได้เดินสำรวจตำหนักอย่างพึงพอใจ เพราะภายในต่างตกแต่งด้วยของล้ำค่าและหรูหราของที่ควรจะเป็นของตนอีกไม่นานมันก็จะมาอยู่ในมือเขาแล้ว ก่อนสายตาจะไปหยุดที่สนมคนโปรดที่กำลังออดอ้อนอยู่ในอ้อมแขน ของผู้ที่เขาเกลียดชังเป็นที่สุด
“จับตัวสนมและนางกำนัลพวกนี้ไว้ เอาไว้ให้ข้าจัดการหลานรักข้าเสร็จแล้ว ข้าจะเสพสุขกับพวกนางต่อ”
ด้านหวังอ้ายฉิงลูกหมูน้องเล็ก นั่งอยู่ที่โต๊ะกระจกทองเหลืองอันเล็ก ทั้งตัวเต็มไปด้วยแป้งขาวโพลน ผมที่มัดจุกสองจุก มีปิ่นอันเล็กรูปผีเสื้อของท่านแม่ปักอยู่ ปากน้อยจิ้มลิ้มถูกแต้มด้วยชาดทาปากสีแดง ที่นางชอบแอบหยิบของท่านแม่มาเล่นจนเต็มรอบปาก ไม่เว้นแม้แต่แก้มยุ้ยสองข้างกำลังหันมองซ้ายขวาตบมือแปะ ๆ ชอบอกชอบใจ
“คิก คิก ฉิงจ๋วย”
เฮอ นี่สินะที่เขาพูดกันว่าอย่าปล่อยลูกไว้กับพ่อ ตอนนี้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยเชียวล่ะ เห็นภาพตรงหน้าแล้วพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา
“ท่านพี่ข้าให้ท่านมาอาบน้ำแต่งตัวให้ลูกไม่ใช่ให้มาเล่นกับลูกนะเจ้าคะ”
แล้ววันงานบวงสรวงก็มาถึง ปะรำพิธีได้ถูกจัดขึ้น ณ ลานกว้างของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ กลางลานมีแท่นพิธียกขึ้นสูงบนโต๊ะรูปมังกรเหยียบเมฆา มีผลไม้และอาหารมงคล ตรงกลางมีกระถางสำหรับปักธูปลวดลายอ่อนช้อย สถานที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างสวยงามงานนี้เจ้ากรมพิธีการได้หน้าไปเต็ม ๆ ต่างถูกชมจากผู้คนมิขาดปากแต่ผู้ที่รับหน้าที่สำคัญที่สุดในวันนี้กลับนั่งเหงื่อตกรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ คิดจะหนีงานดีหรือไม่ แต่เมื่อมองไปยังที่ประทับของฮ่องเต้ ใบหน้าที่คาดหวังของท่านแม่และท่านพ่อ ไหนจะท่านลุงฮ่องเต้อีกคน จะถอยก็มิได้จะเดินต่อก็ไม่ได้และแล้วพิธีสำคัญได้ถึงเวลาที่เหมาะสมชาวบ้านที่เข้ามารอชมอย่างคาดหวัง หวังเยี่ยนฟางแต่งตัวด้วยชุดสีแดงอลังการ เดินนวยนาดออกมายังหน้าแท่นพิธีก่อนสายตาจะมองไปรอบ ๆ นางไม่พบเหล่าพี่ชายพี่สาวแฝดสามและอ๋องน้อยพวกนั้นหายไปที่ใดกัน“แด่ท่านเทพพิรุณเทพแห่งสายฝนที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา ท่านได้โปรดทรงประทานหยาดฝนเพื่อดับทุกข์ร้อนของเหล่ามวลมนุษย์ด้วยเถิด” หวังเยี่ยนฟางกล่าวจบจึงได้ทำการปักธูปลงในกระถางทันใดนั้นเองท้องฟ้าแปรปรวนร้องสนั่นหวั่นไหว หมู่เมฆมืดครึ้มลมพัดแรง จนมงกุฎที่หวังเยี่ยนฟา
ในปีหนึ่งแคว้นหนานได้เกิดปัญหาภัยแล้งฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนน้ำในการทำการเกษตรและใช้สำหรับอุปโภคบริโภคองค์ฮ่องเต้ทรงมองเห็นในความเดือดร้อนของพสกนิกร ทรงมีรับสั่งช่วยเหลือแจกจ่ายอาหารและสิ่งของจำเป็น เพื่อช่วยลดความอดอยากของประชาชน แต่เมื่อนานวันเข้าภัยแล้งกลับไม่มีท่าว่าจะดีขึ้นหัวข้อประชุมเช้าอันดุเดือดประจำท้องพระโรงคงจะหนีไม่พ้นเรื่องภัยแล้ง"ทูลฝ่าบาทหากเรายังคงเบิกจ่ายข้าวสารและตำลึงเงินอีกไม่เกินปีนี้ กระหม่อมเกรงว่าท้องพระคลังคงจะหมดในไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ" เจ้ากรมคลังกราบทูลถึงปัญหาที่เกิดขึ้น"ทูลฝ่าบาท จากที่กระหม่อมส่งคนออกสำรวจแหล่งน้ำทั่วแคว้น ปริมาณน้ำลดน้อยลงไปมากพ่ะย่ะค่ะ" เจ้ากรมโยธาก้าวออกมา ชี้แจงปัญหาที่ได้รับมอบหมายให้ออกสำรวจแหล่งน้ำ"มีผู้ใดจะเสนอความคิดในการแก้ปัญหาบ้างหรือไม่" หนานหยางจง เจ้าแห่งแคว้นถามขึ้นพร้อมกับกวาดสายตามองทั่วทั้งท้องพระโรง แต่ก็ไม่มีผู้ใดก้าวออกมาเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาอย่างเช่นเคยเหล่าเสนาอำมาตย์ต่างมองหน้ากันไปมา แต่ละคนต่างก็หาทางออกไม่ได้ เนื่องจากเป็นภัยธรรมชาติ อีกทั้งยังไม่เคยเจอปีไหนเลย ที่ภัยแล้งจะหนั
“ข้อหนึ่งหนูขอไปเกิดแบบโตเป็นผู้ใหญ่ค่ะ คือหนูไม่อยากกลับไปเป็นเด็กอีกแล้วค่ะ”อืม ข้อนี้ไม่ยากถือว่ายังให้ได้อยู่“ข้อสองหนูขอคนรักสักคนที่รักหนูคนเดียวไม่นอกใจค่ะ”ข้อนี้ก็ยังถือว่าง่ายไม่พิเศษอะไรนังหนูนี่ช่างมักน้อยซะจริง“และข้อสุดท้ายหนูขอความทรงจำเดิม และความสามารถทุกสิ่งทุกอย่างของชาติเดิมค่ะ”“ได้ถ้าอย่างนั้นเจ้าตามข้ามา” ยายเมิ่งตอบตกลงทุกเงื่อนไขที่ขอมาอย่างไม่ต้องคิด เพราะคำขอแต่ละข้อไม่ได้ถือว่าผิดต่อศีลธรรมอันใดแต่ก่อนจะให้เด็กสาวผู้นี้ลงไปเกิดนางอยากจะเอ่ยปาก พูดอะไรสักอย่างกับสตรีน้อยผู้นี้สักหน่อย“เดี๋ยวก่อนนังหนูเรื่องคนที่ทำให้เจ้าตาย เจ้าก็ให้อภัยเขาเถอะคนผู้นั้นไม่ได้ตั้งใจ อย่าแช่งกันอีกเลยสำนึกผิดไม่ทัน”สตรีผู้นั้นตอบรับด้วยสีหน้างุนงง แต่ก็ช่างเถอะไม่รู้เรื่องอันใดก็ดีแล้วกรี๊ดดดดดตู้มมมม"อภัยให้ข้าเถอะนังหนูเจ้าลีลาเกินไป หากเจ้าอยู่นานกว่านี้เห็นทีข้าจะโดนจับได้" แล้วยายเมิ่งก็เดินจากไปเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน"อยากเรียกข้าว่าป้าดีนักขอสักทีเถอะ" ว่าจะไม่ทำอันใดแล้ว คำก็ป้าสองคำก็เรียกป้าแค่ถีบตกบ่อยังน้อยไปหลังจากนั้นข้าคิดว่าชีวิตจะสงบสุขส
ข้ามีนามว่าหวังเยี่ยนฟางเป็นบุตรสาวคนเล็กของบ้านตระกูลหวัง ทุกคนในบ้านต่างรักและตามใจข้าเป็นที่สุด ข้าคือสิ่งมหัศจรรย์และน่าเหลือเชื่อเพราะแม้ว่าท่านพ่อดื่มยาห้ามบุตรที่มีฤทธิ์แรงที่สุด แต่ตัวข้าหวังเยี่ยนฟางผู้นี้สามารถฝ่ายาห้ามบุตรมาเกิดได้ฮะฮ่าทุกคนต่างเอ่ยชมความสามารถของท่านพ่อหวังอี้หลินมิได้หยุด เขาคือสุดยอดแห่งบุรุษของแคว้นเป็นลูกรักของเทพพระเจ้า บางคนร่ำรวยอำนาจล้นฟ้าหรือแข็งแกร่งเพียงใด ก็ยังไม่สามารถมีบุตรได้ดั่งใจสั่งเช่นท่านพ่อของข้าได้ แต่ก็นะคนเหล่านั้นพูดเกินจริงไปมากโข เป็นเพราะข้าผู้นี้อยากมาเองต่างหากหากจะถามว่าข้าผู้ที่มีรูปโฉมงดงามราวกับเทพเซียน พูดจาไพเราะราวกับนกน้อยร้องรับอรุณยามเช้า ความสามารถหรือก็มิแพ้ใคร รูปร่างสูงโปร่งอกเป็นอกเอวเป็นเอว ข้าผู้นี้มีนามว่า เมิ่ง เมิ่ง หรือก็คือยายเมิ่งที่เหล่ายมโลกเรียกขานกัน หุ หุอะ แฮ่ม เอาล่ะกล่าวชมตนเองมามากพอแล้ว ข้าจะเล่าให้ฟังก็แล้วกันว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ย้อนไปเมื่อกาลก่อน"เมิ่ง เมิ่ง เจ้าฟังข้าก่อน งานข้ายุ่งมากไปกับเจ้ามิได้จริง ๆ อย่าโกรธข้าเลยนะ" ผู้คุมนรกชั้นอเวจีคอยควบคุมเหล่าวิญญาณชั้นเลว ชดใช้บาปกรรมโ
"อั๊กกก" ไม่ได้การแล้วมันช่างทรมานยิ่งนัก คงต้องหาอะไรที่ทำให้เขาหายจากอาการนี้หยงเจาฝืนทนพยายามลุกขึ้นยืนให้มั่น แต่ด้วยขาที่ไร้เรี่ยวแรงทำให้เซถลาชนเข้ากับโต๊ะกลางห้องจนกวาดเอาถ้วยน้ำชาร่วงลงกับพื้น"ท่านหยงเจาเป็นอะไรหรือเจ้าคะ ท่านรออยู่นี่ก่อนข้าจะไปตามหมอให้" อาลี่ที่บังเอิญเดินผ่านมาได้ยินเสียงดังจากห้องของชายหนุ่ม จึงรีบเดินเข้ามาดู ไม่รู้ว่าภายในห้องเกิดอะไรขึ้น หากเมื่อเดินเข้ามาสิ่งที่เห็นทำให้นางยิ่งตกใจ"ข้าไม่เป็นไร เจ้ารีบออกไปเถิดข้าขอร้อง" ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว หากช้ากว่านี้คงได้หน้ามืดล่วงเกินสตรีที่หลงรักตรงหน้าแน่"ทะ ท่านเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนบอกข้าสิ" เพราะความเป็นห่วงอาลี่จึงไม่ยอมขยับไปไหนยาที่หยงเจาได้รับในปริมาณมาก ทำให้ชายหนุ่มครองสติไม่ได้แล้ว เขาคว้าคอหญิงสาวโน้มลงมาพร้อมกับจุมพิตอันร้อนแรงอาลี่พยายามดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงของชายหนุ่มได้ จากขัดขืนในตอนแรกกลับกลายเป็นคล้อยตาม จนนางได้ตกเป็นของหยงเจาในคืนนั้น"ข้าจะรับผิดชอบเจ้า" หยงเจายังคงยืนยันคำเดิม เพราะตั้งแต่รู้สึกตัวตื่น เขาพยายามจะหว่านล้อมให้ร่างบางตรงหน้ายินยอม แต่นางก็ใจแข็งเหลือเกิน
"หาา! นี่ท่านยังเกี้ยวอาลี่ไม่สำเร็จอีกหรือ จิ๊ก จิ๊ก ช่างไร้ฝีมือ" อาเล่อมองหน้าหยงเจาอย่างดูแคลน ขนาดว่านางเปิดโอกาสให้อยู่กันลำพังบ่อยครั้งก็ยังทำไม่สำเร็จ"แล้วเจ้าเล่าเกี้ยวหานลู่สำเร็จแล้วหรือ ทำมาเป็นเย้ยข้า" ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ"ข้าไม่อยากจะคุย ข้ากับท่านหานลู่ตกลงศึกษาดูใจกันแล้วเจ้าค่ะ ไม่แน่ปลายปีนี้อาจจะมีข่าวดี" อย่างหลังไม่เป็นความจริงสักนิด นางก็แค่ใส่สีตีไข่เข้าไปให้ดูเหนือกว่าเท่านั้นเอง"จริงหรือ ข้าขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ได้หรือไม่" นางช่างเก่งกาจ"เรื่องเช่นนี้ขึ้นอยู่ที่ฝีมือของแต่ละคนเจ้าค่ะ มิใช่เรื่องที่จะสอนได้โดยง่าย" นางลงทุนไปตั้งเยอะยังได้เพียงแค่ศึกษาดูใจเลย"ถ้าเจ้ามีแผนอะไรดี ๆ แนะนำข้าทีเถิด" ตนได้ลองมาหลายวิธีแล้ว สาวเจ้ายังไม่แม้แต่จะใจอ่อนเลย จะล้มเลิกไม่ตามเกี้ยวต่อก็ไม่ได้ ก็คนมันรักไปหมดใจแล้วจะให้ทำเช่นไร โอ๊ย ข้ากลุ้ม"อย่างนี้ดีหรือไม่ คืนนี้พวกท่านเปิดใจคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่ต้องห่วงเรื่องอาลี่ข้าจะเป็นธุระให้เอง" อาเล่อพอจะรู้ว่าสหายผู้นี้มีใจให้กับท่านหยงเจาไม่มากก็น้อย และท่านหยงเจาก็ใจตรงกันอีกด้วย แล้วเพราะอะไรสหายรักถึงได้ไม่ใจอ