จู่ๆ หลินเฟิงก็โผล่ขึ้นมาเบื้องหน้าพวกนาง “แม่นางเหลียนเย่กำลังตำหนิท่านอ๋องอีกแล้วหรือ”เหลียนเย่มองสำรวจเขาทีหนึ่ง แล้วยอมรับอย่างผ่าเผยว่า “แน่นอนว่าย่อมตำหนิท่านอ๋องของพวกท่านอยู่แล้ว”“ยิ่งกล้าหาญชาญชัยขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋อง เจ้าไม่กลัวท่านอ๋องเปลี่ยนเจ้านายให้เจ้าหรือ” หลินเฟิงจงใจแกล้งนาง“เปลี่ยนเป็นใคร เปลี่ยนเป็นแม่นางเย่งั้นเหรอ?” เหลียนเย่ราวกับถูกเหยียบหางก็ไม่ปาน “นางเป็นเทพธิดาหรือไง! ท่านอ๋องถึงต้องได้รีบส่งสาวใช้ไปอยู่ข้างกายนาง ข้าจะติดตามใครยังไม่ถึงรอบให้ท่านอ๋องของพวกท่านมาจัดแจงกระมัง! ตอนนั้นองครักษ์หลินคำก็แม่นางเย่ สองคำก็แม่นางเย่ องครักษ์หลินคงไม่ได้ถูกใจนางเข้าเหมือนกันแล้วหรอกนะ!”“ข้าก็ไม่ได้หาเรื่องเจ้าเสียหน่อย เจ้าจะเสียงดังใส่ข้าทำไม ผู้ใดถูกใจนางกัน” หลินเฟิงรู้สึกน้อยใจแทบตายแล้ว กลับมาแล้วก็ไม่พูดต้อนรับสักคำ แถมยังพูดเรื่องที่ไม่มีมูลอีก พวกผู้หญิงล้วนไร้เหตุผลเช่นนี้กันหมดหรือ?“แน่นอนว่าคงมีคนถูกใจเข้าแล้วล่ะสิ!” นางคร้านจะสนใจเขาแล้ว นางได้ยินว่าท่านอ๋องปฏิบัติต่อเย่ซู่ซู่ไม่ธรรมดา เกรงว่าจวนอ๋องคงจะมีคนใหม่เพิ่มมาอีกแล้ว
เฉิงฮองเฮามีฐานะเป็นผู้นำแห่งวังหลังย่อมไม่อาจดึงบุตรชายไว้ไม่ยอมปล่อย นางต้องไปรับมือกับเหล่าขุนนางในราชสำนักและสตรีในครอบครัวของพวกเขา ยังต้องเข้าร่วมเลี้ยงต้อนรับเหล่าทหารสู่กลับเมืองกับฮ่องเต้ด้วยหลังเซี่ยซางหลุดพ้นจากการพัวพันต่างๆ นานาของเฉิงฮองเฮาได้ก็เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามให้หลังแล้ว เพราะเจียงเฟิ่งหัวกำลังตั้งครรภ์จึงได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ ให้นางไม่ต้องไปต้อนรับบรรดาแขกเหรื่อเหมือนพระชายานางอื่นๆในพระราชวังยิ่งยุ่งขิงไปหมด ผู้ดูแลของตำหนักทั้งหก รวมทั้งเหล่าขันทีและนางกำนัลล้วนเคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางงานเลี้ยงเซี่ยซางดึงนางมุ่งหน้าไปทางตำหนักเฉินซีที่อยู่ตำหนักใน จากนั้นก็ไล่สาวใช้และองครักษ์ที่ตามเขามาออกไป มือข้างหนึ่งของเจียงเฟิ่งหัวถูกเขากุมไว้ มืออีกข้างปกป้องท้องไว้ ฝีเท้าดูเหมือนจะช้าไปอีกเล็กน้อยเขาเห็นนางเดินไม่ไหวแล้ว จึงถามนางว่า “ข้าอุ้มเจ้าดีหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวชี้ไปที่ท้องของตน “ยามนี้หม่อมฉันหนักกว่าหมูอีกเพคะ”เซี่ยซางกับไม่เชื่อเรื่องนี้ ขณะคิดจะลงมือ เจียงเฟิ่งหัวก็รีบเบี่ยงกายหลบ “หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องทรงอุ้มไหว เพียงแต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษ อาจทำ
เซี่ยซางตะลึงไป ในที่สุดเสด็จพ่อก็ทรงยอมรับความสามารถของเขาแล้วจากนั้น ฮ่องเต้ก็ก้าวเข้าไปพยุงซูเต๋อไห่ขึ้นมาด้วยตนเอง “แม่ทัพซูลุกขึ้นเถิด ชายแดนโชคดีที่มีแม่ทัพซูคอยปกปัก ชาวบ้านถึงได้ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ผลงานของท่านไม่อาจมองข้ามเลยจริงๆ!”ซูเต๋อไห่กล่าวว่า “กระหม่อมเพียงยึดมั่นในหน้าที่ของตนเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ชายแดนสงบมั่นคง กระหม่อมมิได้ผิดต่อความไว้วางใจของฝ่าบาทและไม่ผิดต่อราษฎรในใต้หล้า ทั้งนอกและในแคว้นต้าโจวของเราล้วนสรรเสริญความปรีชาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”“ดีๆๆ แม่ทัพซูเชิญเถิด เหล่าทหารกล้าทั้งหลายเชิญเถิด” ฮ่องเต้กล่าว “เราได้เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับไว้ให้เหล่าแม่ทัพและนายทหารทั้งหลายแล้ว วันนี้เรากับทุกท่านไม่เมาไม่เลิกรา”“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทุกคนกล่าวพร้อมกันอีกครั้งฮ่องเต้ร่วมงานเลี้ยงกับเหล่าขุนนางและราษฎร แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับเหล่าขุนนางและราษฎรเพียงใด และยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมของทางการกับประชาชนว่าเป็นดั่งครอบครัวเดียวกันด้วยผู้ที่ติดตามกองทัพมาย่อมมีกรมพิธีการเป็นผู้ดูแล เหล่าทหารในค่ายทัพก็ได้รับการเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงฮ่องเต้นำ
ต้นเดือนสอง ในที่สุดเหิงอ๋องก็กลับถึงเมืองหลวงเสียที ตั้งแต่ประตูเมืองจนถึงประตูวัง ราษฎรทั้งหมดล้วนมาอยู่บนท้องถนนเพื่อส่งเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีให้แก่เหล่าทหารที่รบชนะในตอนแรกที่ฮ่องเต้มีบัญชาให้เหิงอ๋องดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เหินทะยาน นำกำลังทหารชั้นยอดของเมืองหลวงหนึ่งแสนนายออกเดินทางไปขับไล่ศัตรูที่ชายแดน ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความกังวล ประการแรกเพราะทุกคนไม่รู้ว่าเหิงอ๋องมีความสามารถเช่นไร เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่เคยมีผลงานการรบสองคือชาวหูชำนาญการรบในพื้นที่หนาวเหน็บที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง หากต้าโจวเปิดศึกในตอนนี้ก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทว่าชาวหูกลับถูกเหิงอ๋องตีถอยร่นกลับไปที่รังเก่าของพวกมัน กระทั่งยังลงนามในหนังสือยอมแพ้ ว่าจะไม่มารุกรานชายแดนต้าโจวอีกตลอดกาลแคว้นต้าโจวถูกชาวหูรังแกมาตลอด ยามนี้เอาชนะชาวหูได้ ราษฎรของแคว้นต้าโจวจึงเต็มไปด้วยเสียงร้องแสดงความยินดี พากันร้องตะโกนแสดงความยินดีต่อเหิงอ๋องว่าท่านอ๋องเกรียงไกร แต่ละรอบดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้คนแก้วหูสั่นสะท้านอวี้อ๋องก็อยู่ในนั้นเช่นกัน แต่กลับไม่มีผู้ใดพูดถึงนามของเขา ถึงอย่างไรเขาก็ถือว่ามีชื่อรับตำแหน่ง
คำพูดนี้เขาจงใจพูดให้ซูเต๋อไห่ฟัง สงครามครั้งนี้ชนะแล้ว สกุลซูมีความชอบ เหิงอ๋องมีความชอบ ทหาร ขุนนาง แม่ทัพ และผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดล้วนมีผลงาน เหล่าแพทย์ที่เดินทางมาชายแดนก็มีความชอบเช่นกัน เย่ซู่ซู่เป็นหนึ่งในคณะ หากนางตายโดยไร้เหตุผลหรือถูกคนทำร้าย ต่อให้เป็นเหิงอ๋องก็ไม่มีปัญญาอธิบายต่อฮ่องเต้ อธิบายต่อคนในใต้หล้าและต่อให้สกุลซูจะมีความชอบมากเพียงใด หากตรวจสอบการเดินทางของซูถิงหว่านหลังออกจากเมืองหลวงอย่างละเอียดอีกครั้ง สุดท้ายก็ต้องสืบหาความจริงออกมาได้แน่ สกุลซูย่อมไม่อยากให้เรื่องนี้ กลายเป็นเรื่องใหญ่เด็ดขาด และราชวงศ์ก็ไม่มีทางยอมขายหน้าเพราะชายารองเพียงนางเดียวเช่นกันดังนั้นไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ซูถิงหว่านก็อย่าได้คิดจะเข้าสู่ราชวงศ์อีกแล้วซูเต๋อไห่จึงรีบกล่าวว่า “หมอหญิงเย่ย่อมไม่มีความผิด การซื้อขายเป็นเรื่องอิสระ เมื่อรับสินค้าและชำระเงินแล้วก็ไม่ติดค้างกันอีก ในเมื่อสาวใช้ของหวานหว่านใช้ยาของผู้อื่นและสวมเสื้อผ้าของผู้อื่น ก็ควรให้หวานหว่านเป็นผู้จ่ายเงินก้อนนี้ ในเมื่อหมอหญิงเย่ไม่เคยกล่าวเรื่องไร้สาระที่ถูกแต่งขึ้นมานั่นกับท่านอ๋อง คิดว่าเรื่องนี้ก็คงมีค
ซูถิงหว่านที่ไม่ทันตั้งตัวตกใจจนสะดุ้ง แล้วจึงกล่าวอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนว่าไม่เคยเพคะ”“เช่นนั้นก็ดี” เขายกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ ที่อ่านไม่ออก ความน่าเกรงขามของเจ้าแผ่นดินแผ่สะท้านใจผู้คน ราวกำลังกล่าวว่า หากเจ้ากล้าหลอกข้า ข้าจะไม่มีวันละเว้นเจ้าเซี่ยซางหันไปกล่าวกับซูเซวี่ยนด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่รักษาวินัยทหาร บีบบังสตรีดีงาม ควรลงโทษตามกฎทหาร แม่ทัพซู ทหารทั้งห้านายควรต้องโทษสถานใด”ซูเซวี่ยนตะลึงไป แล้วรีบกล่าวว่า “ผู้ที่ทำผิดร้ายแรง ควรตัดหัวประหารให้เป็นเยี่ยงอย่าง แต่หากเป็นความผิดสถานเบา ควรลงโทษด้วยไม้พลองทหาร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดทหารก็ควรรักษาวินัยทหาร ถูกล่อลวงเอาง่ายๆ เช่นนี้ ควรถูกลงทัณฑ์…”“งั้นก็หนึ่งร้อยไม้แล้วกัน!” เซี่ยซางกล่าวอย่างเสียงดังฟังชัด “ข้าไม่ปรารถนาให้กองทัพของต้าโจวไร้กฎระเบียบวินัย ยิ่งไม่ต้องการให้เรื่องเช่นนี้ พฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นบนตัวทหารอีก ไม่ว่าจะเต็มใจหรือถูกบังคับ หากพบอีกให้ประหารทันที”ซูเซวี่ยนกับซูเต๋อไห่ก็ตกใจจนสะดุ้งเช่นกัน เหิงอ๋องเด็ดขาดกว่าฮ่องเต้จริงๆ ในเมื่อท่านอ๋องตรัสแล้วว่าให้โบยหนึ่งร้อยไม้พลองทหาร จะรอดหรือไม่ก็ต