ตอนออกจากวัง ไทเฮาทรงให้ฝูกงกงส่งนางออกจากตำหนักฉือหนิง ซ่งซีซีฉวยโอกาสนั้นยัดซองจดหมายให้ฝูกงกง “รบกวนกงกงมอบถวายแด่ไทเฮาด้วยเจ้าค่ะ”ฝูกงกงชะงักเล็กน้อย “เหตุใดแม่นางซ่งถึงไม่ถวายต่อหน้าเมื่อครู่นี้เล่า?”ซ่งซีซีพยุงมารดา เดินไปพลางกล่าวว่า “เป็นถ้อยคำขอบพระทัยไทเฮาเจ้าค่ะ ข้าพูดไม่เก่ง เอ่ยออกไปไม่ได้จึงได้เขียนไว้แทนใจเจ้าค่ะ”ฝูกงกงหัวเราะเบาๆ “อย่างนั้นเองหรือ เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะรับไว้แล้วนำไปถวายให้”ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนั้น ซ่งซีซีก็ออกเดินทางไปชายแดนเฉิงหลิงพร้อมกุ้นเอ่อร์และเป่าจู ก่อนออกเดินทาง นางยังส่งจดหมายไปถึงเสิ่นว่านจือและหมั่นโถวให้ตามไปที่ชายแดนเฉิงหลิงด้วยนางต้องไปถึงชายแดนเฉิงหลิงก่อนการศึกป้องกันเมืองจะเริ่มขึ้นจดหมายที่นางเขียนถึงไทเฮานั้น ไม่ใช่ถ้อยคำขอบพระทัย หากแต่เป็นการแจ้งว่า พี่สาวร่วมสำนักของนางที่ออกเดินทางร่อนเร่ไปทั่วชื่อศิษย์พี่ผิง พบว่าซีจิงกำลังต่อสู้กันเองอย่างหนัก และได้ยินว่าพวกเขาจะฉวยโอกาสในศึกครั้งนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไทเฮาปกติไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน แต่เมื่อเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ หากพระองค์ทรงเชื่อ ก็จะนำไปทูลหารือกับฮ
ก่อนจะเดินทางไปชายแดนเฉิงหลิง ซ่งซีซีอยากเข้าเฝ้าไทเฮาเพื่อขอถวายบังคมเสียก่อนนางอยากเข้าวังเฝ้าไทเฮามาโดยตลอด อยากพบกับสนมฮุ่ยไทเฟย หรือบางทีอาจเข้าพบฮ่องเต้ในชาติก่อน เมื่อตอนที่ไทเฮาและไทเฟยสิ้นพระชนม์ แม้พระชนมายุมากแล้ว แต่ความเป็นความตายก็ยังยากจะยอมรับ นางเศร้าเสียใจอยู่นานนักเดิมทีคิดว่านั่นคือการจากลาตลอดกาล คาดไม่ถึงว่าวันนี้ยังมีโอกาสได้พบหน้าอีกคราตอนนี้นางยังเป็นสาวในห้องหอ หากจะเข้าวังเฝ้า ก็ต้องให้นางพาแม่ไปด้วย และให้มารดานำบัตรขอเข้าเฝ้าไปถวาย หากไทเฮาโปรด ก็จึงจะได้เข้าวังนับแต่บิดาและพี่ชายสิ้นชีวิต มารดาก็ไม่เคยออกจากจวนเลย ครานี้ได้ออกมาเดินเล่น พบไทเฮาให้เบิกบานใจบ้าง ก็อาจจะดีต่ออาการป่วยของนางซ่งฮูหยินเดิมทีก็ไม่อยากไป ทว่าทนลูกสาวเซ้าซี้หลายครั้งก็จนใจต้องยอมตกลงเพราะดวงตาของนางทำให้เดินไม่สะดวก ตลอดทางที่เข้าวังจึงต้องให้ซ่งซีซีคอยพยุงทั้งสองเดินทางมาจนถึงตำหนักฉือหนิงฝูกงกงออกมาต้อนรับ พอเห็นซ่งฮูหยิน น้ำตาก็คลอหน่อยๆ ใช้พู่ปัดฝุ่นสะบัดหนึ่งที แล้ววางแขนขวาไว้ในอ้อมพับ “ท่านหญิงสบายดีหรือไม่”“กงกงมีน้ำใจ ข้าสบายดีทุกประการ” ซ่งฮูหยินกล่าวพ
ใช่แล้ว ต้องไปชายแดนเฉิงหลิงเพื่อขัดขวางการเข่นฆ่าล้างหมู่บ้านและการลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทซีจิงโดยยี่ฝางหนึ่งเพื่อแผ่นดิน สองเพื่อครอบครัวเมื่อคราองค์รัชทายาทซีจิงถูกลบหลู่จนต้องจบชีวิตตนเอง สายลับซีจิงที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงจึงบันดาลโทสะ สังหารล้างตระกูลซ่งทั้งตระกูลเพื่อระบายความแค้นการจัดตั้งองครักษ์นั้นเพื่อคุ้มกันครอบครัวและป้องกันเรื่องวุ่นวายที่ไม่จำเป็น ทว่าหากต้องการขจัดหายนะครั้งนั้น ก็จำต้องไปสกัดกั้นที่ต้นเหตุการแย่งชิงแนวเขตแดนระหว่างสองแผ่นดินย่อมต้องนำมาซึ่งสงครามครั้งใหญ่ นี่เป็นแผนการของพวกซูลันซือในซีจิง ซึ่งนางไม่อาจแทรกแซงการตัดสินใจของซีจิงได้ แต่ในเมื่อสงครามต้องเกิดขึ้น นางก็จะต้องพลิกสถานการณ์เสียใหม่ยิ่งกว่านั้น น้าเจ็ดสิ้นชีวิตในการศึกป้องกันเมือง นางก็หวังจะช่วยชีวิตน้าเจ็ด อีกทั้งลุงสามก็อาจไม่ต้องเสียแขนข้างหนึ่งเพื่อช่วยจ้านเป่ยว่างดังนั้น เมื่อจัดการกิจการในจวนเรียบร้อยแล้ว นางก็จะมุ่งหน้าไปยังชายแดนเฉิงหลิง โดยอ้างเหตุผลว่าไปเยี่ยมท่านตายามนี้สองแผ่นดินต่างเริ่มทดลองกำลังกันด้วยเรื่องแนวชายแดน สงครามใกล้ปะทุเต็มที ทว่าชายแดนเฉิงหลิงกลับ
ในจวนโหวเจิ้นเป่ย ซ่งซีซีจับมือมารดาไว้ไม่ยอมปล่อย แม้มารดาจะตำหนินางว่าเอาแต่ใจ นางกลับยิ้มทั้งน้ำตา ไม่เอ่ยวาจาโต้ตอบสักคำซ่งฮูหยินเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็อดหวาดหวั่นมิได้ เอื้อมมือแตะหน้าผากพลางกล่าวว่า “หรือว่าป่วยไปแล้ว? รีบไปเชิญหมอมหัศจรรย์ดันมาเถิด”พี่สะใภ้ทั้งหลายต่างก็กรูกันเข้ามา ถามไถ่สารพัดด้วยความเป็นห่วงบ่าวรับใช้ไปเชิญหมอมหัศจรรย์ดันมา ครั้นซ่งซีซีเห็นเขา นางก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางยังจำได้ดีว่าในปีที่หมอมหัศจรรย์ดันสิ้นชีวิต นางโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง และเป็นผู้จัดการงานศพของท่านด้วยตนเองตอนนี้นางแน่ใจแล้วว่าตนมิได้อยู่ในห้วงความฝัน นางได้กลับมาใช้ชีวิตอีกครา ย้อนกลับมายังช่วงเวลาก่อนออกเรือนมีหลายสิ่งที่นางสามารถเปลี่ยนแปลงได้ คิดถึงตรงนี้แล้ว นางก็ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งซ่งฮูหยินและบรรดาสะใภ้รุ่นเยาว์ทั้งหลายเห็นนางเป็นเช่นนี้ ต่างก็เข้าใจว่านางคลุ้มคลั่งไปแล้วหลังหมอมหัศจรรย์ดันตรวจอาการแล้ว ก็หันไปกล่าวกับซ่งฮูหยินว่า “คงเป็นเพราะการจากไปของเจิ้นกั๋วกงกับเหล่าแม่ทัพที่นางยังทำใจมิได้ จิตใจจึงสับสนชั่วคราว หากนางไม่ต้องการแต่งงาน ข้าคิดว่าฮูหยินค
ภายในโถงใหญ่ ซ่งฮูหยินนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ ข้างกายมีป้าแม่บ้านและสาวรับใช้ยืนอยู่ ส่วนบนเก้าอี้สองฝั่งก็มีสะใภ้ของตระกูลซ่งนั่งอยู่ด้วยแม่สื่อกับจ้านเป่ยว่างนั่งอยู่ปลายแถวฝั่งซ้าย ใบหน้าเขาแดงก่ำ รวบรวมความกล้าทั้งหมดเอ่ยว่า “ฮูหยินวางใจเถิด ผู้แซ่จ้านขอสาบานด้วยชีวิตชาตินี้จะมิรับอนุภรรยา และไม่มีวันทอดทิ้งแม่นางซ่ง”ซ่งฮูหยินยังมิทันตอบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังขึ้น นางในยามนี้ดวงตาเลือนลาง มองเห็นได้เพียงเงาลางๆ เท่านั้นบุรุษนางนั้นพุ่งเข้ามาอย่างรีบเร่ง โผเข้ากอดนาง พร้อมกับเสียงสะอื้นเบาๆ เอ่ยคำหนึ่งว่า “ท่านแม่...”ซ่งฮูหยินเจ็บจี๊ดที่อก ไม่ใส่ใจว่าจ้านเป่ยว่างหรือแม่สื่อยังอยู่ ยื่นมือขึ้นลูบศีรษะนางเบาๆ “ฝันร้ายอีกแล้วหรือ?”เรื่องที่บิดาและพี่ชายของนางตายในสนามรบ ตอนนั้นก็ปิดบังไว้ไม่ให้นางรู้จนกระทั่งนางกลับจากเขาเหมยซาน ถึงเพิ่งทราบความจริง ร้องไห้จนเป็นลมหลายครา จนบัดนี้ก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากความโศกเศร้าซ่งซีซีกอดมารดาคุกเข่าอยู่กับพื้น ต่อให้เป็นเพียงความฝัน นางก็ไม่มีวันปล่อยมือ“น้องเล็ก อย่าร้องไห้เลย” สะใภ้รองเดินเข้ามา เอ่ยปลอบเบาๆ “มีแขกอยู่นะ”ซ่ง
หยิบหีบเครื่องหอมนั่นออกมา ฉีกผนึกเปิดกล่องออก กลับเห็นว่าด้านในมีเพียงเม็ดยาหอมขนาดเท่าเมล็ดถั่วลิสงหนึ่งเม็ด“มีแค่เม็ดเดียวรึ?” เขานึกว่าในกล่องขนาดนั้นจะมีอยู่หลายเม็ด ที่ไหนได้กลับมีเพียงเม็ดเดียวเขาก้มมองตัวอักษรที่เขียนอยู่ก้นกล่อง แม้จะเลือนรางแต่สายตาเขายังดี มองออกว่าเป็นสี่อักษรว่า “จวงโจวเมิ่งเตี๋ย”จวงโจวฝันเป็นผีเสื้อ กลิ่นหอมฝันผีเสื้อ? ชื่อเช่นนี้ช่างลึกล้ำนักคิดแล้วคงทำให้ฝันดีได้จริงกระมังเขาเงยหน้ามองด้านบนของกล่อง ก็เห็นว่ามีตัวอักษรลายศิลป์แกะสลักอยู่หลายบรรทัด ตัวอักษรเล็กเท่ามด มองแทบไม่ออกว่าเขียนว่าอะไร เนี่ยเจิ้งอ๋องจึงมิได้ใส่ใจ ในเมื่อสองแคว้นเป่ยถังกับต้าซ่งมีสัมพันธ์อันดีมาโดยตลอด คงมิใช่ของที่จะให้โทษเป็นแน่นอกจากอักษรไม่กี่บรรทัดนั้นแล้ว ยังมีวงกลมวงหนึ่ง พูดให้ถูกคือ เป็นวงกลมใหญ่ที่ประกอบจากวงกลมเล็กนับไม่ถ้วนในวงกลมใหญ่มีวงกลมเล็กซ้อนอยู่ทีละชั้น ทีละชั้น ไม่รู้ว่ามีกี่ชั้นกันแน่ขณะจุดเครื่องหอม พระชายาเนี่ยเจิ้งอ๋องก็หลับไปแล้วเนี่ยเจิ้งอ๋องนอนอยู่ข้างกายนาง กลับมิได้กลิ่นหอมอันใด คิดว่าเครื่องหอมนั้นคงเก็บไว้นานเกินไป จึงมิได้ผลแล้ว