“หรงเอ๋อร์” ฉางซื่อหลางเลิกคิ้วถามอย่างนึกสงสัยที่อีกฝ่ายนิ่งเงียบไป
หานฉงหรงหลุดจากภวังค์ ก่อนช้อนตาขึ้นมอง “ปิ่นที่เจ้าให้ ข้าชอบมาก เจ้าช่วยประดับที่เรือนผมของข้าให้หน่อยได้หรือไม่ จากนั้นข้าจะเดินไปอวดคนในตลาด ให้เขารู้ว่ากันให้ทั่วว่าว่าที่คู่หมั้นของข้านั้นช่างแสนดีเพียงใด” ฉางซื่อหลางสะอึกอึ้ง ก่อนเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียงนัก “หรงเอ๋อร์ ปิ่นชิ้นนี้ข้าอุตส่าห์สั่งทำพิเศษเพื่อเจ้า ไว้ประดับในงานสำคัญหรือช่วงเทศกาลไม่ดีกว่าหรือ ถ้าเกิดเผลอไผลทำตกขึ้นมาจะไม่มีอีกแล้วนะ” ฉงหรงกล่าวเสียงเง้างอดอย่างมิเคยทำ “ไม่เอา ในเมื่อเป็นของพิเศษที่มีชิ้นเดียวในโลกก็ต้องอวดให้ผู้อื่นได้เห็นสิ นอกเสียจากว่าปิ่นชิ้นนี้จะมีผู้อื่นใส่เหมือนกัน” เห็นฉางซื่อหลางทำสีหน้าย่ำแย่เหมือนคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นนางพลันรู้สึกปลอดโปร่งเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยวาจาออดอ้อนเขาต่อ “ถือว่าข้าขอร้องเจ้านะ ซื่อหลาง” คล้ายคนขี่หลังเสือแล้วไม่อาจหาทางลงได้ สุดท้ายฉางซื่อหลางก็พยักหน้าด้วยสีหน้าจืดเจื่อนเล็กน้อย เนื่องจากเป็นช่วงสาย ตลาดที่ถนนสายหลักยังคงครึกครื้น หานฉงหรงยิ้มรับขนมเม็ดบัวคลุกผงกุ้ยฮวาที่ว่าที่คู่หมายซื้อมาให้พลางกัดกินไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เลี้ยวไปยังตรอกชิงฮวาพร้อมกับหลินหลาง แวะร้านขายน้ำหวานซื้อน้ำดอกสายน้ำผึ้งที่ใส่กระบอกไม้ไผ่มา ดื่มด่ำความหอมหวานอย่างมีความสุข พลางมองหาบางอย่างที่ต้องการ จากนั้นก็ลอบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย ยิ่งเมื่อเห็นฉางซื่อหลางดูลุกลี้ลุกลนนางก็ยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่นางคาดเดาไว้นั้นถูกต้อง จำได้ว่าก่อนหน้าที่นางจะแต่งงานกับฉางซื่อหลาง หลินหลางเคยบอกนางว่าฉางซื่อหลางนั้นลักลอบมีความสัมพันธ์กับแม่ค้าขายดอกไม้นางหนึ่งในตรอกชิงฮวา ถึงขนาดมอบของแทนใจ ทว่าหานฉงหรงในเวลานั้นไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย อาจเพราะตอนนั้นนางคงถูกความรักที่มีต่อฉางซื่อหลางและความดีงามที่เจ้าตัวเพียรกระทำตอนอยู่ต่อหน้าปิดหูปิดตาจนมืดบอด กว่าจะรู้ตัวทุกอย่างก็สายเกินแก้ไปเสียแล้ว หานฉงหรงลอบถอนใจ เวลานี้ไม่มีประโยชน์ที่จะนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาอีกแล้ว เมื่อได้โอกาสย้อนกลับมา ก็อย่าได้โง่หลงงมงายอีก เพียงแค่นั้นก็พอ ร้านดอกไม้ที่เป็นเป้าหมายนั้นหาไม่ยาก เพราะในตรอกชิงฮวานี้มีร้านดอกไม้อยู่สองร้าน ร้านหนึ่งเจ้าของเป็นหญิงชราอายุเกือบเจ็ดสิบ ส่วนอีกร้านเจ้าของยังเป็นดรุณีน้อยหน้าตางดงาม ซึ่งดูจากรสนิยมชมชอบของฉางซื่อหลางย่อมเลือกเกี้ยวพาราสีแม่ค้าจากร้านแรกมากกว่า อีกทั้งหญิงสาวเจ้าของร้านยังประดับปิ่นอวิ๋นเหยาที่เหมือนกับนางอย่างโดดเด่นสะดุดตาเสียขนาดนั้น ต่อให้เป็นเด็กสามขวบก็เข้าใจ “หรงเอ๋อร์ เดี๋ยว...” ฉางซื่อหลางพยายามเรียกหานฉงหรงที่พลิ้วกายเดินไปยังร้านขายดอกไม้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานใส “ดอกกล้วยไม้ช่อนี้งามนัก ราคาเท่าไหร่หรือ” ฝูหรงผู้เป็นเจ้าของร้านที่กำลังง่วนกับการจัดร้านเงยหน้ามาพร้อมรอยยิ้ม “กล้วยไม้นั้นสามอีแปะเจ้าค่ะ” กล่าวเพียงแค่นั้นก็พลันสะอึกอึ้งเมื่อเห็นฉางซื่อหลางอยู่เบื้องหลังคุณหนูนางนี้ ก่อนเอ่ย “กล้วยไม้นั้นก็งามอยู่ ทว่ากลีบดอกเริ่มช้ำแล้ว ข้าว่าคุณหนูควรดูดอกไม้ชนิดอื่นดีกว่าไหม” ปลายนิ้วของหานฉงหรงไล้ไปตามกลีบแข็งของกล้วยไม้ดอกหนึ่งพลางเอ่ย “กล้วยไม้ ถือเป็นหนึ่งในสี่ของพฤกษาอันทรงเกียรติ [1] สื่อถึงความรักอันสูงส่ง มีเกียรติ และดีงาม ไม่มีหน้าหรือหลัง เหมือนกับความรักของข้ากับคู่หมายท่านนี้ ที่เขามาสู่ขอข้าอย่างเอิกเกริก ไม่เคยต้องหลบซ่อน หรือลักกินขโมยกิน” ฝูหรงขายดอกไม้มานาน ลูกค้ามีตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาไปจนถึงบัณฑิตมีความรู้ จึงต้องศึกษาเรื่องดอกไม้มามากพอตัว มีหรือที่นางจะไม่เข้าใจความหมายของดอกไม้ที่หานฉงหรงจงใจเสียดสี แสดงว่านางเริ่มระแคะระคาย แต่เมื่อนึกถึงที่บุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังฉงหรง ทั้งยังคำมั่นที่อีกฝ่ายเคยบอกนางว่าหลังรักตนมาก่อน ก็ให้รู้สึกลำพอง "ขอบคุณคุณหนูที่อธิบาย กล้วยไม้นี้เหมาะสมกับสถานะและความรักอันสูงส่งของท่านอย่างยิ่ง ทว่าความรักของข้าเองก็ไม่ต่างจากดอกกล้วยไม้ ผู้มอบปิ่นอวิ๋นเหยานี้ให้กับข้าก็เป็นบุรุษที่สูงส่ง และมั่นคงในรักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน" ฝูหรงว่าพลางหัวเราะเสียงใสจจนปิ่นอวิ๋นเหยาที่ประดับสะท้อนแสงแดดกรีดบาดนัยน์ตาคนฟัง หานฉงหรงอมยิ้ม ขณะกำลังจะอ้าปากเอ่ย พลันมีเสียงๆ หนึ่งดังแทรกขึ้นมา "นั่น ปิ่นอวิ๋นเหยาที่คุณชายฉางมอบให้คุณหนู เจ้าได้มาได้อย่างไร!?" เป็นหลินหลางนั่นเองที่โพล่งออกมา ท่าทางของนางโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าฉงหรงที่เป็นเจ้าของปิ่นเสียอีก ฉงหรงเห็นดังนั้นก็ไม่คิดห้ามปราม เพียงยืนดูอยู่เงียบๆ "เจ้าบอกว่าปิ่นนี้เป็นของคุณหนูเจ้า สาวใช้ชั้นต่ำเช่นเจ้าจะแยกแยะอันใดได้มากน้อย หรือเจ้าจะบอกว่าคุณชายฉางอะไรนั่นของเจ้าเป็นพวกเจ้าชู้มากรัก สั่งทำปิ่นแจกจ่ายสตรีไปทั่ว" ฝูหรงพลางค้อนควับไปยังฉางซื่อหลางที่มีใบหน้าเครียดดั่งเมฆาฟ้าคำรณ "เจ้า!" หลินหลางยื่นมือไปดึงปิ่นออกจากเรือนผมฝูหรง "อย่าได้บังอาจพูดจาดูถูกคุณชายฉาง!" "นางเด็กนี่!" ฝูหรงตั้งหลักได้พลันคว้าสาบเสื้อของหลินหลางเอาไว้ "ทำกับข้าเพียงนี้ ก็อย่าหาว่าแม่ค้าปากตลาดเช่นข้าโหดร้าย!" ตวาดจบฝูหรงก็ผลักหลินหลางล้มลงไปกับพื้น ก่อนก้าวคร่อมตัวอีกฝ่ายไว้ ขณะที่กำลังเงื้อมือหมายฟาดไปที่หน้าของสาวใช้ชั้นต่ำ สายตาพลันเหลือบไปเห็นปิ่นอวิ๋นเหยาที่เหมือนกับนางไม่ผิดเพี้ยนจึงพลันเหยียดยิ้ม "โถๆ ทำเป็นสาวใช้ผู้ภักดีเถียงแทนเจ้านาย ที่แท้หลวงอนุรักใคร่กลมเกลียวเช่นนี้!" "นางสารเลว วาจายิ่งกว่าสวาปามอาจมไปทั้งหลุมเช่นนี้อย่าเก็บปากไว้กินข้าวอีกต่อไปเลย!" หลินหลางเลือดขึ้นหน้าก่อนตบหน้าฝูหรงอย่างไม่ออมแรง การกระทำนี้ไม่ต่างจากการรัวกลองเปิดศึก สองสตรีตรงเข้าตะลุมบอนจนฝุ่นตลบทั้งยังเสียกิริยาน่าเอนจอนาถยิ่ง ฉางซื่อหลางหลับตานิ่งอย่างข่มอารมณ์ ทำเป็นไม่เห็นเหตุร้ายเบื้องหน้าก่อนเอ่ย "หรงเอ๋อร์ เราไปที่อื่นเถอะ" หานฉงหรงไม่มีท่าทีเคืองขุ่นก่อนเอ่ย "ข้าน่ะไปได้ แต่เจ้าจะไปได้อย่างไร เจ้าหน้าที่ของทางการอย่างเจ้าต้องรักษาความสงบเรียบร้อย เจ้ารีบไประงับเหตุก่อนเถอะ ส่วนข้าจะไปรอที่ปากทางเข้าตรอกเอง" ว่าจบนางก็ตบบ่าเขาสองสามครั้ง ก่อนเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี [1] พฤกษาอันทรงเกียรติทั้งสี่ (四君子) ได้แก่ ดอกกล้วยไม้ ดอกเหมย ดอกเบญจมาศ และต้นไผ่น้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้สุขุมสมวัยดังมาจากด้านหลังของหานฉงหรง เมื่อชายหนุ่มเงยหน้ามองก็เห็นว่าเป็นบุคคลที่คุ้นเคย“...หานปั๋วซื่อ”“เมื่อครู่กระหม่อมเห็นท่านเหวินซิ่วกำลังตามหาตัวrพระองค์ดูร้อนรนอย่างยิ่ง ท่าทางจะมีเรื่องสำคัญต้องการรายงาน กระหม่อมคิดว่าพระองค์รีบเสด็จไปพบเขาเถิดพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นหานเซี่ยงอวิ๋นจึงหันไปเอ่ยกับบุตรสาวที่ยังตกตะลึงไม่หาย “หรงเอ๋อร์ พวกเราเข้าบ้านกันเถิด อย่ารบกวนท่านอ๋องอีกเลย” แล้วจึงจับจูงมือของหานฉงหรงเข้าไปในเรือนโดยไม่รอให้นางตอบรับอวิ๋นรุ่นนั่งอยู่ที่ศาลาน้อยอยู่ครู่หนึ่ง จึงเห็นเหวินซิ่วกำลังเดินมาหาเขาด้วยท่าทางประหลาดใจ “ท่านอ๋อง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่เล่าพ่ะย่ะค่ะ”“...” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบเขา เพียงเงยหน้ามองคนสนิทของตนพลางเอ่ย “ไม่ใช่ว่าเจ้ามีรายงานด่วนต้องรายงานข้าทันทีเลยตามหาข้าเสียให้วุ่นหรอกหรือ”เหวินซิ่วกลับทำหน้าเหมือนได้ยินเรื่องพึลึกพิลั่น “วันนี้เป็นวันหยุดของหน่วยงานต่างๆ กระหม่อมจะมีเรื่องอันใดต้องรีบรายงานพระองค์ล่ะพ่ะย่ะค่ะ ช่วงนี้จึงว่างอย่างยิ่ง ตั้งใจว่าจะไปหาซื้อปูขนสดๆ มาให้ห้องครัวต้มเป็นมื้อเย็นสักหน่อย ช่วงสารทฤดูเช่นนี้ทั
หานลู่สนทนากับหานฉงหรงต่อจากนั้นอีกครู่หนึ่งก็ผละไปหาหย่งเยี่ยที่กำลังเล่นว่าวอยู่บริเวณลานกว้าง ท่าทีสนุกสนานร่วมไปกับเด็กชายช่างผิดกับท่าทีเมื่อครู่ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ นางส่ายหน้า ก่อนกลับไปยังเรือนของตน หยิบเกาลัดกองใหญ่ที่ให้ข้ารับใช้เก็บมาสดๆ นำมาแกะเปลือกนอกต้มจนสุกแล้วค่อยแกะเยื่อเปลือกเพื่อทำเกาลัดเชื่อมเพิ่มเติมเกาลัดต้มสุกเปลือกนิ่มแกะได้ง่าย เพียงใช้มีดเล็กผ่าเล็กน้อยก็ได้เนื้อเกาลัดสีเหลืองอร่ามจำนวนหนึ่ง ขณะที่กำลังหยิบเกาลัดลูกใหม่มาปอก ก็เห็นมือข้างหนึ่งมาหยิบเกาลัดแกะเปลือกกินก่อนนั่งลงข้างๆ หานฉงหรงเอ่ยโดยไม่ได้หันมามอง “ท่านอ๋องเสวยเกาลัดเชื่อมมากขนาดนั้นแล้วยังมาเสวยเกาลัดนี้อีกหรือเพคะ”“ของในจวนข้า ข้าอยากกินเมื่อใดก็ย่อมได้” เขาว่าอย่างอวดดื้อถือดี และตอกย้ำความคิดนั้นด้วยการเอาเกาลัดเข้าปากอีกเม็ด นางทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ถ้าหานลู่ผู้นั้นมาเห็นท่าทีเยี่ยงอันธพาลน้อยของเขาในตอนนี้ยังจะชมชอบลงอีกหรือไม่ “องค์หญิงเสด็จกลับแล้วหรือเพคะ”อวิ๋นรุ่นพยักหน้า “กลับไปเสียได้ก็ดี”หานฉงหรงกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ อึดใจหนึ่งจึงถามต่อ “วันนี้ลมอันใดหอบนางมาเล่
หานฉงหรงเดินมาได้ระยะหนึ่งจึงเอ่ย “เวินหมัวมัว ข้าทำเกินไปหรือไม่”ถึงแม้นางจะไม่พอใจที่ถูกว่าร้ายลับหลัง ทว่าการตัดปลายลิ้นนั้นแม้ไม่ได้ทำให้เป็นใบ้ เพียงพูดจาอ้อแอ้ไม่ได้ศัพท์ แต่การเสนอโทษนี้ออกไปก็นับว่าเกินไปมากทีเดียว โดยเฉพาะอวิ๋นรุ่น อีกฝ่ายจะมองว่านางเหี้ยมโหดทำเกินกว่าเหตุหรือไม่เวินหมัวมัวส่ายหน้าน้อยๆ “คุณหนูไม่ต้องกังวล ฮวาหลันทำเรื่องสามหาวเช่นนี้กับท่านลับหลังนั้นมิใช่ครั้งแรก อีกทั้งมีความคิดไม่เหมาะไม่ควรกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องทรงทราบเรื่องนี้มาตลอด แต่ที่แล้วมาไม่ได้สั่งลงโทษเพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องนองเลือดในจวนโดยไม่จำเป็น แต่เรื่องในวันนี้นับว่าเป็นฟางเส้นสุดท้าย ลงโทษนางเช่นนี้นับว่าไม่เกินกว่าเหตุ ท่านอ๋องไม่ถือโทษท่านหรอกเจ้าค่ะ”หานฉงหรงเบิกตา ใบหน้าเป็นสีระเรื่อคล้ายเด็กน้อยที่ถูกผู้ใหญ่จับได้ว่าแอบกินขนมหวาน “ข้า...ข้าไม่ได้คิดเรื่องนั้น”เวินหมัวมัวยิ้มพลางถอนใจ “ที่ข้าน้อยมาอยู่ข้างกายท่านในวันนี้นอกจากจะลงโทษบ่าวโอหังผู้นั้นแล้ว ท่านอ๋องยังให้ข้าน้อยมาดูแลท่าน วันนี้องค์หญิงมาที่นี่โดยพาสาวงามมาด้วยถึงสองคน ถ้าไม่คิดจะมาระรานท่านเหมือนที่เคยทำ ก็คงเกี่ยวข้อ
ที่แท้เป็นเวินหมัวมัว แม่นมของอวิ๋นรุ่นที่อยู่ในจวนมานาน นับว่าเป็นคนเก่าคนแก่ผู้หนึ่ง ใบหน้าของนางเรียบเฉยดุจรูปปั้นขณะที่เอ่ยด้วยวาจาสั้นกระชับ “พวกเจ้าเป็นเพียงบ่าวมีสิทธิ์อันใดนินทาเจ้านายกัน ไปหาพ่อบ้านรับโทษเฆี่ยนคนละสิบทีเสีย”“เจ้าค่ะ” ทั้งสองรับคำด้วยใบหน้าซีดเผือด ทำท่าจะผละออกไปอย่างนอบน้อม ทว่าสายตาคมกริบพลันตวัดไปยังนางกำนัลปากแดงนางนั้น “ส่วนฮวาหลัน เจ้ามานี่”นางกำนัลปากแดงนามฮวาหลันห่อไหล่ทำตามอย่างว่าง่าย ท่าทางหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัด ไม่ทันที่จะกล่าวอันใด ฝ่ามือขาวเนียนของหมัวมัวผู้นั้นก็ตวัดใส่พวงแก้มใสทั้งซ้ายขวา การกระทำนั้นทั้งรวดเร็วทั้งดุดันจนไม่ทันตั้งตัว ไม่นานสองแก้มของนางกำนัลผู้นั้นก็แดงเถือก ซ้ำยังมีรอยเล็บจางๆ ที่เริ่มมีเลือดซึมออกมา พร้อมกับคำพูดของเวินหมัวมัวที่ยังเอ่ยด้วยวาจาเชือดเฉือน “ความเจ็บปวดตอนถูกโบยคราวที่แล้วมันมิได้ซึมลึกถึงนิสัยของเจ้าเลยใช่หรือไม่ บัดนี้จึงยังคงประทินโฉมฉูดฉาดอีกทั้งยังนินทาว่าร้ายผู้อื่น” นางว่าขณะเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วใช้นิ้วถูเช็ดไปที่ริมฝีปากของหญิงสาวแรงๆ “สีแดงเช่นนี้มีแต่ผู้สูงศักดิ์ที่สามารถใช้ได้เท่านั้น ข้ารับ
องค์หญิงเวินอี๋เสด็จมายังจวนเป่ยหนานแต่เช้าตรู่โดยมีเหล่านางกำนัล ข้ารับใช้ และพ่อบ้านแห่งจวนเป่ยหนานตั้งแถวต้อนรับอย่างสมเกียรติ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีท่าทีนบนอบเกินพอดีจนเกรงว่าจะหายใจแต่ล่ะครั้งก็ไม่กล้าหายใจแรงเสียด้วยซ้ำหานฉงหรงมองสตรีสูงศักดิ์ที่เยื้องกรายผ่านนางไปอย่างไม่คิดจะเหลือบแลนางแม้แต่น้อย องค์หญิงเวินอี๋ยังคงเป็นองค์หญิงเวินอี๋ที่ชวนให้ผู้คนหมั่นไส้ชิงชังไม่เปลี่ยนโดยที่บาดแผลกลางหลังไม่ได้ช่วยทำให้นางสงบเสงี่ยมมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งหานฉงหรงเองก็มิได้สะทกสะท้าน อีกฝ่ายไม่อยากมองนาง นางเองก็มิได้อย่างจะเปลืองสายตามองเช่นกันแน่นอนว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาของหานฉงหรงมิใช่องค์หญิงที่แสนเย่อหยิ่งผู้นั้น กลับเป็นคุณหนูตระกูลผู้ดีที่ติดตามนางมาต่างหากผู้หนึ่งใบหน้ารูปหัวใจ องคาพยพทั้งห้างามล้ำจนเรียกได้ว่าเป็นโฉมสะคราญ รูปร่างบอบบาง สวมเสื้อผ้าที่ตัดจากผ้าไหมหยุนจิ่น [2] อันเลอค่าของซูโจว ซึ่งผ้าไหมหยุนจิ่นมีกรรมวิธีที่ซับซ้อน แต่ละปีผลิตได้ไม่ถึงร้อยพับ จึงมักถูกส่งเป็นของบรรณาการให้กับทางราชสำนัก แสดงให้เห็นว่าสตรีนางนั้นมีฐานะไม่ธรรมดา ส่วนอีกคนหนึ่งมีใบหน้ารูปหัวใจ หน้าตา
หานฉงหรงก้าวเร็วๆ เพื่อให้ถึงห้องส่วนตัวก่อนที่น้ำค้างที่เกาะตามกลีบดอกไม้จะระเหยเหิดจนสุราเสียรสชาติ นางวางดอกไม้ก่อนคว้ากรรไกรมาตัดกิ่งและริดกลีบเลี้ยงจนเหลือเพียงดอกสีเหลืองเกลี้ยงเกลา ซึ่งทุกอย่างต้องทำอย่างรวดเร็วเพื่อแข่งกับเวลา ทว่านางตัดไปได้เพียงครึ่งหนึ่งก็วางกรรไกรลงก่อนยกมือปิดหน้าเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำดั่งแต้มชาด จนเสี่ยวมี่ที่กำลังดับเทียนเมื่อเห็นว่าท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้วเอ่ยถาม “พี่สาว ท่านไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ หน้าของท่านแดงมากเลย”หญิงสาวเอาหลังมือแตะแก้มของตนเองก่อนยิ้มบาง “พี่สาวไปเก็บดอกไม้ตั้งแต่เช้ามืด คงต้องน้ำค้างกลับมาจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายเล็กน้อยเท่านั้น”“เช่นนั้นให้ข้าไปบอกท่านหมอฟู่ดีหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถึงหมอที่ประจำอยู่ที่จวนเป่ยหนานทำหน้าที่รักษาทุกคนในจวนโดยไม่แบ่งแยก“ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวหมักเหล้าเบญจมาศนี้เสร็จก็ว่าจะนอนพักสักครู่ แล้วค่อยไปทำเกาลัดเชื่อมของโปรดของพวกเจ้า”เสี่ยวมี่พยักหน้า เช่นนั้นข้าช่วยท่านตัดดอกไม้นะเจ้าคะ” ว่าพลางจะหยิบกรรไกรที่บนโต๊ะมา ทว่าหานฉงหรงกลับจับมือนางไว้เอ่ยเสียงนุ่ม “เดี๋ยวทางนี้ข้าจัดการเอง เจ้าไปบอกพ่อบ้านให้