จวนแม่ทัพสวีกงจื่อ
หญิงสาวผู้ใดชื่อ ว่าเป็นฮูหยินใหญ่ ทำเพียงทอดสายตามองไปยังถ้วยน้ำชา ที่อนุคนใหม่ของสามียกให้เมื่อครู่ นางมีค่าแค่เป็นสิ่งประดับ แต่ไม่เคยมีสักครั้ง ที่นางได้เป็นคนเคียงข้างสามีอย่างแท้จริง
“คุณหนู...”
“คงถึงเวลาแล้วสินะ...ข้ามิควรรอในสิ่งที่ ไม่มีวันเป็นไปได้”
ร่างระหงลุกขึ้น ก่อนจะก้าวเดินไปเพียงน้อย ขาที่เคยมั่นคง พลันอ่อนแรงไปเสียอย่างนั้น
“คุณหนู!”
เสี่ยวเยี่ยน รีบถลาเข้าประคองร่าง ของผู้เป็นนายเอาไว้ รอยยิ้มอ่อนล้าของคุณหนู เสมือนมีคมดาบนับหมื่นเล่ม ทิ่มแทงเข้าสู่กาย
“อย่าห่วงเลย ข้าแค่พักผ่อนน้อยไปเท่านั้น มิช้าก็ดีขึ้น”
ชูเหมยฮวาเอ่ยปลอบสาวใช้ ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เรื่องราวเดิมๆ หมุนวนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าครานี้มันแตกต่างออกไป เพราะคนสามีเลือกมาเคียงกาย คือรักที่เขายืนยันหนักแน่น ว่าไม่ยินดีรับคำปฏิเสธจากนาง
เสี่ยวเยี่ยน ประคองผู้เป็นนาย กลับไปยังห้องนอน ลมหายใจที่ดูเหนื่อยอ่อนของคุณหนู ทำให้ใจของหญิงสาว ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก สกุลสวีช่างใจดำนัก
“ข้าอยากดื่มน้ำอุ่นๆ สักถ้วย”
ชูเหมยฮวา เอ่ยกับสาวใช้ด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า โรคประจำตัวของนาง กำลังทำให้นางสิ้นไร้เรี่ยวแรง หัวใจเจ้ากรรม ช่างไม่อดทนเอาเสียเลย
“คุณหนู รอบ่าวสักครู่นะเจ้าคะ”
ชูเหมยฮวาพยักหน้ารับ ก่อนจะพิงกายกับหัวเตียง ดวงตาอันอ่อนล้าหลับลง และอาการหมุนวนในหัว ได้เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน
มือบางเลื่อนมากุมยังอกข้างซ้าย อาการเจ็บร้าวและหัวใจที่เต้นถี่รัว ทำให้หญิงสาวนิ่วหน้า จนเหงื่อเม็ดใหญ่ ผุดขึ้นราวดอกเห็ด ชูเหมยฮวาพยายามอย่างยิ่ง ที่จะสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด ทว่าความเจ็บร้าวที่ทรวงอก ทำให้ความพยายามนั้นสูญเปล่า
เปลือกตาหนักอึ้ง ราวถูกรั้งเอาไว้จากกาวชั้นดี เรียวปากสั่นระริก เหยียดออกเล็กน้อย นางต่อสู้กับหลายสิ่งอย่าง มาไม่น้อยเลย ทว่าลมหายใจที่กำลังขาดห้วง กลับไร้ผู้ใดเหลียวแล
‘พี่ใหญ่ ข้าขอโทษ ที่มิอาจรอท่านกลับมาได้’
น้ำตาไหลออกมาอาบสองแก้ม ก่อนที่ทุกอย่างจะสิ้นลง โดยที่หญิงสาวไม่รู้เลยว่านับจากนี้ คนที่ยังอยู่ จะพบเจอจุดจบเช่นไร ความรักที่เฝ้ารอมานับสิบปี นอกจากไม่เคยได้แล้ว นางยังต้องทนเห็นคนที่ตัวเองรัก คลอเคลียหญิงอื่นต่อหน้ามิเว้นวัน
“คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ”
เสี่ยวเยี่ยนรีบวางถ้วยน้ำอุ่นไว้ ก่อนจะค่อยๆ เขย่าเรียกผู้เป็นนาย ทว่าไม่มีสัญญาณใดตอบกลับมา เสี่ยวเยี่ยนค่อยๆ ยื่นมือสั่นระริก ขยับเข้าใกล้จมูกของผู้เป็นนาย
“คุณหนู! ฮึกๆ ไม่นะเจ้าคะ คุณหนู...อย่าล้อบ่าวเล่นเยี่ยงนี้ คุณหนู...ได้โปรดตอบบ่าวสักคำเถิดเจ้าค่ะ”
“เจ้าเขย่าข้าเสียขนาดนี้ ข้าคงมิกล้าตายหรอกนะ”
แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกมา จะยังอ่อนล้า ทว่ามันกลับเรียกทั้งเสียงสะอื้นปนหัวเราะ เสี่ยวเยี่ยนไม่รู้ว่านาง ควรต้องรู้สึกใดกันแน่ แต่ทุกอย่างที่นางระบายออกมา ผ่านการกระทำ มันคือความโล่งใจ
“คุณหนู น้ำอุ่นๆ ที่คุณหนูต้องการเจ้าค่ะ”
“...”
หญิงสาวทำเพียงมองหน้าสาวใช้ ก่อนจะลดสายตาไปยังถ้วยน้ำในมือ ทุกอย่างในสายตา และห้วงความทรงจำ มันล้วนมีของผู้อื่นไหลวน
“นะ...น้ำเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นสายตา คล้ายสงสัยของผู้เป็นนาย เสี่ยวเยี่ยนจึงพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ช่วยข้าหน่อย”
หญิงสาวเอ่ยเบาๆ มือที่ไม่ใช่ของนาง มันยังคงสั่นระริก จนไม่กล้าที่จะถือถ้วยน้ำนั้นด้วยตนเอง
“ค่อยๆ นะเจ้าคะ” เสี่ยวเยี่ยนค่อยๆ ยกถ้วยน้ำให้ผู้เป็นนายดื่ม
มือบางแตะเบาๆ ที่ข้อมือเสี่ยวเยี่ยน เพื่อเป็นการบอกว่านางดื่มน้ำเพียงพอแล้ว แม้ว่าคอของนางจะดูไม่ชุ่มชื่นเท่าใดนัก แต่นี่คือคำสั่งจากเจ้าของร่าง ที่มีต่อสาวใช้ นางหรือจะกล้าอาจหาญ เป็นคนเรื่องมาก ทั้งที่ตอนนี้ยังมึนงง กับการตื่นมาในร่างกายของผู้อื่นเยี่ยงนี้
“คุณหนู ต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะรีบไปจัดหามาให้”
“ข้าขอพักต่ออีกสักหน่อย เจ้าเองก็ไปพักเถอะ”
“บ่าวช่วยเจ้าค่ะ”
เสี่ยงเยี่ยน ประคองผู้เป็นนายให้เอนกายลงนอน ก่อนจะช่วยดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกาย แม้ว่าเวลานี้ยังไม่มืดค่ำ ทว่าคุณหนูของนางติดผ้าห่มยิ่งนัก
ดวงตาคู่งามปิดลงอย่างอ่อนล้า ก่อนที่ภาพหมุนวนนั้น จะหลั่งไหลเข้ามาในหัวอีกครั้ง มือรวบกำผ้าห่มเอาไว้แน่น โดยไม่รู้เลยว่าภาพที่ตนเองนอน ทั้งที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทางใจ จะทำให้สาวใช้ผู้ภักดี น้ำตาอาบแก้มด้วยความห่วงใย
“องค์หญิงเยี่ยเจา บัดนี้กองทัพของท่าน ไม่อาจปกป้องราชบัลลังก์ได้อีกแล้ว มอบลมหายใจของฮ่องเต้มาเสียจะดีกว่า”
ขุนนางกบฏ ชี้ปลายกระบี่ มาที่ใบหน้าดุดันขององค์หญิง ผู้เป็นดั่งเกราะคุ้มบัลลังก์ ทว่ามันกลับไม่ได้ทำ ให้หญิงสาวสะท้านไหวแม้แต่น้อย
มืออันหยาบกร้าน กระชับมือน้อยของฮ่องเต้เอาไว้แน่น นางคือพี่สาวร่วมพระมารดากับฮ่องเต้น้อย ในวันที่พระบิดายื่นตราแผ่นดินให้นาง เพื่อรอมอบให้แก่น้องชาย ในวันที่เขาแข็งแกร่ง
นับแต่นั้นมา นางไม่เคยสักครั้ง ที่จะมีชีวิตอันเรียบง่าย เยี่ยงสตรีอื่น แต่ทุกลมหายใจ ล้วนเพื่อบ้านเมือง และราชบัลลังก์ กรามเล็กถูกขบแน่น เพื่อข่มกลั้นความรู้สึกมากมายเอาไว้
“ย่อมได้...”
“พี่หญิง!”
ฮ่องเต้ เรียกพี่สาวเสียงหลง ด้วยไม่อยากจะเชื่อ ว่านางจะพูดเช่นนี้ ทั้งที่ผ่านมา นางปกป้องเขามาโดยตลอด
“แต่ต้องไม่มีข้า ยืนอยู่ตรงนี้เท่านั้น”
เยี่ยจงบีบมือพี่สาวเอาไว้แน่น หากเขารอดจนเติบใหญ่ เขาจะไม่ทำให้พี่สาว ต้องแบกภาระไว้บนบ่ามากเยี่ยงนี้อีก
เรือนหลัง ณ ร้านขนมโหรวอิง เผยอิงเถา ยืนมองเรือนหลังใหญ่อันโอ่อ่า ที่มารดาสร้างเอาไว้ให้แก่นาง มันจะไม่ว่างเปล่าและเงียบเหงาอีกต่อไป เพราะนางกับหลานแฝดของท่านแม่ จะดูแลที่นี่ให้ดี “นายหญิง ดูเหมือนว่าสกุลเผย กำลังคิดสร้างคลื่นใต้น้ำขอรับ” ไป๋อวิ๋น รายงานให้แก่ผู้เป็นนายได้รู้ “เปลี่ยนทิศทางคลื่นนั้นเสีย” “ขอรับ” ไป๋อวิ๋น หันไปกระซิบสั่งการ ตามที่ผู้เป็นนายบอก ซึ่งมันเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน ที่พวกเขาจะทำให้ข่าวเสียหาย ที่กำลังแผ่กระจายตามปากผู้คน ให้มันเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม “เรื่องที่พูดไป ต้องให้เป็นความจริง ที่ยากจะดิ้นหลุด ข้าในเมื่อก่อนเป็นเพียงสตรีร้ายกาจ โง่เง้าไร้สมองคิดสิ่งใด หากจะกล่าวให้เสียหาย ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด ผิดกับน้องสาวคนดีของข้า ที่เรื่องโสมมของนาง ไม่เคยเผยให้ผู้ใดได้รู้ เมื่อมันแผ่ออกไป ย่อมทำให้ผู้คนขุดคุ้ย ยิ่งกว่าแม่ไก่เขี่ยหาหนอนในดิน” “นายหญิงใหญ่ ต้องดีใจยิ่งนัก ที่นายหญิงน้อยสยายปีกได้อย่างเต็มภาคภูมิแล้ว” “ข้าต้องขอบคุณท่านลุงยิ่งนัก ที่มิได้ละทิ้งข้าไป นับแต่นี้ข้าจะตั้งใจเรีย
จวนสกุลเผย หลังกลับจากวังหลวง ท่านราชครูเผย รีบเร่งกลับเข้าห้องหนังสือ เพื่อสงบใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาไม่เคยจนตรอกเท่าครั้งนี้มาก่อน ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคนสกุลเหวิน หาไม่แล้วบุตรสาวโง่เง้าของเขา จะเอาความคิดใด มาสร้างเรื่องราวเสียใหญ่โต “เจ้าคิดว่าเหนือข้าได้หรือเหวินโหรว ข้าเคยทำให้เจ้าพบจุดจบเช่นไร ลูกของเจ้าก็เช่นกัน” ราชครูเผย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน เขาไม่สนใจว่าวิญญาณของอดีตภรรยา จะได้ยินมันหรือไม่ ขอแค่เขาได้ระบายมันออกมาเท่านั้น ก็นับว่าผ่อนคลาย ความคลั่งแค้นในใจไปไม่น้อยเลย “ท่านพี่!” เผยฮูหยินรีบก้าวตามสามี เข้าไปภายในห้องหนังสือ ใจของนางในตอนนี้ ร้อนราวกองไฟนับสิบสุมรวมกัน นางจะเอาหน้าที่ไหน ไปพบปะญาติและสหาย บุตรสาวเพียงคนเดียว ต้องแต่งกับพี่เขย ถึงจะได้เป็นเมียเอกแต่การหย่าขาดของลูกเลี้ยง มันชี้ชัดว่าต้นเหตุมาจากบุตรสาวของนาง ที่บีบคั้นให้เผยอิงเถา พาลูกแฝดก้าวออกจากสกุลเหล่ย เพื่อหลีกทางให้กับความรัก ของน้องสาวและสามี ให้ได้อยู่อย่างสมใจ และออกหน้าออกตา ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง ล้วนต้องมองนางกับ
“ฟู่หลงลาท่าน...ทุกท่านขอรับ” “ฟู่อิงลาเจ้าค่ะ” เหล่ยฟู่เฉา มองลูกชายหญิง ได้เต็มสองตาครั้งแรก ร่างกายซูบผอม เหมือนกับขาดการบำรุงมานาน ต่างจากหลานชายของเขา ที่ดูมีน้ำมีนวล สุภาพสมบูรณ์แข็งแรง “มิอยู่กับพ่ออีกสักหน่อยหรือ” “ไม่ขอรับ ข้าสงสารท่านแม่กับน้องรองขอรับ เรือนก็แทบจะพังทับหัว ข้าวปลาข้ากับท่านแม่และน้อง ได้กินอิ่มก็ตอนที่กลับสู่สกุลเหวิน หากยังอยู่ต่อ คงเจ็บป่วยไปอีกนานขอรับ” แม่ทัพหนุ่มนิ่งค้าง ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าเรียบเฉย ของอดีตภรรยา นางช่างกล้าเกินไปแล้ว ที่สอนลูกปรักปรำครอบครัวบิดา ต่ำช้าไร้ที่ติจริงๆ “ฟู่หลง! เจ้ากล้าใส่ความสกุลเหล่ย ชั่วช้านัก!” เจาเยียน รีบด่าทอหลานชาย นางจะไม่ยอมให้ลูกของสตรีโง่ ได้ดีไปกว่าบุตรชายของนางเป็นอันขาด หากเผยอิงเถา กลับสู่สกุลเหวิน ทรัพย์สินเงินทอง ย่อมมากมายก่ายกอง นางไม่อยากพ่ายแพ้แบบนี้ “เก็บปากของเจ้า ไว้กินข้าวเถอะเจาเยียน ไม่ต้องอาจหาญมาตำหนิลูกข้า หากรับความจริงไม่ได้ นั่นก็คือปัญหาของเจ้า มิใช่ของลูกข้า” “เผยอิงเถา!” “เมื่อก่อนข้ายินยอมพวกท่าน
ยามเช้า ห้องอาหารสกุลเหล่ย ทุกคนในจวน นั่งกินข้าวร่วมกันอย่างพร้อมหน้า คงขาดเพียงแค่เผยอิงเถากับบุตรชายหญิง ที่มิได้อยู่ในห้องนี้ แน่นอนว่าไม่มีใคร คิดที่จะเชื้อเชิญนาง ให้มาเป็นที่ระคายตา “เจ้าคิดได้รึยัง ว่าจะทำอย่างไร ให้นางต้องหย่าขาด และจากไปแต่ตัว” เหล่ยฮูหยินเอ่ยถามบุตรชาย นางเกรงว่าหากนานวันไป บุตรชายอาจถูกส่งตัวกลับชายแดนอีก แล้วจะยืดเยื้อ จนไร้วันสิ้นสุด “ข้าเพิ่งกลับมาได้เพียงวันเดียว หากลงมือทันที ย่อมมีคำครหาตามมา การสร้างเรื่อง ย่อมต้องมีช่วงจังหวะเวลาขอรับ” แม่ทัพหนุ่ม คีบอาหารวางใส่ถ้วยของมารดา ก่อนจะตักเนื้อปลาให้หลานชาย “ขอบคุณขอรับ ท่านลุง” รอยยิ้มของหลานชาย ทำให้แม่ทัพหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะ ใช่แล้วเขายังไม่ได้เห็นบุตรชายหญิง เต็มตาสักครั้ง แต่แล้วอย่างไรเด็กสองคนนั้น มิใช่ความต้องการของเขาแต่แรก ใส่ใจไปก็เท่านั้น รังแต่จะเป็นตัวถ่วงในชีวิต “เรียนท่านแม่ทัพ ฉู่กงกง อัญเชิญพระราชโองการมาขอรับ” ทุกคนรีบลุกขึ้น ก้าวออกจากห้องอาหาร ด้วยความรีบร้อน เกิดอะไรขึ้น ไยจึงมีพระราชโองการมา ตั้งแต่เช
“เป็นเพียงสตรี ช่างมิเจียมตน” “หึๆ มือสังหารชั้นยอด ราคาค่าตัวพวกเจ้า ยังมิถึงครึ่งของข้า ต้องให้บอกไหม....ว่าข้าทำไม ถึงไม่ตื่นกลัวพวกเจ้า” น้ำเสียงเนิบช้าของหญิงสาว ทำให้ชายชุดดำ เริ่มเหงื่อซึมไปทั้งกาย เป็นที่รู้กันว่า มีเพียงเหล่ามัจจุราชเท่านั้น ที่เงินตราอย่างเดียว จับต้องคนพวกนี้ไม่ได้ หากค่าจ้างของพวกเขา ยังมิถึงครึ่งของนาง นั่นเท่ากับสตรีตรงหน้า คือหนึ่งในมัจจุราช! “นางแค่ลวงให้เราหลงกล” หนึ่งในชายชุดดำเอ่ยขึ้น พร้อมกับพุ่งเข้าหาหญิงสาว วืด! อึก! ยังไม่ทันได้ถึงตัวหญิงสาว ร่างใหญ่นั้นก็ร่วงลงจากหลังคา เพียงแค่ปลายหอกขยับไหวเล็กน้อยเท่านั้น ‘เป็นไปไม่ได้’ ผู้ที่อยู่ในเงามืด ถึงกับดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นการลงมือของสตรี ที่ประจันหน้ากับคนของเขา ที่อยู่บนหลังคา ไหนว่า...เจ้าของเรือนเป็นสตรีโง่จริงหรือ! ไยถึงได้มีมัจจุราชคุ้มกัน ใช่ว่ามือสังหารระดับนี้ จะยินยอมติดตามผู้ใดได้โดยง่ายมัจจุราชเป็นกลุ่มนักฆ่า ที่ไร้ตัวตนและผู้ก่อตั้ง ยิ่งไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนเช่นกัน หากจะจ้างวาน ต้องผ่านตัวแทนเท่านั้น จ่ายเงิน รอรับเพียงข่าวเท่านั้
ยามค่ำคืน ณ เรือนท้ายจวนเหล่ยเสียงแมลงกลางคืน ร้องขับขาน สอดประสานกัน ประหนึ่งท่วงทำนองดนตรี ทำให้บรรยากาศที่หนาวเย็น ท่ามกลางแสงจันทร์นวลผ่อง ที่สาดส่องลงมากระทบเรือนหลังเก่าผุพังทำให้สายตาหลายคู่ ที่จับจ้องการเคลื่อนไหว ของคนภายในเรือนมากว่าสองชั่วยาม มีความรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก ที่เป้าหมายของภารกิจนี้ อ่อนแอไม่คู่ควร กับการลงแรงสักนิดระดับยอดฝีมือ ต้องมาทำงานเล็กน้อยนี่! ผู้ว่าจ้างไยต้องให้มาถึงมือพวกเขาด้วยเล่า แต่เมื่อนายใหญ่รับงานมา หน้าที่ของพวกเขา ก็คือทำให้สำเร็จเท่านั้นเมื่อภายในเรือนไร้แสงส่องสว่าง การเคลื่อนไหวไม่มีแล้ว ทั้งหมดจึงเหินกายลงสู่ลานหน้าเรือน สภาพเยี่ยงนี้ ยังเรียกว่าที่พักอาศัยของคนอยู่อีกหรือ“ต้องได้หัวของนาง ส่งให้แก่นายท่าน”คำพูดของชายชุดดำ ทำให้ชายหนุ่มหน้าผี ขบกรามแน่นด้วยความกรุ่นโกรธ อาจหาญจะตัดหัวนายเขา ช่างมิเจียมตนเสียเลย เสือเฒ่าเจ้าเล่ห์ มีปัญญาจ้างได้แค่นักฆ่าระดับล่าง คิดจะผ่านเขาไป มันดูหยามกันชัดๆภายในห้องนอนอันมืดมิด ร่างระหงในชุดคลุมทีเข้ม นั่งจิบชาอย่างใจเย็น คล้ายกำลังรอการมา ของใครบางคน บนโต๊ะที่อยู่ข้างกาย มีหน้าไม้ขนาดพอดีมือ