“ทำไมข้าฟังที่ท่านพูดรู้เรื่อง เป็นไปได้ไง”
“ข้าเปิดลิ้นกับเปิดหูให้เจ้านั่นล่ะ แปลกนะปกติพวกที่มากับประตูนี่ จะฟังภาษาข้าออกทันที”
ดิสมัสได้ยินคำว่าประตูก็รีบพูดว่า
“เปิดประตูนั้นอีกครั้ง ข้าจะกลับไปช่วยพวกเขา”
“ข้าทำไม่ได้หรอก ข้าทำลายมันไปแล้ว เจ้าคงต้องไปหาประตูอื่นแทน”
ดิสมัสกำลังสู้กับเขาอีกครั้ง แต่เบต้ารีบห้าม
“เจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก ดิสมัส เขาจะฆ่าเจ้าได้ง่าย ๆ เลยนะแต่กลับไม่ทำ”
“ข้าถือศีลน่ะ แต่ถ้ายังคิดจะต่อสู้ ข้าคงจะต้องสาปเจ้าแล้วล่ะ” ชายห่มหนังเสือพูด
“ท่านเป็นใครกันแน่” ดิสมัสถาม
“ข้าเป็นฤาษี นามว่า ศุภมิตร แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร”
“ข้าชื่อ ดิสมัสเป็นเอลฟ์รานุน”
“เอลฟ์เหรอ ไม่เคยได้ยินชื่อเผ่านี้เลยนี่ เอาล่ะยังไงเจ้าพักผ่อนก่อนดีกว่า เจ็บหนักขนาดนั้นคงอยากได้อาหารและน้ำสินะ” ศุภมิตรเขาเสกกระท่อมขึ้นมา ดิสมัสมองอย่างไม่ไว้วางใจ แต่ศุภมิตรบอกว่า
“อย่าได้กังวล ข้าบอกแล้วไงข้าไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรอก”
ดิสมัสเลยเดินเข้าไป ศุกมิตรส่งกล้วยให้เครือหนึ่งพร้อมกับกระบอกน้ำแล้วพูดว่า
“มีแค่นี้กินซะก่อนเถอะ”
ดิสมัสรีบกินอาหารทันที
“ว่าแต่เจ้ามานี่ได้ไงกันล่ะ” ศุภมิตรถาม
“ข้าไม่รู้หรอก”
“มาแนวนี้อีกแล้วเหรอ คงไม่มีนักสิทธิ์ที่ไหน เรียกเจ้ามาแบบผิดพลาดอีกนะ” ศุภมิตรพูด ดิสมัสไม่ตอบเขาถามว่า
“ทำไมท่านต้องทำลายประตูนั่นด้วย”
“มันหน้าที่ข้าน่ะ เมื่อร้อยปีก่อน มีปีศาจตนหนึ่งนาม การอน นำทัพมานี่ และข้าได้อัญเชิญ อสูรสองตนมาช่วยปราบ และก่อนมันตาย มันร่ายคำสาปเอาไว้ว่า ให้เลือดของมันทุกหยอด กลายเป็นประตูมิติ เพื่อเรียกความน่ากลัวมายังที่นี่ ข้าเลยตามมาปิดประตูพวกนี้นี่ล่ะ ซึ่งไม่หมดซะทีแถมไม่อยู่ที่เดิมนาน ๆ ด้วย แต่น่าแปลกนะ อะไรที่ออกมาจากประตูนั่นมักไม่ได้กลับเข้าไปหรอก” ศุภมิตรตอบ ดิสมัสนิ่งไป เขาเลยถามว่า
“ที่นี่คือที่ไหนกัน”
“อ๋อ ที่นี่คือ อีสานบุระ เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ในมหาสุวรรณทวีป แต่ว่ามันตำบลอะไร ข้าไม่รู้หรอกนะ เพราะนี่มันกลางป่า เอาล่ะข้าต้องไปแล้วดิสมัส เจ้าจะตามข้าไปด้วยมั้ยล่ะ” ดิสมัสนิ่งคิดก่อนจะตอบว่า
“ไม่ล่ะ ข้าขอตัว ขอบคุณสำหรับอาหาร” ดิสมัสพูดจบก็รีบเดินออกไปทันที ถึงไม่รู้ว่าจะไปไหนก็ตามแต่เขาไม่อยากร่วมเดินทางกับศุภมิตร ศุกมิตรส่ายหัวแล้วพูดว่า
“ชะตาเปลี่ยนไม่ได้จริง ๆ นะ ถ้าเจ้าตามข้ามา เจ้าจะได้พบความสงบ แต่เมื่อเจ้าเลือกเดินทางไปเพียงลำพังเช่นนี้ทางที่รอเจ้าอยู่ไม่สวยงามแน่ ๆ เจ้าเอลฟ์หนุ่มเอ๊ย”
ดิสมัสเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อไปดี วันนี้เหมือนเขาเสียทุกอย่างไปในชั่วพริบตา
อีสานบุระเป็นดินแดนขนาดใหญ่ เพิ่งจะก่อนตั้งเมื่อราว ๆ แปดสิบปีก่อนเท่านั้น เป็นดินแดนที่ราบสูง ภูมิอากาศร้อนชื่นยังแบ่งเป็นหัวเมืองต่าง ๆ อีก 20 กว่าหัวเมือง โดยที่ดิสมัสอยู่นี้ เขาเรียกกันว่า ดงต้นติ้ว เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ประชาชนหลักร้อยเท่านั้น คนที่นี่ประกอบอาชีพทำนา เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เลี้ยงเป็ด ไก่ ไม่ก็หาของป่า จัดเป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบ มีผู้ใหญ่บ้านชื่อ ผู้ใหญ่ซอ
มีอาชีพหนึ่งที่จะได้รับการนับหน้าถือตาจากชาวบ้านมากเป็นพิเศษ คือ อาชีพ นายฮ้อย เป็นการเอานำวัวควายไปขายตามภูมิภาคต่าง ๆ ในมหาสุวรรณทวีป ลูกค้าหลัก ๆ จะอยู่แถบภาคกลางคือ อินทาเทพ และ พรพรหม เพราะที่นั้นปลูกกันมาก แต่ขาดวัวควายเอาไว้ไถนา การจะเป็นนายฮ้อยได้นั้นต้องมีความกล้าและเก่งกาจด้านคาถาอาคม เชิงอาวุธ เชิงมวยถึงจะรับหน้าที่นี้ได้ จึงเป็นที่นับหน้าถือตาพอสมควร คนดังประจำหมู่บ้านนี้คือ นายฮ้อยคำแหง เขาเป็นชายวัย 50 ปี รูปร่างกำยำล่ำสัน มีรอยสักบนตัวเป็นรูปพญานาคเจ็ดเศียร เชี่ยวชาญด้านมวยสยามว่ากันว่า เขาเคยเป็นทหารที่เมืองอินทาเทพมาก่อน จึงได้ฝึกมวยจนชำนาญ และมีเชิงดาบด้วย ด้านคาถาอาคมก็ไม่ได้เป็นรองใครเลย เขามีคนสนิทสามคนคือ บักมิ่ง เสือเผ่น บักจ้อย ลิงลม บักไปร่ง หุ่นพยนต์ นายฮ้อยคำแหงมีภรรยาชื่อ บานชื่น และมีลูกแฝดชายหญิงชื่อคำพูน กับ คำแพง ซึ่งตอนนี้อายุได้ 17 ปีแล้ว มีนายฮ้อยคำแหงเป็นที่มีแต่คนรัก ที่นี่ก็ยังมีอีกคนที่มีแต่คนเกลียด คือ หมอฆ้อง เป็นหมอผีอีกคนแต่หยกมุ่นกับมนตร์ดำจนชาวบ้านไม่ค่อยอยากไปยุ่งกับแก
คำพูนกับคำแพงพร้อมด้วยเพื่อน ๆ กำลังจะหนีแม่ไปเที่ยวในป่ากัน คำพูนเป็นเด็กหนุ่มผิวเข้ม หน้าเข้ม ส่วนคำแพงนั้นเป็นผู้หญิงรูปร่างเล็กกว่า หน้าตาหน้าน่ารักเหมือนตุ๊กตา ทั้งสองได้รับการฝึกเชิงมวยกับนายฮ้อยคำแหงมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ทำให้ไม่กลัวใคร โดยทั้งสองมีความฝันตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่าจะต้องร่วมทัพควายของนายฮ้อยคำแหงให้ได้แต่ว่า บานชื่นขอเอาไว้เพราะการร่วมทัพควายนั่นเป็นงานที่เสี่ยงมาก ช่วงนี้ชาวบ้านเจอกับซากสัตว์ป่าที่ถูกฆ่าตายในสภาพถูกควักเครื่องในบ่อย ๆ และบางครั้งผู้หญิงในหมู่บ้านก็หายไป พบอีกทีก็เป็นศพไปแล้ว ทำให้ลือกันว่าเป็นฝีมือของผีป่าบ้างผีปอบบ้าง ทำให้คำพูนและคำแพงคิดจะเข้าไปจับเจ้าผีตัวนี้ด้วยตัวเอง
“เอื้อย ๆ คึดดีแล้วบ่ เข้าป่า นายฮ้อยกะบอกอยู่ว่า มันเป็นตาย่าน หลาย ” บักโอ่ง เด็กหนุ่มร่างอ้วนพูดขึ้นมา กลุ่มของคำแพงนั้นมีบักโอ่งเด็กชายร่างอ้วน บักตาล เด็กหนุ่มร่างสูงโย่งจนเก้งก้าง ร่วมด้วย
“อย่าแม้แต่จะคิด” “อีหยัง ห้ามหมู่เฮาเฮ็ดหยัง ” คำแพงถามอย่างไม่พอใจนัก “อยากไปเจออีกฝูงหรือไง” ดิสมัสตอบ และทำให้เสือดำหายไป ยังไม่ทันไรชาวบ้านกลุ่มใหญ่นำโดย หมอฆ้องก็มาถึง เขาป็นชายร่างผอมสักทั้งตัว มีหนวดเคราเหมือนกับทองแดง “หมู่เฮา บักปอบด่อนที่ทิดลือปะเข้า จับโตนมันเลย” หมอฆ้องสั่ง ชาวบ้านมองดิสมิสอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “บ่แม่น เขาเพิ่งจะซอยชีวิตหมู่เฮาเอาไว้เด้” คำแพงพูด ทุกคนถึงกับชะงักไป “แม่น เจ้าดูซากศพก่อนสิ บักอั้นนี่ต่างหากที่เป็นผีร้าย” พวกชาวบ้านดูซากของพวกก็อปลิน แล้วก็ตกใจ เจ้าหมอฆ้องมองไปที่ร่างพวกนั้นและมองที่ดิสมัสแล้วพูดว่า “เบ่ง หูมัน ยื่น ๆ คือกัน ชัดแล้ว ไอ้นี่ต้องนายของบักผีห่านี่แน่” ไม่น่าเชื่อว่าชาวบ้านจะเชื่อคนง่ายขนาดนี้ คราวนี้พวกเขาเข้ามาหมายจะจับตัว ดิสมัสไม่อยากลงมือฆ่าใครเลย ใช้สันดาบฟันชาวบ้านล้มลงไปตัวงอหลายคน ฆ้องเอาเชือกออกมาเสกคาถาใส่และขว้างออกไป เชือกกลายเป็นงูมามัดร่างของดิสมัสเขายิ่งดิ้น เชือกก็ยิ่งมัดแน่น “ข่อยสิเอาเจ้า มาเป็นทาสของข่อย” “ใครจ
“บังอาจมาจับสาวน้อยน่ารักอย่างข้าได้ไงย่ะ ปล่อยนะ” เบต้าพูดแต่ขวดปิดอยู่ ทำให้ไม่ได้ยินเสียงที่นางพูด “ข่อยว่าบ่แม่นผีโขมดดอก อาจเป็นผีที่ใครเขาเลี้ยงก็ได้นะ” คำพูนพูด “ผีเลี้ยง ผู้ใดเนี่ยหรือจะเป็นของพ่อใหญ่ฆ้องกัน” โอ่งพูดขึ้นมา “บ่แม่นดอก พ่อเคยเว้าให้ฟังว่า ผีของพ่อใหญ่ฆ้อง จะมีหน้าเป็นตาย่านจนแทบจะบ่กล้าเบิ่ง แต่ดูเจ้าตัวนี้ ข่อยว่าหน้าตาน่าฮักหลาย ” คำพูนพูดขึ้นมา ทุกคนมองดู ก็เห็นจริงอย่างที่คำพูนพูด “ข่อยว่าน่าสิเป็นนางไม้กะได้” ตาลพูด ขณะที่กำลังสนใจกันอยู่ ก็เสียงแหลม ๆ ดังขึ้นมา พวกเด็ก ๆรีบมองดูรอบตัว เบต้าได้เห็นเจ้าของเสียงก็รีบร้องว่า “หนีไปเร็วเข้า” แต่ขวดเก็บเสียงของนางไปหมด นางจึงพยายามเปล่งแสง คำแพงเห็นจึงพูดขึ้นมาว่า “เหมือนมัน ย่านอีหยังอยู่เด้” สิ่งมีชีวิต ร่างสูงพอ ๆ กับเด็ก หูแหลม จมูกใหญ่ยื่น ตาเป็นสีเหลืองเหมือนกับตาของสัตว์เลื้อยคลาน ผิวสีแดงสดเหมือนเนื้อสด มีฟันแหลม และดูไม่ค่อยเป็นระเบียบเต็มปาก พวกมันคือ ก็อปลินที่ข้ามมาอยู่ที่นี่ตอนที่ประตูมิติเปิด จริง ๆ ถ้าเพียงตัวเดียว
“เอ็งจะย่านเฮ็ดหยัง มีเอื้อยอยู่ทั้งคน เอื้อยจะให้อีพ่อได้ฮู้ว่า เอื้อยเก่งพอที่จะเข่าร่วมทัพควยได้แล้ว” คำแพงพูด“แม่นคำแพงเว้าถูกแล้ว พวกเราใหญ่แล้ว ควรได้ร่วมทัพควย” คำพูนพูดทั้งสองตั้งใจจะเข้าป่าเพื่อที่ไปล่าผีด้วยหน้าไม้ของตน เพื่อให้พ่อเห็นว่าทั้งสองพร้อมร่วมทัพควายในการเดินทางคราวหน้า“เจ้าสองโตนบ่ย่านผีบ่ มื้อนี้ สัตว์เลี้ยงถูกฆ่ากิน เครื่องในดู๊ ๆ แถมมื้อก่อน ทิดลือก็เพิ่งเว้าว่า ปะผีปอบด่อนในป่าด้วย โอยแค่เว้าก็เป็นตาย่านแท้” บักตาลพูด“บักตาล เจ้านี่ตัวโตซื่อ ๆ แต่ขี้โย่ยโตยดัง” คำพูนว่า“เอ๊า ก็ข่อยบ่ได้อยากเข้าทัพควยนี่ แล้วพวกเจ้าสิลากข่อยสองคนมาเฮ็ดหยัง” ตาลพูด“ซอย ๆ กันหน่อย ได้บ่ รีบไปดีกว่า มัวเว้าอยู่ฮั่นแล้ว” คำแพงพูดทั้งสี่เดินทางเข้าไปในป่าทันที ดิสมัสแอบอยู่ในป่าเรียกว่าอยู่ไม่ค่อยเป็นที่จะถูกกว่า เขาพยายามอยู่ใกล้น้ำให้มากที่สุด และซ่อนตัวไม่ให้ใครเห็น ป่าที่นี่อุดมสมบูรณ์ทำให้เรื่องการหาอาหารเขาไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ ดิสมัสทำสลิงขึ้นมาสำหรับหาอาหารซึ่งจะเน้นไปที่นก ไก่ป่า ซึ่งการใช้สลิงนี่เขาเห็นมาจากเอลฟ์ฟอร์แคร์เลยลองหัดเอามาใช้ดูและมักถูกสองฝาแฝดพูดเสมอว่า
“ทำไมข้าฟังที่ท่านพูดรู้เรื่อง เป็นไปได้ไง” “ข้าเปิดลิ้นกับเปิดหูให้เจ้านั่นล่ะ แปลกนะปกติพวกที่มากับประตูนี่ จะฟังภาษาข้าออกทันที”ดิสมัสได้ยินคำว่าประตูก็รีบพูดว่า “เปิดประตูนั้นอีกครั้ง ข้าจะกลับไปช่วยพวกเขา” “ข้าทำไม่ได้หรอก ข้าทำลายมันไปแล้ว เจ้าคงต้องไปหาประตูอื่นแทน”ดิสมัสกำลังสู้กับเขาอีกครั้ง แต่เบต้ารีบห้าม “เจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก ดิสมัส เขาจะฆ่าเจ้าได้ง่าย ๆ เลยนะแต่กลับไม่ทำ” “ข้าถือศีลน่ะ แต่ถ้ายังคิดจะต่อสู้ ข้าคงจะต้องสาปเจ้าแล้วล่ะ” ชายห่มหนังเสือพูด “ท่านเป็นใครกันแน่” ดิสมัสถาม “ข้าเป็นฤาษี นามว่า ศุภมิตร แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร” “ข้าชื่อ ดิสมัสเป็นเอลฟ์รานุน” “เอลฟ์เหรอ ไม่เคยได้ยินชื่อเผ่านี้เลยนี่ เอาล่ะยังไงเจ้าพักผ่อนก่อนดีกว่า เจ็บหนักขนาดนั้นคงอยากได้อาหารและน้ำสินะ” ศุภมิตรเขาเสกกระท่อมขึ้นมา ดิสมัสมองอย่างไม่ไว้วางใจ แต่ศุภมิตรบอกว่า “อย่าได้กังวล ข้าบอกแล้วไงข้าไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรอก”ดิสมัสเลยเดินเข้าไป ศุกมิตรส่งกล้วยให้เครือหนึ่งพร้อมกับกระบ
“เบต้า” ดิสมัสเรียกเบต้าออกมา นางบินไปเกาะตัวของโลกิและรักษาให้“ต้องใช้เวลาหน่อย ที่เขาโดนเนี่ยหนักมากเลย” ยังไม่ทันไรก็เกิดฟ้าผ่าขึ้นมา ธอร์ และลูก ๆ ทั้งสี่ หาพวกเขาเจอแล้ว แต่ที่ทำให้ดิสมัสตะลึงคือดิดีเย่ร์ กับ ดาเมี่ยงตามมาด้วย ! ดิสมัสจับดาบตั้งท่าเตรียพร้อม เฮลเองก็เช่นกัน ที่มือของนางมีควันสีดำออกมา “นึกแล้วเชียวว่านางนี่ต้องหลอกพวกเรามาตลอด ว่าเป็นพวกขี้โรคใกล้ตาย ที่แท้ก็กดพลังตัวเองเอาไว้สินะ” ดิดิเย่ร์พูด เขาสร้างโกเล็ม จากดิน และทหารโครงกระดูกรอไว้แล้ว ดาเมี่ยงหันไปหาธอร์ “ให้พวกเราจัดการเองขอรับ” “ก็เอาสิ” ธอร์พูด เขาหันไปสั่งให้เพาเดอร์ตัดต้นไม้ ต้นหนึ่ง เพื่อมาทำเป็นที่นั่ง ชมการต่อสู้ “ท่านพี่ทั้งสอง ทำไมท่านเข้าร่วมกับพวกมัน มันฆ่าท่านพ่อและยังยึดบ้านเมืองเรา” ดิสมัสพูดเพื่อหวังเรียกสติพี่ชายทั้งสอง “หุบปากไปเลย ไอ้ตัวประหลาด แกนั่นล่ะทำให้ท่านพ่อกลายเป็นไอ้โง่ เสียสติไปแล้วด้วย เป็นแบบนั้นก็สู้ตายอย่างมีเกียรติยังจะดีซะกว่า แล้วแกน่ะ ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าพี่เลย แกมันความอัปยศที่ข้าจะต้องลบออกไปจ
“ท่านพ่อ” ดิสมัสมาถึงพอดี และกำลังจะเข้าไปต่อสู้ แต่ถูกบาลเดอร์ปล่อยพลังแสงใส่ ดิสมัสถึงกับเจ็บปวดจนลุกไม่ขึ้น เท่ากับว่าคนในราชวงศ์ถูกกำจัดในพริบตา “โอดินเสด็จ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา โอดินเดินมาพร้อมกับสามจิ้งจอก เขาเดินมาหาเทียรี่เอาเท้าเหยียบเข้าที่หัวขององค์ราชาและกดเท้าลงไปเป็นเครื่องหมายว่าตอนนี้เหล่าเอลฟ์รานุนได้แพ้แก่เขาแล้ว ลูก ๆ ทั้งสามของเทียรี่กัดฟันด้วยความโกรธแค้น และยังไม่ไรไทร์ก็เดินมาพร้อมกับ ลิซ่าและเฮล เมื่อทั้งสองเห็นหน้าของโอดินก็หน้าเสียทันที “ท่านแม่ อย่าทำอะไรแม่ข้านะ” ดิสมัสพูด โอดินหันมามองลิซ่า และหันไปมองเทียรี่กับดิสมัส “นี่ข้าได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย เจ้าเรียกไอ้นี่ว่าแม่เหรอ” โอดินพูด เทียรี่หันมาพูดว่า “นางเป็นเมียข้า ก็ต้องเป็นแม่ของลูกข้าสิ” โอดินหัวเราะเสียงดังเหมือนกับมีเรื่องตลกตรงหน้า แต่ลิซ่าหน้าซีดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เทียรี่ไม่เคยเห็นภรรยาหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน “นี่เจ้ารู้จักมันเหรอ หรือว่ามันเป็นสามีเก่าเจ้ากัน” โอดินหยุดหัวเราะแล้วแตะเข้าที่หน้าของเทียรี่อย่างแรง
ดิสมันเดินทางไปทันที “เจ้าเนี่ยทำไม ไม่บอกราชาเทียรี่ล่ะ เราโดนแกล้งชัด ๆ ” เบต้าบ่น “เจ้าคิดว่ามีเรื่องกับพี่ ๆ เขาแล้ว มันจะจบแบบไหนกัน ข้าน่ะทำได้แค่อดทนเท่านั้นล่ะ” ดิสมัสพูดตลอดทางดิสมัสรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะว่า เขาไม่เห็นร่องรอยของพวกโจรเลยแม้คนเดียว แต่ก็ยิ่งต้องตกใจเมื่อมาถึงเมือง พบว่าเมืองโดนถล่มไปแล้ว ดิสมัสรีบสั่งให้ตรวจสอบทันที พบว่าไม่มีใครรอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว !“รีบกลับไปที่เมืองหลวงเร็ว” ดิสมัสสั่งก่อนไปเขาร่ายมนตร์สร้างกองทัพโครงกระดูกจากทุกศพที่เห็นที่เมืองหลวงยออาน เหล่านักรบโจมตีโดยที่ไม่มีใครคาดถึง แต่กระนั้นเหล่าเอลฟ์นรานุนก็ต่อสู้อย่างกล้าหาญ โดยดาเมี่ยงกับดิดิเย่ร์เป็นคนนำทัพมาเอง ขณะที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นก็ร่างของทหารกระเด็นมา“ทำไมท่านพ่อต้องให้นำทัพมารบกับพวกนี้ด้วยนะ งานแบบนี้มันของไอ้อ้วนธอร์ไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่ม ผมสั้นสีทอง ตาสีฟ้า ใบหน้างดงาม จนแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นบุรุษเพศ รูปร่างของเขาดูไม่เหมือนนักรบเลยนักนิดแต่เหมือนกับพวกกวี หรือ หนุ่มเจ้าชู้ซะมากกว่า ไม่รู้ทำไม สองแฝดรู้สึกถึงพลังที่แผ่ออกมา ทำให้พวกเขาขนลุก“ฝาแฝดเหรอ ข้าจะเกลียดฝาแฝดท
เสียงสี่เสียงดังขึ้นมา เป็นผู้ชายสองคน และผู้หญิงหนึ่งคน และเอลฟ์อีกหนึ่งตน ชายคนแรกรูปร่างสูงใหญ่ผมยาวสีทอง ในมือถือขวาน เขาคือ โมดิ บุตรแห่งธอร์ อีกคนรูปร่างเตี้ยล่ำเป็นมะขามข้อเดียว ใช้ตะบองเป็นอาวุธ เขาคือ แม็กนี บุตรแห่งธอร์ สวนผู้หญิงในกลุ่มนั้น มีใบหน้างดงาม ผมสีแดง ถักเปีย มีรูปร่างกำยำล่ำสัน ใช้ดาบกับโล่เป็นอาวุธ นางคือ ทรุด บุตรีแห่งธอร์ส่วนเอลฟ์นั้นรูปร่างสูงโย่ง ผมสีแดง ผิวเข้ม ในมือถือดาบ เขาชื่อว่า เพาเดอร์ บุตรแห่งธอร์“หวังว่าข้าจะไม่เผลอฆ่าญาติของเจ้าไปนะ” แม็กนีพูด เพาเตอร์หันไปพูดว่า“ข้าไม่ใช่เอลฟ์แถวนี้”ทั้งสี่เข้าต่อสู้ทันที มารีสนำทหารเข้าต่อสู้ เขาเป่าขลุ่ยและมีแท่งน้ำแข็งพุ่งใส่พวกทหารผู้รุกราน ทำให้พวกมันต้องเริ่มถอยห่าง ส่วนอลิซซ่า เธอใช้คถาปล่อยพลังสายฟ้าใส่พวกทหารล้มตายไปจำนวนมาก แต่แล้วบุตรของธอร์ทั้งสี่ก็บุกเข้ามา และจัดการเหล่าเอลฟ์ได้ ทั้งหมด เมื่อ อลิซซ่าเห็นเพาเดอร์ก็พูดว่า“นี่เจ้าเป็นเอลฟ์เผ่าไหนกัน ทำไมถึงช่วยเผ่าอื่นโจมตีพวกเรา” “ข้าไม่ใช่เอลฟ์ที่นี่ ข้าขอจัดการพวกมันเอง พวกเจ้าอยู่เฉย ๆ นะ” เพาเดอร์พูด และควงดาบออกไป แล
“ข้าคิดว่า พวกเราสองดินแดนน่าจะร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน แลกเปลี่ยนทำการค้าด้วยกัน และยังสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยกันได้อีกด้วย” อสิซซ่าพูด“ตูไม่เห็นอยากจะได้ความรู้อะไรจากสูเลย” แคนนอร์สวน อลิซช่า ตั้งสติระงับอารมณ์โกรธและรีบพูดต่อไปว่า“พวกท่านกับข้ามีศัตรูคนเดียวก็สมควรแล้วล่ะที่จะต้องร่วมกันสู้กับพวกมัน”“นี่สูหาพวกตูจะสู้ ไอ้ตัวซีดนั่นไม่ได้หรือไงกัน !” แคนนอร์เริ่มหัวเสียแล้ว อลิซซ่ารีบพูดว่า“มิได้เป็นเช่นนั้น พวกเราต่างหากที่ต้องพึ่งความแข็งแกร่งของท่าน” อลิซซ่าพูด แคนนอร์ถามทันที“หมายความว่าอะไร”“พวกเราไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนท่าน จึงต้องให้ท่านช่วยเหลือ เราถึงจะต่อสู้กับพวกรานุนได้” อลิซซ่าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แคนนอร์เริ่มมีทางทีที่อ่อนลง อลิซซ่าส่งสัญญาณ มารีสเป่าขลุ่ยนักดนตรีคนอื่นเริ่มเล่นเครื่องดนตรีของตนด้วยทำนองเพลงที่เป็นจังหวะเพลงช้า อลิซซ่าเป็นคนร้อง เสียงของนางไพเราะจับใจมาก จนทำให้แคนนอร์เริ่มที่จะเคลิ้ม แต่เพลงก็เริ่มที่มีจังหวะสนุกสนานขึ้น อลิซซ่าเริ่มร้ายรำด้วยลีลาสวยงามและอ่อนช้อย หลังเพลงจบ แคนนอร์ตบมือให้ด้วยความชื่นชม“เยี่ยมมาก ตูตกลงที่จะเป็นพันธมิตรกั