“ข้านึกว่าเจ้าอยากแต่งกับลูกสาวบัณฑิตเว่ยเสียอีก”
ฮ่องเต้นึกถึงเมื่อสิบสองปีก่อน โอรสของเขามักฝากสิ่งของกับเว่ยจิ้นหงผู้เป็นอาจารย์สอนตำราไปให้เว่ยซินเอ๋อร์อยู่บ่อยครั้ง จนเขาเตรียมราชโองการหมั้นหมายของเด็กทั้งสองไว้แล้ว ทว่ายังไม่ทันได้ประกาศออกไป กลับมีเรื่องของหรงเยว่เกิดขึ้นเสียก่อน
หยางเฉิงนิ่งงันเมื่อผู้เป็นบิดาเอ่ยถึงสตรีอันเป็นที่รัก แววตาเย็นชาวูบไหวอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับมานิ่งสงบดั่งเดิม
“นางหมั้นหมายแล้ว คุณชายใหญ่จวนแม่ทัพมู่ก็องอาจ สง่าผ่าเผย ไม่มีเหตุผลใดจะต้องไปทำลายพวกเขา”
“เช่นนั้นการแต่งงานของเจ้าก็เพื่อทำลาย?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงตอบคำถามโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ คล้ายกับการแต่งงานไม่ได้มีผลอันใดกับเขาแม้แต่น้อย
“หลานสาวเจ้ากรมคลังมีถึงสองคน เจ้าหวังคนใดเล่า?”
ฮ่องเต้เพิ่งนึกได้ว่าโอรสเบื้องหน้ายังไม่ได้เอ่ยถึงชื่อนางสตรีที่ต้องการอภิเษกเสียด้วยซ้ำ
“คนใดก็สุดแล้วแต่เจ้ากรมคลังจะเสียสละเถิดพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่กระหม่อมต้องการไม่ใช่ตัวพระชายา” หยางเฉิงเอ่ยตอบพลางมองไปยังป้ายวิญญาณของมารดา
“หึ! เจ้าคงไม่ใช่อยากให้เรือนเล็กกับเรือนใหญ่ของเจ้ากรมคลังผิดใจกันหรอกนะ”
“นั่นคือสิ่งที่กระหม่อมต้องการพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงตอบโดยไม่ต้องไตร่ตรอง ใครบ้างไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยเป็นธิดาเจ้ากรมคลังกับฮูหยินเอก ทว่าบุตรชายของเขากับฮูหยินเอกอย่างหลินฮัวเต๋อ กลับเป็นเพียงขุนนางขั้นสามในกรมวัง ทว่าหลินซือหาน บุตรชายคนรองของเจ้ากรมคลังกับฮูหยินรอง กลับเป็นถึงรองเจ้ากรมอาญา เช่นนี้เพื่อหลานสาวเรือนใหญ่กับเรือนรองคงต้องห้ำหั่นไม่น้อย
“ได้! เตรียมจวนของเจ้าให้พร้อมเถอะ”
ฮ่องเต้เทียนอี้ตรัสทิ้งท้ายก่อนหมุนกายออกจากตำหนักเยว่ฮวา
รุ่งเช้าในจวนตระกูลซู โลงศพของฮูหยินเอก รองเจ้ากรมโยธาถูกวางบนรถลากออกนอกจวน เบื้องหน้าบ่าวไพร่ถือธงผ้าและโปรยเงินกระดาษไปตลอดทาง อวี้หนิงในชุดป่านสีขาวไว้ทุกข์กอดป้ายวิญญาณมารดาไว้แน่น ดวงตายังจ้องมองแผ่นหลังของผู้เป็นบิดาที่เดินอยู่เบื้องหน้า ตั้งแต่วันที่มารดาจากไปจนถึงวันนี้ นี่คือครั้งแรกที่บิดามาแสดงออกว่าเสียใจที่มารดาของนางจากไป ทว่าการส่งฮูหยินเอกครั้งนี้กลับไร้เงาของอี้เหนียงอย่างหลินซือเหยียนและซูเจินหยู น้องสาวต่างมารดาของนาง แม้แต่อนุคนอื่น ๆ ยังอ้างว่าล้มป่วย ส่งเพียงน้อง ๆ ของนางมาร่วมพิธีเท่านั้น เมื่อครั้งที่ตระกูลเหรินยังเป็นอ๋องต่างแซ่กับฮ่องเต้ สองแม่ลูกนั้นคอยอยู่ข้างกายมารดาไม่ห่าง จนมารดาของนางรักใคร่เจินหยูไม่ต่างจากบุตรสาวตัวเอง ไม่ต้องเอ่ยถึงบ้านเล็กอื่น ๆ ของบิดาที่เคารพมารดาของนางเสียยิ่งกว่าเคารพแม่สามีเสียอีก ทว่าพอเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ อวี้หนิงก็ได้แต่หัวเราะให้กับโชคชะตา
“คุณหนู! เป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยที่คอยประคองอยู่ด้านข้างเห็นรอยยิ้มขบขันของอวี้หนิงก็ตกใจ เกรงคุณหนูของตนจะเสียสติไปเสียแล้ว ถึงได้ขบขันในเวลาเช่นนี้ได้
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงขบขันที่ตนเองโง่เขลา ดูจิตใจผู้อื่นไม่ออกมาเนิ่นนานก็เท่านั้น”
ใบหน้าที่ยังเปื้อนยิ้ม ทว่าดวงตากลับร้องไห้นั้นยังคงจ้องมองบิดาของตนอยู่เงียบ ๆ
ตลอดเส้นทางออกนอกเมือง ผู้คนที่พบเห็นขบวนศพฮูหยินของตระกูลซูต่างยกย่องซูจิ้งซวนไม่ขาดปาก
“ใต้เท้าซูช่างรักมั่น ดูเถิดใบหน้าเขาเศร้าหมองเพียงใด”
“ข้าได้ยินว่าเขาล้มป่วยอยู่หลายวันเชียว บุรุษเช่นนี้หายากยิ่ง”
อวี้หนิงที่ได้ยิน ได้แต่เหยียดยิ้มด้วยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา นางปวดใจแทนมารดาผู้ล่วงลับที่รักมั่นเพียงบิดาผู้เดียว แต่ก่อนนางชื่นชมบิดาสุดหัวใจ ถึงเขาจะมีอนุถึงสี่คน ทว่านั่นก็เพราะมารดาของนางไม่อาจมีบุตรชายให้ท่านพ่อได้ ด้วยร่างกายที่อ่อนแอแต่ไหนแต่ไร แต่ถึงอย่างนั้นท่านพ่อมักมาหาท่านแม่ของนางอยู่เสมอ เช่นนี้นางจึงเชื่อในความรักที่บิดามีให้มารดาเสมอมา
สุสานตระกูลซูอยู่ไม่ไกลจากนอกเมือง เมื่อรถลากหยุดลง เหล่าบ่าวไพร่ยังไม่ทันได้ยกโลงศพลง จิ้งซวนกลับขึ้นรถม้าที่หยุดรออยู่นอกสุสานเสียแล้ว
“ท่านพ่อจะไปที่ใดกัน?” อวี้หนิงเอ่ยถามบิดาที่เดินผ่านรถลากโลงศพไป ใบหน้างามเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ข้าจะกลับจวนก่อน เสร็จพิธีแล้วเจ้าก็รีบกลับ อย่าได้ให้มืดค่ำ”
จิ้งซวนเอ่ยโดยไม่หันหลังกลับมามอง ก่อนรถม้าจะเคลื่อนจากไป โดยมีสายตาของบ่าวไพร่หลายสิบคนมองนางสลับรถม้าที่เคลื่อนออกไป
อวี้หนิงหัวเราะเช่นคนเสียสติ พร้อมกับหยดน้ำอุ่นที่พรั่งพรูออกจากดวงตาคู่งามไม่หยุด จนบ่าวไพร่เริ่มกลัวกับท่าทีของนาง
“คุณหนู~”
เสี่ยวเหม่ยกอดร่างหญิงสาวไว้แน่น นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเสียใจมากเพียงใด ถึงได้แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาได้
“เสี่ยวเหม่ย ท่านพ่อเพียงแค่แสร้งทำเป็นรักท่านแม่ต่อหน้าชาวเมืองเท่านั้น พอไม่มีผู้ใดจ้องมอง เขาก็จากไปโดยไม่สนใจท่านแม่หรือข้าแม้แต่น้อย”
หญิงสาวที่เมื่อครู่ยังหัวเราะลั่น ตอนนี้กลับทรุดตัวลงร้องไห้ข้างรถลากโลงศพของมารดา
อวี้หนิงนั่งเหม่อลอยหน้าหลุมศพของมารดาผู้ล่วงลับเป็นเวลานาน โดยที่ไม่เอ่ยสิ่งใด ก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืน พลางหันมามองเสี่ยวเหม่ยที่นั่งอยู่ข้างกายนางไม่ห่าง
“เสี่ยวเหม่ย กลับกันเถอะ”
อวี้หนิงเอ่ยจบก็หมุนกายเดินขึ้นรถม้า โดยมีเสี่ยวเหม่ยคอยปรนนิบัติอยู่ด้านใน
“คุณหนู ต่อจากนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ”
อวี้หนิงได้แต่ส่ายหน้ากับสิ่งที่สาวใช้ถาม ตัวนางเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เสี่ยวเหม่ยเองที่เห็นสีหน้าคิดไม่ตกของเจ้านาย ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก
จวนตระกูลซู นักพรตกำลังทำพิธีขับไล่ดวงวิญญาณ โดยมีอี้เหนียงอย่างหลินซือเหยียนเป็นผู้เชิญมา ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างซูจือเหลียงพนมมือเดินตามหลังนักพรตอย่างหวาดกลัว โดยมีอี้เหนียงคนอื่น ๆ ยืนอยู่ด้านหลังแม่สามี นับตั้งแต่ลูกสะใภ้สิ้นใจ ฮูหยินเฒ่าก็ฝันร้ายอยู่ทุกคืน บางครั้งก็ได้ยินเสียงของเหรินเยว่หลิงเรียกนางอยู่บ่อย ๆ
“พวกท่านทำอันใดกัน!”
อวี้หนิงที่กลับมาถึงเรือนของตนขมวดคิ้วแน่น เมื่อเห็นนักพรตกำลังร่ายคาถา พลางรื้อข้าวของของนางกระจัดกระจาย โดยมีอนุของบิดาและท่านย่าของตนยืนมองโดยไม่คิดห้ามปราม
“คุณหนูผู้นี้มีวิญญาณวนเวียนอยู่ไม่ห่าง หากนางยังอยู่ในจวน วิญญาณร้ายก็จะไม่ยอมไปไหน!” นักพรตหญิงชี้มือสั่นเทามายังอวี้หนิง
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นยิ่งนึกกลัว รีบเอ่ยขอทางแก้จากนักพรตในทันที
“ให้นางรีบแต่งออกจากจวนไปเสีย ไม่เช่นนั้นตระกูลท่านต้องถึงจุดจบแน่!”
นักพรตเอ่ยจบก็ให้ยันต์คุ้มกายกับฮูหยินเฒ่าก่อนออกจากจวนไป
อวี้หนิงยังคงยืนนิ่งสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น นางไม่รู้ว่าที่นักพรตเอ่ยมานั้นจริงหรือไม่
“ซือเหยียน พรุ่งนี้เจ้าให้คนมาเก็บของของนางให้เรียบร้อย ข้าจะให้จิ้งซวนเร่งตระกูลกั๋วกงมาสู่ขอ หากทางนั้นไม่ต้องการนางแล้ว ก็ส่งให้ตระกูลอื่น หรือไม่ก็แต่งเป็นอนุของเรือนใดก็ได้ อย่างไรเสียนางต้องรีบออกจากตระกูลของข้าโดยเร็ว” ฮูหยินเฒ่ากำชับกับอี้เหนียงก่อนรีบเดินเลี่ยงหลานสาวของตนไป
ซือเหยียนมองสตรีเบื้องหน้าก่อนจะเหยียดยิ้มพอใจ
“อวี้หนิง เจ้าคงได้ยินที่ท่านย่าพูดแล้ว นางไม่ได้ต้องการเจ้าแล้ว บิดาเจ้ายิ่งแล้วใหญ่ แม้แต่เอ่ยลาฮูหยินของตนยังไม่ทำ วันนี้เจ้าก็พักผ่อนให้ดีเถิด วันพรุ่งไม่แน่... เจ้าอาจจะต้องกลายเป็นอนุของชายแก่สักเรือนในเมืองฉางเล่อนี้ก็เป็นได้”
ซือเหยียนเอ่ยจบก็เดินจากไปอย่างอารมณ์ดี โดยที่อวี้หนิงไม่คิดตอบโต้ใด ๆ
“คุณหนู! จะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ หลินอี้เหนียงต้องกลั่นแกล้งท่านแน่ เราไปขอความเป็นธรรมกับนายท่านดีหรือไม่” เสี่ยวเหม่ยร้อนใจแทนเจ้านาย
“หึ! หากท่านพ่อห่วงใยข้า คงไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้แต่แรก เขาเองก็คงอยากกำจัดข้าออกจากจวนไม่ต่างกัน”
“แล้วเช่นนี้จะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ” ยิ่งฟังอวี้หนิงเอ่ย เสี่ยวเหม่ยก็ยิ่งเป็นห่วงนางมากขึ้น
อวี้หนิงหยุดคิดชั่วครู่ ก่อนหันมาจ้องมองสาวใช้ข้างกายเพื่อขอความเห็น
“เสี่ยวเหม่ย เจ้าว่าข้าควรบอกเรื่องนี้กับฉู่อ๋องดีหรือไม่”
“ดีสิเจ้าคะ! ท่านอ๋องสามต้องช่วยคุณหนูได้แน่” เสี่ยวเหม่ยยิ้มกว้างให้กับอีกฝ่าย
“เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะบอกกับฉู่อ๋อง เจ้าไปเตรียมอาหารให้มากหน่อย และผ้าคลุมสักหลายผืน ท่านตากับท่านยายคงไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอุ่นนัก”
เสี่ยวเหม่ยรับคำของอวี้หนิงก่อนรีบกุลีกุจอทำงานตามคำสั่ง
ต้นยามซวี อวี้หนิงที่ร้อนใจจึงออกไปรอเยว่ซิงหน้าประตูจวน ดีที่คืนนี้หิมะไม่ตก อากาศด้านนอกจึงไม่หนาวนัก ทว่าผ่านไปหนึ่งชั่วยามชั่วยาม บุรุษที่นางรอกลับไม่ได้มาตามสัญญา
หญิงสาวนั่งลงที่บันไดจวน ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความหวังยังคงจดจ้องตามเส้นทางไปตำหนักฉู่อ๋อง ทว่าจนแล้วจนรอดกลับไม่มีรถม้าสักคันที่วิ่งผ่านทางมา
“คุณหนู ท่านเข้าไปพักก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะอยู่เฝ้าให้เอง”
เสี่ยวเหม่ยเอ่ยเสียงเบา
“เขาต้องมาแน่ หากข้ากลับเข้าจวน เมื่อท่านอ๋องมาถึงแต่ไม่พบข้า เกรงว่าจะดูไม่เหมาะ” อวี้หนิงเอ่ยอย่างมีความหวัง
เสี่ยวเหม่ยมองเจ้านายที่นั่งหน้าประตูอย่างอดสงสารไม่ได้ ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าคลุมผืนหนามาห่มให้อวี้หนิง
“คุณหนู หากท่านอ๋องไม่มาเล่าเจ้าคะ?” เสียงของเสี่ยวเหม่ยแผ่วเบา พลางมองถนนสายยาวที่มืดมิดไร้แม้แต่เงาของรถม้า
อวี้หนิงยกมือขึ้นกุมผ้าคลุมที่เสี่ยวเหม่ยห่มให้นางไว้แน่น ดวงตาคู่งามที่เคยเต็มไปด้วยความหวังเริ่มมีแววหม่นหมอง
“เขาต้องมา... เยว่ซิงไม่มีทางผิดคำพูดกับข้า” เสียงของอวี้หนิงแผ่วเบาเช่นกัน ทว่าทุกถ้อยคำเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น
ทว่าเวลาเนิ่นนานผ่านไปจนใกล้เข้าสู่ยามจื่อ ราตรีที่เคยปลอดโปร่งกลับเริ่มมีเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาอีกครั้ง ท้องถนนหน้าจวนเงียบงัน มีเพียงแสงโคมริบหรี่จากสองฝั่งถนนและเสียงลมหนาวพัดผ่านต้นไม้ไปมา
เสี่ยวเหม่ยยืนกอดอก กัดริมฝีปากแน่น มองเจ้านายที่ยังคงไม่ยอมลุกจากบันไดหน้าจวน ทั้งที่ร่างบางนั้นเริ่มสั่นระริกเพราะไอหนาว
“คุณหนู... ท่านอ๋องอาจติดราชกิจ หากท่านไม่เข้าจวน เกรงว่าท่านจะป่วยเสียก่อน”
อวี้หนิงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ นางยังคงจ้องมองถนนว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างเงียบงัน
เสียงหิมะตกกระทบพื้นดังแผ่วเบา ดวงตาของอวี้หนิงรื้นด้วยหยาดน้ำตา ทว่าเจ้าตัวยังคงไม่ปริปาก นางเพียงหลุบตามองพื้น ก่อนจะพึมพำกับตนเอง
“หรือว่า… ข้าจะโง่เขลาอีกแล้ว?”
เสี่ยวเหม่ยได้ยินดังนั้น น้ำตาก็ไหลอาบแก้ม สาวใช้ตัวน้อยรีบทรุดตัวลงกอดร่างของอวี้หนิงเอาไว้แน่น
“คุณหนู ท่านยังมีบ่าวอยู่นะเจ้าคะ ฮูหยินก็กำลังมองคุณหนูอยู่บนฟ้า ท่านต้องอดทนไว้นะเจ้าคะ”
อวี้หนิงยกมือขึ้นลูบเรือนผมของเสี่ยวเหม่ยเบา ๆ ดวงตาเปียกชื้นทอดมองท้องฟ้ายามราตรีที่เกล็ดหิมะเริ่มตกหนาขึ้นอย่างเหม่อลอย
หลี่หยางกลับตำหนักเผิงซีด้วยความขุ่นเคือง แม้หนิงอวี่บอกว่านางต้องการอยู่ที่หออาลักษณ์เพื่อใช้ความสามารถของตน แต่เขามักรู้สึกว่านางจงใจหลบเลี่ยงเขาอยู่บ่อยครั้ง นั่นทำให้เขาไม่พอใจ “ยินดีกับองค์รัชทายาทเพคะ” ลู่เสียนกล่าวยินดีกับเขาทันที เมื่อเห็นหลี่หยางก้าวเข้ามาในห้องทรงอักษร “เจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไร” หลี่หยางขมวดคิ้วถามด้วยความไม่พอใจ ลู่เสียนในใจเขานับวันยิ่งแตกต่างจากสตรีที่เขาคอยปกป้องเมื่อครั้งที่อยู่ที่หอบุปผา “หม่อมฉันเห็นว่าห้องนี้ไม่ค่อยได้ทำความสะอาด จึงเข้ามาเช็ดถูให้เพคะ” รอยยิ้มบนใบหน้านางจางหายในทันที เมื่อสิ่งที่หลี่หยางตอบกลับมาไม่ใช่รอยยิ้มอย่างที่นางคิด “ช่างเถิด เจ้าไปเก็บของเถอะ รุ่งเช้า มามา จะพาเจ้าไปตำหนักของตัวเอง เจ้าจะได้มีอิสระในการทำสิ่งใดไม่ต้องคอยเกรงใจข้าอีก”ลู่เสียนหน้าชาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ถึงแม้คำพูดของหลี่หยางจะดูเป็นห่วงนาง แต่แท้จริงแล้วกลับต้องการไล่ให้นางออกไปเสียมากกว่า “หม่อมฉันรับบัญชาเพคะ” ลู่เสียนเดินออกจากห้องไป นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข
หนิงอวี่ยกหนังสือที่อยู่ในมือขวางการจ้องมองของหลี่หยาง นางมิอาจจะทนต่อการจ้องมองอย่างลึกซึ้งนั้นของเขาได้ “องค์ชาย นี่หออาลักษณ์โปรดสำรวมด้วย” หนิงอวี่ตำหนิหลี่หยางกลาย ๆ “เช่นนั้นกลับตำหนักเผิงซีเถอะ ข้าจะได้ไม่ต้องสำรวม”หลี่หยางกล่าวพลางดึงหนังสือให้มือของนางออก หนิงอวี่จ้องมองคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทำให้หลี่หยางยอมปล่อยนางอย่างว่าง่าย เกรงว่านางจะเคืองจนไม่กลับไปตำหนักกับเขาแต่โดยง่าย “องค์ชายโปรดอภัย หม่อมฉันไม่คิดจะกลับไปตำหนักเผิงซี” หนิงอวี่กล่าวในสิ่งที่เขาไม่อยากจะฟัง “เหตุใดไม่กลับไป? ตอนนี้ข้าก็สามารถปกป้องเจ้าได้แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใดอีก” แววตาของหลี่หยางเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “เหตุใดองค์ชายต้องปกป้องหม่อมฉันด้วย?” นางอยากรู้ว่าตนเองเป็นสิ่งใดในใจเขากัน “ข้า............” หลี่หยางนิ่งไปชั่วครู่ เขาไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไรกับนางดี นางสำคัญอย่างไรในใจเขากันแน่ “ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายของข้า” คำตอบของหลี่
หลี่หยางรู้สึกตัวขึ้นในยามเหม่า หนิงอวี่ยังคงหลับอยู่นางนั่งพิงอยู่กับเสาแท่นบรรทม โดยมีเขาหนุนตักของนางอยู่อย่างนั้น หลี่หยางจ้องมองใบหน้าขาวนวลนั้นอยู่นาน เขาอยากให้นางอยู่ข้าง ๆ เขาเช่นนี้ในทุกวันหลี่หยางช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะวางให้นางนอนบนแท่นบรรทมอย่างสบายตัว มือของเขาลูบไล้ใบหน้านางอยู่นาน สายตาที่จดจ่ออยู่กับริมฝีปากอิ่มสีทับทิมสุกนั้น ทำให้ความกระหายในกายของเขาเริ่มพลุ่งพล่าน จนหลี่หยางต้องรีบลุกออกจากเตียงในทันที “ถงอู่ให้องครักษ์เฝ้าห้องบรรทมไว้ ห้ามผู้ใดเข้าไปหากนางตื่นแล้ว ค่อยส่งนางกลับหออาลักษณ์” หลี่หยางไม่ต้องการให้ใครรบกวนการนอนของนาง หากเพียงผ่านวันนี้ไป หากเขาไม่สามารถรับกระบี่เทพได้ ตำแหน่งรัชทายาทก็ยังคงเป็นของเจี้ยนหยาง นั่นทำให้เขาไม่ใช่คู่แข่งอีกต่อไป หนิงอวี่ก็สามารถกลับมาอยู่ข้างกายเขาได้ หรือหากวันนี้เขารับกระบี่เทพได้ ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเขาอีก นั่นก็ทำให้นางอยู่ข้างกายเขาได้เช่นกัน เช่นนั้นแล้วขอเพียงผ่านวันนี้ไป เขาจะไม่ยอมปล่อยมือนางอีก................................พิธีบูชากระบี่เทพ เริ่มขึ้นตั้งแต่ยามเหม่าเหล่าขุนนาง
หนิงอวี่ยังคงทำหน้าที่เน่ยเหรินผู้ต่ำต้อยได้ดีเช่นทุกวัน พอนานวันเข้านางกำนัลคนอื่น ๆ ต่างเบื่อหน่ายที่จะกลั่นแกล้งนาง ด้วยนางไม่คิดตอบโต้ เป็นเหมือนแม่น้ำที่โยนสิ่งใดลงไปก็ได้แต่จมหาย การใช้ชีวิตในหอซักของหนิงอวี่จึงง่ายขึ้น “เน่ยเหรินหนิงอวี่ ฝ่าบาทเรียกพบที่ห้องทรงอักษร”ฝางกงกง ขันทีข้างกายฮ่องเต้ตามหานางด้วยท่าทีรีบร้อน หนิงอวี่ที่กำลังง่วนอยู่กับการซักอาภรณ์ของเหล่าราชวงศ์ เริ่มมีสีหน้ากังวล ‘เหตุใดจู่ ๆ ฮ่องเต้ถึงเรียกพบนางได้’ ถึงจะหวาดกลัว แต่หนิงอวี่ก็ยอมเดินตามฝางกงกงอย่างว่าง่าย “หม่อมฉันเว่ยหนิงอวี่ถวายพระพรฝ่าบาท” หนิงอวี่ ยอบกายถวายพระพรตามธรรมเนียม พลางสายตานางกลับมองเห็นองค์ชายเฟยหยางที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอักษร นางรู้ได้ทันทีว่าต้องเกี่ยวข้องกับบทความที่นางเขียนแน่ “เจ้าเป็นคนเขียนบทพรรณนาความงามให้องค์ชายเฟยหยางใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามโดยไม่แสดงอาการใด ๆ “เพคะ” หนิงอวี่ไม่คิดปิดบัง ด้วยฮ่องเต้ต้องซักถามองค์ชายเฟยหยางอย่างแน่ชัดแล้ว “เจ้าไปเรียนรู้การกล่าวพรรณนาเ
ถงอู่ที่มองเห็นแววตาเจ็บปวดของหลี่หยาง เขาเองไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นนาย “องค์ชายจะไม่บอกความจริงกับนางหรือพ่ะย่ะค่ะ” “นางอยู่ห่างจากข้า จึงจะปลอดภัย” หลี่หยางยังคงมองไปยังจุดที่นางจากไป แม้บัดนี้จะมองไม่เห็นนางแล้วก็ตาม “เหตุใดองค์ชายถึงทำเช่นนั้น” ถงอู่ยังคงไม่เข้าใจหากห่วงใยทำไมไม่เก็บไว้ข้างกาย “การชิงตำแหน่งรัชทายาท ต้องมีผู้ไม่หวังดีก่อความวุ่นวายแน่ หากนางยังอยู่ข้างข้าคนเหล่านั้นต้องใช้นางเป็นเครื่องต่อรอง เช่นนั้นนางจะตกอยู่ในอันตราย โดยข้าเองไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นมีกำลังมากเพียงใดจึงไม่กล้าดึงนางเข้ามาเสี่ยง” หลี่หยางที่แม้ไม่พอใจที่นางอยู่ใกล้ชิดกับไป๋มู่เฉิน แต่นั่นก็ใช่ว่าเขาจะโกรธจนขาดสติไม่รับฟังเหตุผลใด ๆ “เจ้าไปสืบมา เหตุการณ์ที่อุทยานเป็นฝีมือใคร” หลี่หยางเชื่อคำพูดของหนิงอวี่ตั้งแต่แรก หากแต่นั่นคือข้ออ้างที่ดีที่จะทำให้ผู้คนคิดว่าเขาทอดทิ้งนางแล้วจริง ๆ………………….หนิงอวี่กลับมายังหอซัก ภายใต้ความประหลาดใจของเน่ยเหรินที่อยู่ตรงนั้น หากแต่นางไม่สนสายตาของผู้ใด
ราชสำนักซู่หนานบัดนี้เกิดความโกลาหลไม่น้อย ด้วยเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในวันที่องค์ชายหลี่หยางดื่มยาถอนพิษหนิงเซี่ย ทำให้ฝนที่ไม่เคยตกลงผืนแผ่นดินแคว้นซู่หนานมานานถึงห้าปี กลับมาตกหนักอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน ขุนนางจึงแตกออกเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายองค์รัชทายาท และฝ่ายที่ต้องการให้แต่งตั้งองค์ชายหลี่หยางขึ้นเป็นรัชทายาทแทน ด้วยเป็นองค์ชายองค์โตและเป็นผู้นำสายฝนคืนสู่แคว้นอีกครั้ง “เช่นนั้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า พิธีบูชากระบี่เทพหากองค์ชายหลี่หยางสามารถครองกระบี่เทพได้ ข้าจะยกตำแหน่งรัชทายาทให้กับเขา” ฮ่องเต้ฉินหนานประกาศกลางท้องพระโรง ทำให้เหล่าขุนนางหยุดโต้แย้งกันลงได้..........................ข่าวแต่งตั้งรัชทายาทใหม่แพร่ไปยังหมู่นางกำนัลอย่างรวดเร็ว หลายคนต่างคาดหวังว่าหลี่หยางจะสามารถครองกระบี่เทพได้ ราษฎรจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยบัดนี้แคว้นซู่หนานแห้งแล้ง ราษฎรอดอยาก หากไม่มีกระบี่เทพคอยปกป้องเกรงว่าแคว้นซู่หนานจะล่มสลายไปนานแล้ว ความกดดันนี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของหลี่หยางไม่น้อย ด้วยเขาเองไม่ได้คิดอยากจะเป็นรัชทายาท ไม่ได้อยากครองกระบี่เทพเขาเพียงอ