แม่ทัพต่งเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “รับใช้ข้าหลวงหยางหรืออ๋องซู่ก็เหมือนกัน สองท่านอาจยังมิทราบว่าอ๋องซู่และรั่วหลานบุตรีของข้าหลวงหยางได้หมั้นหมายกันแล้ว!”กล่าวถึงตรงนี้ แม่ทัพต่งก็ลุกขึ้นยืนแล้วประสานมือคารวะหลิงอวี๋ “ฮูหยิน ขออภัยด้วย ก่อนหน้านี้ข้าน้อยต่งโป้ปด!”“คุณหนูรั่วหลานเป็นบุตรีของข้าหลวงหยาง มิใช่บุตรีของข้า!”“เพียงแต่เรื่องราวมีที่มาที่ไป ข้าน้อยต่งจึงจำต้องกล่าวความเท็จ! ข้าน้อยต่งต้องขออภัยที่ปิดบังฮูหยิน!”หลิงอวี๋โบกมือพลางกล่าว “แม่ทัพต่งทำไปก็เพื่อปกป้องรั่วหลาน นับเป็นเหตุผลที่พอจะเข้าใจได้ ข้ามิถือโทษท่านหรอก!”“เชิญแม่ทัพต่งนั่งลงก่อนเถิด!”เซียวหลินเทียนแย้มยิ้มกล่าวว่า “ดูจากท่าทีของอ๋องซู่ที่มีต่อภรรยาข้าในวันนี้แล้ว ข้ามิคิดว่าการรับใช้อ๋องซู่จะเป็นทางเลือกที่ฉลาดนัก!”แม่ทัพต่งยิ้มอย่างขมขื่น เขารู้ดีว่าเซียวหลินเทียนยังคงขุ่นเคืองใจที่หลิงอวี๋ถูกหยามเกียรติในวันนี้เขาจึงฝืนยิ้มกล่าวว่า “นายท่านอู่ อ๋องซู่เพียงแต่ยังมิเคยประจักษ์ในฝีมือการรักษาของฮูหยิน จึงได้เกิดความคลางแคลงใจ หากเขาทราบเรื่องราวความเป็นมา ย่อมต้องใช้งานพวกท่านอย่างแน่นอน!”หลิงอ
แม้ว่าในหมู่บ้านยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูและขาดแคลนเสบียงอยู่บ้างแต่เมื่อถึงยามค่ำ เกิ่งสือก็ยังตระเตรียมอาหารเจ็ดแปดอย่างจัดเป็นโต๊ะเลี้ยงส่งมาให้จากนั้นแม่ทัพต่งก็อุ้มสุราสองไหเข้ามาพร้อมกับผู้คุ้มกันหนุ่มอีกคนที่อุ้มสุราสองไหตามมา“ฮูหยินอู่ นายท่านอู่ ข้าขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือบุตรชายของข้า ต่งหลิ่ว พอเจ้าหนุ่มนี่ได้ยินว่าข้าจะมาดื่มสุราก็รบเร้าจะติดตามมาด้วย รบกวนแล้ว!”แม่ทัพต่งกล่าวอย่างอารมณ์ดีต่งหลิ่ววางไหสุราลง และประสานมือคารวะหลิงอวี๋ “ฮูหยินอู่ ต่งหลิ่วมิได้รับเชิญแต่กลับมาเยือน ต้องรบกวนแล้ว!”หลิงอวี๋มองต่งหลิ่วแล้วคาดว่าอายุคงราวสิบห้าสิบหกปี ใบหน้าหล่อเหลาหมดจด คิ้วกระบี่นัยน์ตาดำขลับ ยามเอ่ยวาจาก็เผยให้เห็นลักยิ้มข้างแก้มรูปกายสะท้อนจิตใจ ต่งหลิ่วผู้นี้คงเป็นคนซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยม“แขกผู้มาเยือนไหนเลยจะเรียกว่ารบกวนได้! รีบนั่งเถิด!”เซียวหลินเทียนพบปะผู้คนมามาก เพียงมองรูปลักษณ์ของต่งหลิ่วก็มิอาจรู้สึกชิงชังได้ จึงรีบเชื้อเชิญให้พวกเขานั่งลง“นายกองเกิ่งก็นั่งลงด้วยกันเถิด! วันนี้พวกเราสองสามีภรรยามาเยือน นายกองเกิ่งก็วิ่งวุ่นจัดการธุระให้มิได้หยุดหย่อน นั่
หลิงอวี๋ทำราวกับมิได้ยินคำดูแคลนเหล่านั้นแม้แต่น้อย แต่ไหนเลยหลิงหว่านจะทนรับความโกรธแค้นนี้ได้หลิงอวี๋เป็นถึงฮองเฮาฉินตะวันตก เป็นผู้สูงศักดิ์เหนือผู้ใดในแผ่นดินเงินห้าสิบตำลึงงั้นหรือ?ในวังหลวงฉินตะวันตก แม้แต่ข้ารับใช้ที่คอยกวาดพื้นก็ยังหามาได้ สองพี่น้องไป๋เฉี่ยวรู้หรือไม่ว่าพวกนางกำลังเหยียดหยามผู้ใดอยู่?แม่ทัพต่งเองก็บังเกิดโทสะขึ้นมาเช่นกัน เขาเป็นผู้เห็นกับตาตนเองว่าหลิงอวี๋ประมือกับสองพี่น้องหยวนป๋ออย่างไรวรยุทธ์ของหลิงอวี๋น่าสะพรึงถึงเพียงนั้น ต่อให้วิชาแพทย์ของนางมิเอาไหน แต่ผู้ที่มีวรยุทธ์ระดับนี้จะเป็นคนธรรมดาสามัญได้อย่างไรยังมินับรวมถึงกลุ่มของนายท่านอู่ที่ตามมาในภายหลังตัวแม่ทัพต่งเองก็เป็นผู้นำทัพ แม้จะมองออกว่าวรยุทธ์ของคนอย่างลู่ปินนั้นยังด้อยกว่าตนแต่พวกเขากลับมีท่วงท่าการวางตัวที่เป็นระเบียบแบบแผนยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่มคนที่มิธรรมดาไป๋เฉี่ยวใช้เงินเพียงห้าสิบตำลึงมาดูแคลนคนผู้นี่ มิเพียงแต่เป็นการหยามเกียรติของฮูหยินอู่ แต่ยังเป็นการลบหลู่แม่ทัพต่งเช่นเขาด้วยก่อนหน้านี้ที่ถูกไป๋เฉี่ยวตำหนิ แม่ทัพต่งก็มิพอใจอยู่แล้ว ครั้นได้ยินนางกล่าววาจา
ไป๋เฉี่ยวมองดูมือเรียวของหลิงอวี๋ที่ลูบไล้ไปตามเรียวขาคุณหนูของตน ในใจเปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวังผ่านไปครู่ใหญ่ หลิงอวี๋จึงลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “แต่งตัวให้รั่วหลานเถิด”ไป๋เฉี่ยวรีบร้อนเอ่ยถามว่า “ฮูหยิน ตรวจพบแล้วหรือไม่ว่าคุณหนูของบ่าวป่วยเป็นโรคอันใด?”หลิงอวี๋โบกมือ “เจ้าแต่งตัวให้นางให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”ในใจของไป๋เฉี่ยวก็เริ่มเกิดความมิพอใจในตัวหลิงอวี๋เช่นเดียวกับไป๋อวี้ นางระงับโทสะไว้ชั่วคราวแล้วหยิบอาภรณ์มาสวมให้รั่วหลานทางที่ดีท่านหมอผู้นี้ต้องตรวจพบสิ่งใด มิเช่นนั้น ตนจะมิเกรงใจนางอีกต่อไปเป็นแน่ไป๋เฉี่ยวทำหน้าบึ้งตึง พลางสวมใส่อาภรณ์ให้รั่วหลานอย่างรวดเร็วขณะกำลังจะสวมเสื้อคลุมตัวนอก หลิงอวี๋ก็พลันยื่นมือออกไป “ไป๋เฉี่ยว เจ้าดูไฝดำเม็ดนี้บนหลังคุณหนูของเจ้าให้ดี ๆ เจ้าแน่ใจรึว่ามันมีขนาดเท่านี้มาตลอด มิได้ใหญ่ขึ้นเลย?”ไป๋เฉี่ยวชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาจับจ้องไปยังไฝดำบนแผ่นหลังของรั่วหลานตามที่หลิงอวี๋ชี้นางครุ่นคิด แล้วส่ายหน้า “มิน่าจะใหญ่ขึ้นนะเจ้าคะ บ่าวว่าไฝบนหลังของคุณหนูก็มีขนาดเท่านี้มาตลอด”หลิงอวี๋มิยอมแพ้ “เจ้าแน่ใจรึ
หลิงอวี๋ขมวดคิ้วโดยมิรู้ตัว แล้วตกอยู่ในห้วงความคิดอ๋องซู่เห็นว่าหลิงอวี๋มิพูดจา เขาก็อดทนรอไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามไปว่า “ฮูหยิน ตรวจพบสาเหตุหรือไม่?”หลิงอวี๋นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกไป “ในเลือดไม่มีสารพิษ และมิได้มีไข่กู่ด้วยเพคะ!”“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดได้หนึ่งความน่าจะเป็น… พวกท่านถอยออกไปก่อนได้หรือไม่ ให้หม่อมฉันกับไป๋เฉี่ยวถอดอาภรณ์ของรั่วหลานออกแล้วทำการตรวจร่างกายของนางอย่างละเอียดดูเสียหน่อย?”ไป๋เฉี่ยวตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยไปว่า “ฮูหยิน ข้ารับรองได้ว่าคุณหนูของข้ามิได้มีบาดแผลภายนอกแม้แต่น้อย!”“ข้ากับไป๋อวี้เช็ดตัวให้นางทุกวัน หากมีบาดแผลภายนอก พวกเราจะต้องพบอย่างแน่นอน!”หลิงอวี๋เห็นว่าไป๋เฉี่ยวมิได้สงสัยในทักษะการแพทย์ของตนดังเช่นไป๋อวี้ นางจึงเอ่ยออกไปอย่างอดทน“บางครั้งการหมดสติไปก็มิแน่ว่าจะเกิดจากบาดแผลภายนอก บางทีอาจจะเกิดจากความผิดปกติของส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายก็เป็นได้!”“ข้าเคยตรวจศพของคนที่ตายโดยไร้สาเหตุ ครานั้นดูแล้วนางก็มิได้ถูกยาพิษ และมิได้มีบาดแผลภายนอกเช่นกัน”“แต่สุดท้ายแล้ว ข้าก็ไปพบจุดแดงขนาดประมาณปลายเข็มที่ด้านหลังของนาง และสาเหตุ
อ๋องซู่เอ่ยต่อด้วยว่า “เมื่อครู่หากพวกนางทำผิดต่อฮูหยินตรงที่ใด ข้าก็ขออภัยแทนพวกนางด้วย!”ขณะที่พูดอยู่นั้น อ๋องซู่ก็โค้งคำนับให้หลิงอวี๋อย่างลึกซึ้งไปด้วยหลิงอวี๋เห็นว่าอ๋องซู่ทำเช่นนี้แล้ว ความมิพอใจที่อยู่ในใจก็จางหายไปกว่าครึ่งนางดึงหลิงหว่านถอยหลังไปสองสามก้าว จากนั้นก็ครุ่นคิดแล้วเอ่ยออกไป “เช่นนั้นเพื่อเห็นแก่ท่านอ๋องซู่ หม่อมฉันจะไปตรวจดูอีกทีเพคะ!”หลิงอวี๋เดินกลับไป แต่ครั้งนี้มิรอให้หลิงอวี๋พูดอะไร ไป๋เฉี่ยวก็ก้าวเข้ามาแล้วเอ่ยว่า“ฮูหยิน ก่อนหน้านี้คุณหนูของเราไม่มีโรคเรื้อรังใดเจ้าค่ะ นางป่วยเป็นโรคนี้ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด จู่ ๆ ก็เป็นเช่นนี้แบบฉับพลันเจ้าค่ะ!”ฉับพลันหรือ?หลิงอวี๋ขมวดคิ้วมุ่นไป๋เฉี่ยวเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็รีบเอ่ยต่อว่า “ในช่วงนี้มีน้ำท่วมฝนกระหน่ำมิใช่หรือเจ้าคะ? คุณหนูของเราเองก็ช่วยนายท่านคิดหาหนทางช่วยเหลือผู้ประสบภัยเช่นกัน”“ขอบอกกับฮูหยินโดยมิปิดบังเจ้าค่ะ คุณหนูของเราเองก็เชี่ยวชาญทักษะการแพทย์เช่นกัน นางเองก็รักษาผู้ป่วยจนหายดีมามิน้อย”“ในช่วงนี้ นางรักษาผู้ประสบภัยเป็นจำนวนมาก มิรู้เช่นกันว่าเป็นเพราะเหนื่อยหรือไม่ ในวันหนึ่งขณะท