“พวกท่านตามข้ามาเจ้าค่ะ”
หยุนชิงเดินนำทั้งสองออกไปข้างนอก หญิงสาวเดินตรงไปยังพื้นที่ตรงตีนเขา นางให้คนมาสร้างโรงเก็บใหม่ที่ตรงนี้เพราะเป็นที่ลับตาคน และสงบไม่มีสิ่งรบกวน เมื่อพาหวังอี้หลินและหานลู่มาถึงยังโรงเก็บ ผู้ดูแลเห็นผู้เป็นนายเดินเข้ามาจึงได้ออกมาต้อนรับ
“คารวะนายหญิงนายท่านขอรับ” ผู้ดูแลกล่าวและทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“ท่านลุงเปิดประตูให้ข้าที” หยุนชิงบอกแก่ผู้ดูแลให้เปิดประตูให้ เพื่อจะได้พาหวังอี้หลินและหานลู่เข้าไปชมอาวุธที่นางได้สรรค์สร้างไว้
“ขอรับนายหญิง” หลังจากที่ผู้ดูแลเปิดประตูโรงเก็บให้กับเจ้านายแล้ว เขาจึงได้ถอยออกไปรอด้านนอก ปล่อยให้ผู้เป็นนายเข้าไปด้านในกันเอง
ชายหนุ่มทั้งสองตะลึงกับสิ่งที่เห็น เขาไม่เคยรู้เลยว่าพื้นที่ท้ายสวนที่ไม่ได้ทำอะไร กลับมีที่แห่งนี้ซ่อนอยู่ อาวุธแปลก ๆ มากมายหลากหลายชนิดถูกวางและเก็บบนชั้นอย่างดี และดูเป็นระเบียบมีทั้งสิ่งที่เขารู้จักและไม่รู้จักภรรยาเขาทำได้เช่นไร
ส่วนหานลู่นั้นได้แต่ยืนตาค้างพูดสิ่งใดไม่ออก ตรงหน้าเขานี่มันอะไรกันนี่ มันโรงผลิตอาวุธขนาดย่อมได้เลย แล้วของพวกนี้นางได้มาจากที่ใดเหตุได้ถึงได้มากมายถึงเพียงนี้
จากนั้นเขาได้เดินดูของแต่ละชิ้นอย่างสนใจ จับชิ้นนั้นดูหยิบชิ้นนี้แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาสนใจมากที่สุดนั้นคือ ธนูที่ไม่ได้ทำจากไม้เนื้อดีดั่งเช่นที่เขาเคยเห็น เขาลองจัดดูมันมีน้ำหนักเบาและดูเหมือนไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าใดนัก หากแต่วัสดุการทำเขายังไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน
“อาชิงธนูพวกนี้ทำมาจากสิ่งใดหรือ ช่างดูแปลกนักข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” หานลู่ถามขึ้นอย่างสนใจ
“สิ่งนี้เรียกว่าอะลูมิเนียมเจ้าค่ะ”
“แล้วมันจะใช้ได้จริงหรือมันดูน้ำหนักเบาและดูบางเช่นนี้”
“พี่ลู่ลองเอาดาบฟันดูสิเจ้าคะ ถึงแม้จะดูบางกว่าธนูที่ทำจากไม้ และน้ำหนักเบาแต่อย่าได้ดูถูกความแข็งแรงของมันเชียวเจ้าค่ะ” หยุนชิงเดินไปหยิบดาบเล่มหนึ่ง ยื่นให้หานลู่ทดลองฟันธนูคันนั้นดู
เพื่อพิสูจน์ความแข็งแรงให้เขามั่นใจ
หานลู่เมื่อได้รับดาบเขาได้ฟันลงไปที่ธนูคันนั้นเต็มแรง หากแต่เมื่อฟันลงไปกลับมีแค่เสียงที่กระทบกันดังออกมาเท่านั้น ธนูยังมีสภาพเหมือนเดิมไม่มีรอยหักหรือขาดจากการฟันแม้แต่น้อย มันทำให้เขาตื่นตาตื่นใจยิ่ง
เขามองธนูนั้นดวงตาเป็นประกายอยากจะลองใช้ดูโดยเร็ว ในระหว่างที่เขาชื่นชมธนูอยู่นั้นสายตากลับเหลือบไปเห็นหีบไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่สามหีบ เขาเดินไปเปิดมันออกดูในนั้นมีแท่งยาวประมาณเท่าฝ่ามือเขา ขนาดเหมาะมือวางเรียงรายอยู่เต็มหีบไม้นั้น
“อาชิงเจ้าแท่งนี่คืออะไรหรือ” หานลู่หันกลับไปถามหยุนชิงพร้อมกับชูเจ้าสิ่งนั้นให้หญิงสาวดู
“เรียกว่าระเบิดเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งทดลองทำแต่ยังไม่ได้ลองทดสอบการใช้งาน ว่าประสิทธิภาพจะสามารถใช้ได้จริงหรือไม่”
“หากทำสำเร็จจะเป็นเช่นไร” หวังอี้หลินจากที่เงียบเอ่ยถามอย่างอยากรู้
“ขนาดที่ข้าทำสามารถระเบิดหินลูกใหญ่ได้เจ้าค่ะ หากจะให้แรงระเบิดใหญ่และเป็นวงกว้างต้องมีขนาดใหญ่กว่านี้”
“เช่นนั้นเราลองไปทดลองใช้กันเลยดีหรือไม่ข้าทนรอไม่ไหวแล้ว” หานลู่เมื่อได้ยินถึงแรงของระเบิดที่หยุนชิงบอก เขาอยากจะลองใช้เต็มทีแล้ว หากเป็นอย่างที่นางพูด ไม่แน่ศึกครั้งนี้พวกเขาอาจจะไม่เสียแรงเลยแม้แต่น้อย
“เอาไว้พรุ่งนี้เถอะเจ้าค่ะ ตอนนี้เย็นมากแล้วไม่เหมาะที่จะลองใช้ เพราะเสียงมันจะดังมากเจ้าค่ะ” เนื่องจากแรงระเบิดจะดังมากหากทดลองใช้ในตอนนี้ เกรงว่าจะทำให้ชาวบ้านแตกตื่นและหวาดกลัวได้
“เช่นนั้นไว้พรุ่งนี้ก็ได้ ว่าแต่ชิงเอ๋อร์เจ้าสร้างที่นี่ไว้ทำอะไรหรือ” หวังอี้หลินอดที่จะถามภรรยาไม่ได้
“ข้าแค่นึกสนุกอยากจะทำขึ้นมาเท่านั้นเองเจ้าค่ะ แต่พอรู้ตัวมันก็มากมายเช่นที่เห็นน่ะเจ้าค่ะ แหะ ๆ” ร่างบางหัวเราะออกมาอย่างเขินอาย ในตอนแรกนางแค่นึกสนุกอยากจะทำอะไรแก้เหงา พอรู้ตัวอีกทีของที่นางทำกลับมากมายจนจะล้นไม่มีที่เก็บอยู่แล้ว
“เรียบร้อยหมดแล้วขอรับ พวกเราปลอมเป็นชาวบ้านพ่อค้าและคนเร่ร่อนในแถบชายแดน กระจายกันไปทุกหัวเมืองเตรียมรับมือแล้วขอรับ” หานลู่“ดี อย่างน้อยหากเกิดอะไรขึ้นเราก็จะได้รับมือทัน ท่านอ๋องมีความคิดเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” หวังอี้หลินหันไปขอความคิดเห็นจากหนานฟาหยาง และเขาก็แน่ใจว่าอ๋องหนุ่มผู้นี้จะยอมร่วมมือกัน“ในเมื่อเสด็จลุงอยากจะให้พวกเราผิดใจกันเราก็เล่นด้วยสักหน่อยจะเป็นไรไป” ในเมื่ออยากให้ผิดใจกันนักเขาก็จะจัดให้ ให้สาสมกับสิ่งที่เขาต้องทนทุกข์มานานนับปี“แล้วชายที่ถูกมัดอยู่ข้างนอกคือใคร” หนานฟาหยางถามขึ้นเพราะถ้าให้เดาก็คงจะมีส่วนกับกบฏครั้งนี้“เรียนท่านอ๋องเป็นคนของอ๋องห้าพ่ะย่ะค่ะ และเป็นผู้ที่ลงมือลอบสังหารพระชายาของท่านเมื่อหลายปีก่อน”“เจ้าว่าอย่างไรนะมันผู้นั้นหรือ เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าไปพบบุตรสาวข้าได้อย่างไร แล้วองครักษ์จางหายไปไหน” ทันทีที่ได้รู้หนานฟาหยางถึงกับระงับอารมณ์ไม่อยู่ ลูกเขาภรรยาเขาเกือบต้องตายก็เพราะพวกมัน“จางจิ้นเป็นสหายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ในตอนที่ได้เจอเขาก็เกือบจะสิ้นลมแล้ว เพียงแค่ฝากอาจูให้กระหม่อมดูแลต่อเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” หวังอี้หลินบอกเล่าเรื่องร
อาหารค่ำมื้อนี้ถือว่าเป็นมื้อที่มีความสุขที่สุดสำหรับพวกเขา ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพูดคุยกันอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน บรรยากาศผ่อนคลายไม่ต้องกังวลหรือมีเรื่องให้ต้องคิด พวกเขาต่างอยากให้หยุดช่วงเวลานี้ไว้ให้นานกว่านี้อีกเหลือเกิน แต่งานเลี้ยงสักวันต้องมีการเลิกรา“ท่านอ๋องข้าขอรบกวนเวลาท่านสักครู่ได้หรือไม่” หวังอี้หลินเอ่ยบอกกับอ๋องหนุ่มหลังจากที่ทุกคนอิ่มแล้ว“มีสิ่งใดหรือ”“ข้ามีเรื่องสำคัญจะขอพูดคุยกับท่านสักหน่อย เชิญท่านตามข้ามาทางนี้ขอรับ”อ๋องหนานฟาหยางหันไปมองภรรยา หนานเจียอีพยักหน้าให้กับสวามีเพื่อเป็นการบอกแก่เขาว่า ให้เขาไปทำธุระไม่ต้องห่วงตนหวังอี้หลินเดินพาอ๋องหนานฟาหยางไปยังโรงเก็บอาวุธ เมื่อมาถึงหยงเจาและหานลู่ได้รออยู่แล้ว ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปยังบุคคลจับมาได้ก่อนหน้านั้นด้านอ๋องหนานฟาหยางเมื่อก้าวเท้าเข้ามายังโรงเรือน เขาอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดบ้านคนธรรมดาถึงได้มีอาวุธมากมายเพียงนี้ และยังมีอุปกรณ์สำหรับการใช้ทรมานคงจะไม่ธรรมดา ไหนจะบุรุษสองคนเดินตามหลังดูอย่างไรก็เป็นผู้ที่มีฝีมือ ชายหนุ่มตรงหน้าเขาเป็นใครกันแน่“เชิญท่านด้านในเถิดขอ
“ข้าอิจฉาเจ้านักอาชิงที่จะได้ดูแลลูกด้วยตัวเอง ตอนอาจูเกิดมาได้ไม่กี่เดือนนางก็มาหายไปแล้ว ข้าก็เลยไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่แม่เลย” ถ้าหากนางไม่ไร้ความสามารถก็คงจะมีเจ้าตัวน้อยเพิ่มได้ เป็นที่ตนไม่ดีเองที่ไม่สามารถมีอ๋องน้อยให้กับสามีได้“พี่สาวเหตุใดท่านไม่มีเพิ่มอีกสักคนล่ะเจ้าคะ” หยุนชิงถามด้วยความสงสัยเพราะตัวพระชายากับท่านอ๋องก็ไม่ได้เป็นหมันสักหน่อย อย่างไรก็อาจจะมีอีกคนได้ไม่ใช่หรือ“เป็นที่ข้าไร้ความสามารถเอง ร่างกายก็อ่อนแอเพียงนี้ ตอนนี้มีอาจูก็เพียงพอแล้วล่ะ”“พี่สาวจะว่าอะไรหรือไม่หากข้าจะถามท่านสักเรื่อง” หยุนชิงที่หั่นฟักทองเรียบร้อยแล้ว หันกลับมานั่งคุยกับหนานเจียอีระหว่างรอน้ำกะทิเดือด“ได้สิเจ้าจะถามเรื่องอะไรหรือ”“ท่านกับท่านอ๋องแบบว่าบ่อยหรือไม่เจ้าคะ” หยุนชิงใช้นิ้วชี้ทั้งสองนิ้วประกบกัน จะให้นางพูดออกมาตรง ๆ เลยก็เกรงใจเพราะมีเด็กอ้วนนั่งกินขนมอยู่บนตักของหนานเจียอีด้านหนานเจียอีเมื่อเห็นน้องสาวทำท่าทางให้ดูตนเข้าใจได้ทันที ใบหน้าขาวเนียนก้มลงเล็กน้อยเพื่อหลบสายตามุมปากอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยกนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นสองนิ้ว“หา! วันละสองครั้งหรือเจ้าคะ” หยุนชิงอุทานขึ
เมื่อความทุกข์ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาของจวนอ๋องได้ถูกปลดปล่อย บัดนี้มีเพียงความสุขที่ได้อยู่ร่วมกันพวกเขาต่างสาบานว่า ต่อจากนี้จะไม่มีใครมาพรากบุคคลที่เป็นดั่งดวงใจไปได้อีกใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้าเสียงร้องไห้ปนหัวเราะอย่างมีความสุข พ่อแม่ลูกอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า ช่างเป็นภาพที่หยุนชิงประทับใจที่สุด"ท่านอ๋องพระชายาเพคะ วันนี้อยู่เสวยที่เรือนหม่อมฉันดีหรือไม่ หม่อมฉันอยากจะเลี้ยงฉลองที่มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้เพคะ" หยุนชิงเอ่ยชวนผู้สูงศักดิ์ทั้งสองอยู่ร่วมทานมื้อเย็นด้วยกันก่อน เพราะนางอยากจะจัดเลี้ยงฉลองให้กับครอบครัวของท่านอ๋องที่ได้เจอบุตรสาวของตนสักที"เช่นนั้นข้ารบกวนพวกเจ้าแล้ว" อ๋องหนานฟางหยางตอบรับไมตรีด้วยความยินดี"อาชิงเจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวเช่นเดิมเถอะ พวกเราก็มิใช่คนอื่นคนไกลเจ้าก็เหมือนกับน้องสาวข้า" หนานเจียอีเดินเข้ามาจับมือของหยุนชิง ใจจริงนางอยากจะให้หญิงสาวตรงหน้ามาเป็นน้องสาวบุญธรรมซะด้วยซ้ำไป แต่เรื่องนี้คงจะต้องพูดคุยกับท่านอ๋องเสียก่อน"จะดีหรือเจ้าคะ จะไม่ดูเป็นการทำตัวเสมอพระองค์หรือเพคะ""ไม่หรอกเอาตามที่น้องหญิงบอกเถอะ เจ้ากับสามีก็เรียกข้าว่าพี่
“หยกนี้อีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่บุตรสาวของข้า และยังเป็นของที่หายากทั่วทั้งใต้หล้านี้มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น”“ท่านทั้งสองรอสักครู่” หยุนชิงมองหยกเพียงแค่นิดเดียวนางก็รู้แล้วว่าอาจูน้อยคือบุตรสาวที่หายไปของผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า แต่ก่อนที่นางจะบอกความจริงขอนางได้พูดคุยกับอาจูน้อยก่อนผู้สูงศักดิ์ทั้งสองพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เฝ้ารอหยุนชิงอย่างใจจดจ่อเพียงแค่ได้ข่าวสักนิด หรือมีเบาะแสเพื่อตามหาบุตรสาวก็ยังดี การตามหาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ต้องมีสักวันต้องได้เจอกันอย่างแน่นอนไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอยู่ก็ยินดีหยุนชิงหลังจากขอตัวออกมานางเดินตรงไปยังห้องอาจูกำลังเรียนคัดอักษร ก่อนจะพาอาจูไปรู้จักพ่อแม่คงต้องถามความสมัครใจของลูกก่อน ไม่ว่าเด็กน้อยจะตัดสินใจอย่างไรตัวนางกับสามี ก็พร้อมจะเคารพการตัดสินใจอยู่แล้ว“ท่านอาจารย์ข้าจะขอตัวอาจูสักครู่จะเป็นการรบกวนหรือไม่เจ้าคะ”“โอ้ ไม่เลยข้าสอนนางเสร็จพอดีตามสบายเถอะ ยังไงข้าขอตัวกลับเลยแล้วกัน”“ขอบคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าให้คนไปส่ง” หยุนชิงหันไปบอกให้อาลี่ผู้คอยดูแลอาจู ออกไปจัดหารถม้าเพื่อไปส่งท่านอาจารย์“ท่านแม่วันนี้ท่านอาจารย์สอนให้จูเ
หยุนชิงกับหวังอี้หลินตัดสินใจแล้วว่าวันนี้ จะต้องสอบถามเรื่องอาจูน้อยให้แน่ชัด อาจูน้อยของนางจะได้กลับสู่ครอบครัวที่แท้จริงสักทีถึงแม้อีกใจหนึ่งจะรู้สึกไม่ยินยอมเพราะความรักและผูกพันที่มีให้กัน แต่หากนางเป็นฝ่ายนั้นก็คงจะเจ็บปวดไม่แพ้กันดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดก็คือการให้อาจูน้อยกลับสู้อ้อมกอดของพ่อแม่ที่แท้จริงอย่างน้อยอ๋องหนานฟาหยางก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการกบฏในครั้งนี้ และอีกเรื่องที่สำคัญเขามีภรรยาเพียงผู้เดียวไม่มัวเมาในสตรี ดังนั้นปัญหาเรื่องหลังบ้านก็จะไม่มีให้เรื่องวุ่นวาย หรือชิงดีชิงเด่นกันดั่งเช่นจวนอื่นส่วนหวางเฟยก็เป็นสตรีที่ดีงามใจดีและอ่อนโยนเพียงเท่านี้ก็ทำให้พวกตนมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าอาจูของพวกเขาจะอยู่ได้อย่างมีความสุขแน่นอน“คารวะท่านอ๋อง กับหวางเฟย เพคะ /พ่ะย่ะค่ะ” สองสามีภรรยารีบออกมาต้อนรับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทมากกว่านี้เนื่องจาก กว่าจะตกลงพูดคุยกันได้ก็ทำให้แขกต้องรอนานทีเดียว“ไม่ต้องมากพิธีหรอกทำตัวตามสบายเถอะ” อ๋องหนุ่มเอ่ยบอกด้วยท่าทางสบายไม่ได้ถือสาสิ่งใด“ขอบพระทัยเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”“อาจูล่ะไม่อยู่หรือข้าคิดถึงนางนัก ข้าทนไม่ไหวเลยมาแบบมิได้บอกพวกเ
สองสามีภรรยานั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลหวัง ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลเท่าไรนัก บรรยากาศในรถม้ามีเพียงแต่ความเงียบ จนทำให้หนานเจียอีเริ่มจะทนไม่ไหว กับแรงกดดันที่ถูกแผ่ออกมาจากคนด้านข้าง หากแต่ยังไม่ทันที่นางจะเริ่มพูดสิ่งใดรถม้าได้หยุดลงพอดี เนื่องจากถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"ทูลท่านอ๋อง กับพระชายาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ถึงแม้จะมีเพียงความเงียบให้กันแต่อ๋องหนุ่มก็ยังคงปฏิบัติต่อพระชายาตนด้วยความอ่อนโยนเช่นเดิม มือหนายื่นออกไปรอรับร่างบางลงจากรถม้า เพื่อช่วยประคองไม่ให้สะดุดล้มระหว่างก้าวลงเมื่อทั้งสองได้เห็นบรรยากาศโดยรอบมันทำให้รู้สึกสบายใจและผ่อนคลายนัก ช่างดูเป็นบ้านที่อบอุ่นเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ร่มรื่นยิ่งนัก"ท่านพี่ทำอะไรอยู่เจ้าคะ" หยุนชิงที่เดินเอามะม่วงเข้ามาในห้องเห็นสามีนางกำลังนั่งทำอะไรบางอย่าง ราวกับคนแอบทำอะไรลับหลังมิให้ผู้อื่นรู้เช่นนั้นแหละหวังอี้หลินกำลังกัดดอกไม้กินจนเต็มปากต้องสะดุ้ง ก่อนจะหันไปมองภรรยารักแต่ก็ไม่วายจะกัดดอกไม้อีกดอกเข้าเต็มปากเคี้ยวกลืนอย่างอร่อย เขากลัวว่าผู้อื่นจะมาเห็นตอนที่ตนกินดอกไม้ แล้วมองว่าประหลาดแต่ทำอย่างไรได้ก็กลิ่นดอกไ
"ทูลท่านอ๋องหวางเฟยขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ" กงกงคนสนิทเดินเข้ามารายงานภายในห้องทรงอักษรด้วยฝีเท้าที่บางเบา เนื่องด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเจ้านาย"ให้นางเข้ามา" เมื่อเห็นว่าทำงานทั้งหมดเสร็จแล้ว เขาจึงวางพู่กันและพับเก็บงานต่าง ๆ ไว้ข้างโต๊ะ พร้อมกับเอ่ยอนุญาตหลังจากได้รับคำอนุญาตจากผู้เป็นนาย กงกงจึงได้เดินตรงไปเปิดประตูให้กับหวางเฟยที่ยืนรออยู่หน้าประตู"เชิญหวางเฟยพ่ะย่ะค่ะ" หลังจากที่หวางเฟยเดินเข้าไปในห้อง เขาจึงปิดประตูให้เรียบร้อยก่อนจะก้าวถอยออกไปสองก้าวยืนคอยรับใช้ผู้เป็นนาย"น้องหญิงเหตุใดวันนี้ถึงได้มาหาพี่ถึงที่นี่" อ๋องหนุ่มรีบก้าวออกไปประคองภรรยาผู้เป็นที่รักอย่างทะนุถนอมทันทีที่เห็นนางเดินเข้ามา"หม่อมฉันจะมาขออนุญาตออกจากวังไปเยี่ยมบ้านตระกูลหวังเพคะ" หนานเจียอียิ้มให้พระสวามีอย่างอ่อนหวาน แม้จะนานเพียงใดสวามีนางก็ยังอ่อนโยนกับนางเสมอ ถึงแม้ตอนที่แต่งเข้าจวนอ๋องจะไม่มีใจรักต่อกัน หากแต่พออยู่ด้วยกันนานเข้าเป็นนางเองรักไปตอนไหนก็ไม่รู้"เจ้ามีสิ่งใดหรือถึงไปที่นั่นให้คนไปทำแทนก็ได้ ร่างกายเจ้ายิ่งร่างกายอ่อนแอ พี่เกรงว่าหากต้องลมมากไปจะไม่สบาย""ทูลตามตรง หม่อมฉันคิดถึงอาจูน
"กินสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ กินเสร็จจะได้ทานยา" ร่างบางหยิบถ้วยข้าวขึ้นมาก่อนจะตักและเป่าเพื่อคลายความร้อน เมื่อแน่ใจว่าสามารถกินได้จึงได้ยื่นไปให้ชายหนุ่มหวังอี้หลินเพียงได้กลิ่นเขาก็เบ้หน้าแล้ว ถึงจะกลิ่นไม่แรงแต่ก็ยังรู้สึกเหม็นอยู่ดี เพื่อไม่ให้ภรรยาตัวน้อยเสียใจ เขาจึงทนกลืนโจ๊กในถ้วยไปได้ไม่กี่คำก่อนที่จะทนกินต่อไม่ไหวเมื่อเห็นว่าสามีฝืนกินไม่ได้แล้วหยุนชิงจึงไม่เซ้าซี้ให้ทานต่อ ก่อนจะให้เขาทานยาและนอนพักผ่อน หากแต่ยังไม่ทันจะเก็บถาดไปวางไว้ที่โต๊ะ ร่างหนาที่นอนไร้เรี่ยวแรงถามขึ้นก่อน"ชิงเอ๋อร์ในจานนั้นอะไรรึ" ชายหนุ่มชี้ไปที่มะม่วงน้ำปลาหวานอย่างสงสัย ปกติคนทั่วไปเขาไม่กินมะม่วงดิบกันนางจะเอามาทำอะไร"มะม่วง ส่วนนี่คือน้ำจิ้มเรียกว่าน้ำปลาหวานเจ้าค่ะ ท่านพี่ลองชิมดูสิอร่อยนะ" หยุนชิงหยิบมะม่วงมาหนึ่งชิ้นก่อนจะจิ้มน้ำปลาหวานแล้วมาจ่อที่ปากชายหนุ่ม"มันกินได้แน่รึ" หวังอี้หลินยังคงมองมะม่วงชิ้นนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ"กินได้สิเจ้าคะลองดู" มีใครกินมะม่วงดิบแล้วตายบ้างนางยังไม่เคยเห็นนะ คนโบราณนี่ก็อะไร ไม่รู้จักของแซ่บของอร่อย ถ้ามีปลาร้านะนางจะตำมะม่วงเผ็ด ๆ แซ่บ ๆ พูดแล้วก็น้ำลาย