“ น่าขบขันนัก เจ้าช่างไม้ต่ำต้อย เงินสินสอดแค่หยิบมือ คิดจะมาสู่ขอบุตรสาวของขุนนางอย่างข้า คิดหรือว่าข้าจะยกหงลี่ให้กับเจ้า ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี คำสัญญาที่เจ้าบอกข้า มันจับต้องไม่ได้หรอกนะ เจ้าจะทำมันได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เจ้าคือช่างไม้รับจ้างที่ยากจน มีเพียงบ้านหลังเล็กๆ เอาไว้ซุกหัวนอนกับแม่ที่แก่ชราของเจ้า เพียงเท่านั้น ข้าไม่โง่เง่าพอที่จะยกบุตรสาวของข้าให้ไปตกระกำลำบากกับเจ้าหรอก เป็นการิอยากจะกินเนื้อหงส์ ช่างน่าขบขันนัก ”
ขุนนางหยูเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าทมึงถึงขัดกับคำพูดของเขาที่บอกว่าคำสัญญาของหลี่หมิงช่างน่าขบขัน เขากับฮูหยินจ้องมองช่างไม้หนุ่มกับมารดาด้วยสายตาดูแคลนไม่ปิดบังซักนิด
พวกเขาไม่ยอมเรียกบุตรสาวออกมาพบกับทั้งสองเลยด้วยซ้ำ “ แต่ข้ากับหงลี่เราได้เสียกันแล้ว หากท่านไม่ยอมให้นางแต่งงานกับข้าแล้วนางเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา จะทำเช่นไร ” ช่างไม้หนุ่มตัดสินใจใช่้ไม้ตายของเขาที่คิดว่าหากพูดออกไปแล้วพ่อตาแม่ยายอาจจะใจอ่อนยอมให้หงลี่กับเขาแต่งงานกันก็เป็นได้
“ หากนางตั้งครรภ์ข้าก็จะไม่เก็บเจ้าเด็กนั่นไว้ประจานสกุลของข้าหรอกนะ หรือไม่ข้าก็จะให้นางรีบแต่งงานออกไปให้เร็วที่สุด เพราะบุตรชายคหบดีเหยาก็ส่งคนมาสู่ขอนางแล้ว และข้าก็คงจะเลือกบุตรชายคหบดีที่ร่ำรวยมากในเมืองนี้มาเป็นบุตรเขยมากกว่าจะเลือกช่างไม้จนๆอย่างเจ้า
เอาละออกไปจากจวนของข้าได้แล้ว เดี๋ยวเกิดว่าที่บุตรเขยของข้ารู้เข้า หงลี่จะเสื่อมเสียไปเสียเปล่าๆ นางจะต้องเตรียมตัวแต่งงานในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว เจ้าพาแม่ของเจ้าออกไปจากจวนของข้า แล้วไม่ต้องกลับรับจ้างทำงานที่จวนของข้าอีก ข้าจะให้เจ้านายของเจ้าหาคนงานใหม่มาทำงานแทนเจ้า ชิ… เจ้าคนไม่เจียมตน "
แต่เมื่อซ่งหลี่หมิงดื้อดึงเพราะเขาไม่อยากให้หงลี่แต่งงานไปกับชายอื่น แม้มารดาจะห้ามปรามแต่เขาก็ไม่ฟัง ก็เพราะเกรงว่าจะสูญเสียคนรักที่กลายเป็นภรรยาของเขาแล้วไป นั่นทำให้ขุนนางหยูสั่งให้บ่าวชายในจวน รุมกันทุบตีเขา กระทืบเขาต่อหน้าต่อตาของทุกคนที่บริเวณหน้าเรือนหลักในจวนสกุลหยู
และเพียงไม่นานหงลี่ก็วิ่งออกมา แต่นางถูกสาวใช้สามคนช่วยกันจับเอาไว้ “ ปล่อยข้านะ ปล่อย อย่าทำพี่หลี่หมิงนะ อย่าทำเขา อย่านะ ” ท่านพ่อของนางเมื่อหันไปเห็นบุตรสาววิ่งมาห้ามปรามไม่ให้เขาทุบตีเจ้าคนไม่เจียมตัวคนนี้ เขาก็รีบเดินไปใกล้ๆบุตรสาวของตนเอง แล้วพูดด้วยเสียงเบาๆว่า
“ หงลี่ หากเจ้าไม่บอกให้เจ้าหมอนี่มันไปให้พ้นจวนของข้าข้าจะให้บ่าวรุมทุบตีมันให้พิการหรือไม่ก็ตายไปเลย บอกมันไปว่าเจ้าเลือกคุณชายเหยาและกำลังจะแต่งงานกับเขาในอีกสามวันนี้แล้ว บอกมันไป หากไม่อยากให้มันพิการหรือตายไปต่อหน้าของเจ้า ” ขุนนางหยูกระซิบบอกบุตรสาว
หงลี่ตกใจนัก นางหันไปมองคนรักของนางที่ถูกรุมกระทืบอยู่ตรงหน้าเรือนของบิดา เมื่อมองเห็นเลือดของเขาเริ่มออกมามากมาย และแม่ของเขาก็กำลังทรุดนั่งร้องไห้อยู่ไม่ไกลจากร่างของบุตรชายนัก นางไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากรีบตะโกนออกไปว่า
“ พี่หลี่หมิง ท่านพาท่านป้ากลับไปเสียเถิด ข้าไม่ได้รักท่านแล้ว ข้ากำลังจะแต่งงานกับคุณชายเหยา เพราะข้าพึงใจเขา และไม่ต้องการไปลำบากกับท่าน ข้าแค่หลอกท่านเล่นๆ แค่เห็นว่าท่านหล่อเหลาก็เลยหลอกให้รักเล่นๆ แต่คนที่ข้าจะร่วมชีวิตด้วยนั้นต้องมีฐานะที่ร่ำรวย ไม่ใช่คนจนๆ ไม่มีอะไรเลยอย่างท่าน กลับไปเสียเถิด และอย่ากลับมาที่นี่อีก ขอให้ลืมข้าเสีย ให้ถือเสียว่าเราไม่เคยพบกัน ” หงลี่ร้องตะโกนแม้น้ำตาของนางจะเอ่อคลอเต็มดวงตา
ด้านหลี่หมิงที่บัดนี้ บ่าวชายที่รุมล้อมเขาอยู่หยุดการทำร้ายเขาแล้ว เขานอนตะแคงตัวอยู่บนพื้นและแหงนหน้าขึ้นจ้องมองคนรักที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ที่บัดนี้สาวใช้สามนางก็ปล่อยแขนหงลี่แล้วเช่นกัน
หลี่หมิงเช็ดเลือดที่มุมปากแล้วก็ค่อยๆ ยันกายให้ลุกขึ้น เมื่อทรงตัวขึ้นได้แล้ว เขาหันไปมองหงลี่แล้วร้องถามว่า “ เจ้าพูดจริงหรือว่าเจ้าจะแต่งงานกับชายอื่น ทั้งๆที่เจ้าเป็นเมียของข้าแล้ว ” เขาถามย้ำกับนางเพื่อให้แน่ใจ
หงลี่ที่บัดนี้นางรีบเช็ดน้ำตาไปก่อนที่หลี่หมิงจะทันได้สังเกตุแล้วรีบพูดออกมาทันทีว่า “ ใช่ ข้าแค่หลอกท่านเล่น ไม่ได้คิดจะจริงจังสักหน่อย ท่านคิดไปเองว่าข้าเองก็รักท่าน ข้าจะบอกให้นะ ว่าข้าไม่ได้รักท่านหรอก ข้ารักเงินทองและบุรุษที่ข้าจะยอมร่วมชีวิตด้วยก็ต้องร่ำรวยเท่านั้น และคนอย่างข้ารักแต่ตัวเอง ไม่ใช่ชายใดทั้งนั้น
ท่านรู้ความจริงเช่นนี้แล้วก็รีบกลับไปเถิด แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก ” หงลี่พูดแล้วก็หันหลังเพราะนางเกรงว่าเขาจะเห็นน้ำตาที่กำลังจะไหลรินลงมาอีกครั้ง
หงลี่รีบก้าวเท้าออกไปจากที่นั่น แล้วมุ่งหน้าเดินกลับเรือนด้วยหัวใจที่แหลกสลาย นางรักพี่หลี่หมิง แต่นางมิอาจจะปล่อยให้ท่านพ่อทำร้ายเขาจนพิการหรือตายได้ นางรักเขามาก แต่ชะตาของเขากับนางคงมิอาจจะครองคู่ร่วมกันได้ นางรู้ว่าท่านพ่อเอาจริง เขาพูดจริง หากนางยังไม่ยอมหยุด นางเกรงว่าพี่หลี่หมิงจะเป็นอันตราย
หากเขายังอยู่ที่เมืองหนิงโจวนี้ เขาก็ไม่ควรเป็นศัตรูกับบิดาของนาง เพราะสำหรับชาวบ้านแถบนี้ ขุนนางยังคงเป็นคนใหญ่คนโตที่ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยว และนางก็รู้ว่าพี่หลี่หมิงกับท่านป้า แทบจะไม่มีญาติพี่น้องและพวกพ้องในเมืองนี้เลย เขาคงมิอาจจะต่อกรกับท่านพ่อของนางได้
นางเอ่ยคำร่ำลาเขาอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าหันกลับไปมองเขา นางทิ้งเขาเอาไว้ที่เบื้องหลังแล้วเดินจากมาพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งไหลไม่ขาดสาย ลาก่อนพี่หลี่หมิง ข้ารักท่าน……..
ท่านป้าซ่งประคองบุตรชายที่สะบักสะบอมเพราะถูกรุมทำร้ายในจวนของขุนนางที่ไร้เมตตาเช่นขุนนางหยู บิดาของสตรีแพศยานั่น ป้าซ่งเคียดแค้นนัก นังแพศยาร่านชาย ถึงขนาดยอมทอดกายให้หลี่หมิงเชยชม จนเขาหลงไหลมันแทบจะคลั่ง แต่แล้วมันก็ทอดทิ้งเขาไปแต่งงานกับคนร่ำรวย แน่ละ ฐานะของนางและบุตรชายยากจนนัก
หากเป็นเมื่อก่อน…….คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ ท่านป้าซ่งหยุดความคิดเอาไว้เพียงแค่นั้น แล้วพยายามประคองบุตรชายกลับบ้านไป
ไม่มีผู้ใดในเมืองหนิงโจวแห่งนี้รู้ที่มาที่ไปของนางกับบุตรชาย นางหนีมาซ่อนตัวอยู่ที่นอกเมืองหนิงโจวแห่งนี้ ไม่เคยปริปากบอกผู้ใดว่านางคือใคร มากจากที่ใด นางหอบหิ้วบุตรชายตัวเล็กมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ ก็เพราะสามีเสียชีวิตใช่…
สิ่งนั้นคือความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่นางบอกกับคนอื่นๆ แต่นางไม่เคยปริปากบอกใครว่านางคืออดีตฮองเฮาของแคว้นแห่งนี้ และซ่งหลี่หมิงที่ใครๆในเมืองนี้รู้จักก็คือ องค์รัชทายาท ที่จำเป็นต้องหนีมาลี้ภัยอยู่ที่บ้านนอกแห่งนี้ ก็เพราะว่าเกิดการก่อกบฎที่ในวังหลวง
เวลาผ่านไปหลายวัน ฮ่องเต้เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักกับสนมที่แสนจะต่ำต้อยนางนั้น ข่าวในวังหลังเล่าลือกันว่าทรงหลงไหลสนมนางนั้นอย่างมากมาย แม้นางจะไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีอำนาจใด ไม่มีครอบครัวหนุนหลัง ซ้ำครอบครัวเดิมที่มีบิดาเป็นเพียงขุนนางขั้นสามก็ถูกเนรเทศให้ออกจากแคว้นไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ฮ่องเต้กลับหลงไหลนาง ข่าวเล่าลือนี้แพร่สะพัดไปจนทั่ววังหลังและเหล่าชายาและสนมที่มีครอบครัวเดิมที่มีอำนาจหนุนหลังพวกนางก็ต่างร้อนอกร้อนใจมาก ต่างให้คนไปสืบข่าวว่าจริงหรือไม่ที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่เป็นสวามีของพวกนางเช่นกัน เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักกับสตรีต่ำต้อยที่มาจากบ้านนอกนั่น และเมื่อข่าวที่ส่งคนไปสืบมาและทราบว่าเป็นเรื่องจริง ต่างพากันประชุมลับเพื่อถกถึงปัญหาเรื่องนี้และพระชายาเหลียนหรูอี้ตัวตั้งตัวตีที่มีบิดาเป็นเสนาบดีใหญ่ที่มีอำนาจมากที่สุดในยุคนี้ ก็เอ่ยขึ้นว่า“ ทุกคนให้ใจเย็นๆ ก่อนเพราะนี่เพิ่งผ่านมาเพียงไม่กี่วัน สตรีต่ำต้อยที่เป็นเพียงสนมปลายแถวนั่น อาจจะถูกเขี่ยทิ้งเพราะเบื่อหน่ายนางก็เป็นได้ สนมใหม่ๆที่งดงามมากมายก็เพิ่งเข้ามาถวายตัวกันอีกหลายนาง ขอให้ทุกคนใจเย็นๆ ไว้ก่อน
“ หลี่หมิง ท่านปล่อยเขาได้หรือไม่ เขาไม่ใช่ชายชู้นะ ข้ากับเขาไม่ได้มีอะไรกัน ท่านทำอย่างนี้โหดร้ายมากเกินไปหรือไม่ ” นางพร่ำพูดกับเขาระหว่างที่ถูกลากข้อมือให้้กลับขึ้นไปด้านบนฮ่องเต้หนุ่มหยุดการก้าวเดินแล้วก็หันกลับมาผลักร่างงามของสนมรักที่เขาทั้งรักทั้งหวงทั้งแค้น ปนเปกันจนแยกไม่ออกแต่ที่แน่ๆ ไม่มีทางที่จะยอมปล่อยให้นางไปมีชายใดทั้งสิ้น นอกจากเขา เพราะนางคือของๆเขา และต้องเป็นของเขาไปทั้งชีวิตของนาง ไม่มีทางจะมีชายอื่นใดได้ทั้งนั้น เขาดันร่างงามของนางแนบชิดกำแพงด้านหลัง แล้วก็เข้าไปแนบชิด ใบหน้าหล่อคมคายเลื่อนลงมาจนแนบใบหน้างามของนางแม้หงลี่จะพยายามเบือนหน้าหนี แต่เขาก็กระซิบว่า“ เจ้าควรรู้ตัว ว่าเจ้าคือเมียของเข้า และข้าคือผัวของเจ้า อย่าคิดมองชายใด ให้ความหวังชายใดอีก หาไม่แล้วข้าจะทำให้มันมีสภาพเช่นเจ้าองครักษ์นั่น หากเจ้าไม่อยากเห็นใครเป็นเช่นนั้นก็อย่าคิดทอดสะพานให้ชายใดอีก เพราะที่ของเจ้าคือบนเตียงของข้า เป็นของๆ ข้าเท่านั้น ” แล้วริมฝีปากหยักหน้าก็เข้าประกบปากอวบอิ่มที่แสนนุ่มนิ่มของนาง แม้หงลี่จะพยายามเบือนหน้าหนีไป ไม่ยอมให้เขาสอดลิ้นสากของเขาเข้าไปในปากอิ
เรื่องฮ่องเต้ไปเยือนเหล่าชายาและสนมหลายตำหนักล้วนเป็นที่เล่าลือกันไปทั่ววังหลัง และแน่นอนมันย่อมจะไปเข้าหูของหงลี่บ้าง เพราะฟางเอ๋อนั้นอดไม่ได้ที่จะนำเรื่องเหล่านี้มาบอกแก่นายหญิงของตนอยู่แล้ว หงลี่นั้นทำใจได้บ้างแล้ว เขาไม่ใช่สามีของนาง เขาคือฮ่องเต้ที่มีสนมนับร้อย เรื่องอันใดเขาจะมาใส่ใจนาง ช่างเขาเถอะ นางบอกตนเองเช่นนั้น เขาไม่ใช่หลี่หมิงอีกต่อไป เขาคือเฟยหลงฮ่องเต้ ไม่ใช่คนที่นางเคยรู้จักและรักใคร่อีกแล้ว เรื่องของเขาย่อมไม่เกี่ยวกับนาง หงลี่พร่ำบอกตนเองเช่นนั้นหลายวันผ่านไปองครักษ์ที่แฝงกายอยู่ที่ตำหนักพระสนมหยูเพื่อสอดส่องว่านางทำสิ่งใด และมีอะไรเกิดขึ้นทีี่ตำหนักของนางบ้าง แล้วนำไปรายงานฮ่องเต้อยู่เสมอ และหลายวันต่อมา องครักษ์ตงเหวินก็หอบหิ้วเป็ดย่างและผลไม้ลูกโตมาฝากพระสนมหยูอีกครั้ง เขาบอกว่าที่หายไปก็เพราะไปราชการนอกวังหลวงเพิ่งจะได้กลับมา จึงได้หอบหิ้วของมาฝากแทนคำขอบคุณสำหรับรองเท้าที่พระสนมเย็บให้กับมือ มันสวมสบายเหลือเกิน หงลี่พยายามยัดเยียดเงินให้แก่เขาเป็นค่าของฝาก แต่องครักษ์หนุ่มไม่ยอมรับเอาไว้ เขายืนยันจะให้นางรับของฝากเอาไว้เพื่อตอบแทนน้ำใจ
ด้านฮ่องเต้หนุ่มที่จำต้องไปตำหนักอื่นๆ เวียนกันไปเพราะไทเฮาทั้งอ้อนวอนและขอร้องเพราะนางต้องการมีทายาทสืบทอดราชสกุล ต้องการอุ้มหลาน ต้องการมีองค์ชายและองค์หญิงน้อยๆ เต็มทีจึงเฝ้าขอร้องบุตรชายให้ไปหาเหล่าชายาและสนมที่มีนับไม่ถ้วนของเขาเสียบ้าง อย่ามัวหมกมุ่นกับราชกิจที่มากมาย เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องอักษรเพื่อทรงงานเช่นนี้อีกเลยฮ่องเต้หนุ่มจึงจำต้องทำตามหน้าที่ โดยที่เขาเองก็ไม่ได้มีความสุขสมเลย เพียงทำตามหน้าที่ให้เสร็จสิ้นไป และเมื่อความคิดคำนึงถึงสตรีแพศยานางนั้นก่อเกิดจนทนไม่ไหว เขาจึงทำทีไปหาสนมคนใหม่ที่่อยู่ตำหนักติดกับสตรีแพศยาที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักนั่น เขาสั่งไม่ให้นางมาให้เห็นหน้า นางก็ไม่มา และไม่ปรากฎตัวที่ใดเพื่อจะได้พบเขาเลยสักครั้ง นางทำตัวดุจล่องหนหายไปเลย แต่ด้วยทิฐิเขาเองก็ไม่เรียกนางหา แต่ทำทีไปหาสนมที่อยู่ตำหนักรั้วติดกันแทน แต่ค่ำคืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาบอกว่าไม่สบาย แล้วไล่สนมนางนั้นไปนอนที่ห้องอื่นส่วนตัวเองแอบย่องเข้าไปที่ในตำหนักข้างๆ เพื่อไปสอดส่องสตรีนางนั้นว่ามีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง และก็แอบไปจ้องมองนางที่นอนหลับอุตุอย่างแส
ด้านฮ่องเต้หนุ่มที่จำต้องไปตำหนักอื่นๆ เวียนกันไปเพราะไทเฮาทั้งอ้อนวอนและขอร้องเพราะนางต้องการมีทายาทสืบทอดราชสกุล ต้องการอุ้มหลาน ต้องการมีองค์ชายและองค์หญิงน้อยๆ เต็มทีจึงเฝ้าขอร้องบุตรชายให้ไปหาเหล่าชายาและสนมที่มีนับไม่ถ้วนของเขาเสียบ้าง อย่ามัวหมกมุ่นกับราชกิจที่มากมาย เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องอักษรเพื่อทรงงานเช่นนี้อีกเลยฮ่องเต้หนุ่มจึงจำต้องทำตามหน้าที่ โดยที่เขาเองก็ไม่ได้มีความสุขสมเลย เพียงทำตามหน้าที่ให้เสร็จสิ้นไป และเมื่อความคิดคำนึีงถึงสตรีแพศยานางนั้นก่อเกิดจนทนไม่ไหว เขาจึงทำทีไปหาสนมคนใหม่ที่่อยู่ตำหนักติดกับสตรีแพศยาที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักนั่น เขาสั่งไม่ให้นางมาให้เห็นหน้า นางก็ไม่มา และไม่ปรากฎตัวที่ใดเพื่อจะได้พบเขาเลยสักครั้ง นางทำตัวดุจล่องหนหายไปเลย แต่ด้วยทิฐิเขาเองก็ไม่เรียกนางหา แต่ทำทีไปหาสนมที่อยู่ตำหนักรั้วติดกันแทน แต่ค่ำคืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาบอกว่าไม่สบาย แล้วไล่สนมนางนั้นไปนอนที่ห้องอื่นส่วนตัวเองแอบย่องเข้าไปที่ในตำหนักข้างๆ เพื่อไปสอดส่องสตรีนางนั้นว่ามีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง และก็แอบไปจ้องมองนางที่นอนหลับอุตุอย่างแส
“ หากท่านอยากจะเดินไปส่งก็ขอบใจมากนะ ”แล้วนางก็ออกเดินนำหน้าองครักษ์หนุ่มที่ก้าวตามหลังนางมาเงียบ ๆ จนหงลี่เดินมาถึงหน้าตำหนักของตนเอง นางหันไปยิ้มให้เขา“ ขอบใจท่านมากนะ ข้าเข้าไปก่อนล่ะ ”แล้วหงลี่ก็ก้าวเข้าไปในตำหนักของนาง แล้วปิดประตูหน้าลงทันที โดยที่ร่างหนาขององครักษ์หนุ่มยังไม่เคลือนกายไปจากหน้าตำหนักของพระสนมน้อย องครักษ์ตงหยางยังคงยืนมองไปที่ประตูที่สนมนางน้อยเพิ่งจะลับกายไปในใจของเขาแสนจะเสียดายยิ่งนักที่พบนางช้าไป เขาพอจะมองออกว่าตำหนักที่นางอยู่นี้อยู่เกือบจะสุดท้ายของแถวและอยู่ลึกเข้าไปจนเกือบจะถึงรั้วของวังหลังแล้ว แสดงว่านางคือสนมชั้นเฟย ที่รู้กันว่าเป็นสนมขั้นต่ำสุดในวังหลังแห่งนี้ และสนมขั้นเฟยบางคนก็ไม่มีโอกาสได้รับใช้ฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ เพียงอยู่กันไปวันๆ ในตำหนัก หาอะไรทำกันไปวันๆ เพื่อให้วันเวลาผ่านพ้นไปเพียงเท่านั้น เพราะสนมในวังหลังนี้มีมากมายนัก และเขาเพิ่งจะรู้มาว่าฮ่องเต้รับสนมเข้ามาใหม่อีกชุดแล้วหลังจากที่เพิ่งจะครองราชย์ได้เพียงไม่นานนับจากวันนั้นฮ่องเต้ก็ไม่ย่างกรายไปหาหงลี่หรือไม่ได้เรียกนางมาปรนนิบัติอีกเลย หงลี่คิดว่าสิ่งที่เขาพูดในวันนั้นก็