หลังจากกินข้าวเช้าร่วมกันเงียบ ๆพี่บอยก็ขี่วินไปส่งนิรินที่หน้าคณะเหมือนทุกวัน
นิรินลงจากรถ แล้วยิ้มให้เขาเบา ๆ “เย็นนี้...หนูจะรออยู่ที่นี่เลยนะคะ อย่าลืมมารับนะ” เขาพยักหน้า ไม่ตอบ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ทั้งวันนั้น นิรินเรียนตามปกติ แต่ไม่มีการแต่งหน้าเตรียมตัว ไม่มีชุดพับไว้ในกระเป๋าผ้า ไม่มีแชทคุยกับแขก มือถือของเธอขึ้นแจ้งเตือนหลายครั้ง “คืนนี้ว่างมั้ยครับ?” “เงียบไปเลยนะน้อง” “ต้องให้โอนเพิ่มมั้ย?” แต่เธอแค่กดลบโดยไม่ตอบกลับ เพื่อนยังคุยกันเรื่องติวสอบ เรื่องผู้ชาย เรื่องการฝึกงานส่วนเธอ...นั่งเงียบ แต่น้ำหนักบนอกกลับเบากว่าทุกวัน พอเรียนเลิกเธอยืนรออยู่ใต้ต้นไม้ข้างลานหน้าอาคารพี่บอยขี่รถมาจอดตรงหน้า วันนี้เขามาถึงเร็วกว่าทุกวัน เหมือนใจเขาเอง...ก็รีบกลับมาเธอสวมหมวกกันน็อก แต่แทนที่จะซ้อนขึ้นไปเหมือนเคย เธอแตะบ่าเขาเบา ๆ แล้วพูด “วันนี้...หนูไม่ไปที่เดิมนะคะ” พี่บอยชะงักเล็กน้อยเขาหันมามองเธอแววตาไม่ได้ตกใจ...แต่มันมีบางอย่างที่ “อ่อนลง” ชัดเจน “แล้ว...จะไปไหน” “อยากเดินเล่นค่ะ ไปตลาดนัดข้างมหาลัยกันไหม?” เธอยิ้ม ยิ้มแบบที่เขาไม่ค่อยเห็นเขาพยักหน้า แล้วออกรถช้า ๆมือของเธอกอดเอวเขาแน่นเหมือนเดิม แต่ใจของเขาเริ่มไม่เหมือนเดิมเธอไม่แต่งหน้าไม่มีน้ำหอมกลิ่นเดิมไม่มีโน้ตติดกระจกหน้าห้อง ไม่มีการเตรียมตัวเป็น "ใครก็ได้"วันนี้...เธอเป็นแค่นิรินที่อยากเดินเล่นกับเขา ตลาดนัดช่วงเย็นคึกคักเสียงเพลงจากลำโพงร้านน้ำปั่นดังกลบเสียงเครื่องปั่นไฟ เธอซื้อไก่ปิ้งสองไม้กับนมเย็นหนึ่งแก้วแล้วยื่นให้อีกแก้วกับพี่บอยแบบไม่พูด เขารับไว้เงียบ ๆไม่กล้าถามอะไรแต่ใจเขา...เต็มไปด้วยคำถาม “ไม่ไปรับแขกเหรอ?” “เหนื่อยหรือเปล่า?” “หนู...เปลี่ยนไป หรือพี่แค่คิดไปเอง?” แต่สุดท้าย เขาก็ไม่พูด เพราะกลัวว่า ถ้าเอ่ยคำถามออกไป เธออาจไม่ชวนเขามาเดินเล่นอีก เขาเลยแค่เดินข้าง ๆเงียบ ๆและบอกตัวเองว่า... ต่อให้เธอยังไม่หยุดทำงานนั้น…แค่วันนี้เธอเลือกพี่ มันก็พอแล้ว หลังจากเดินตลาดนัด พี่บอยก็พาเธอกลับหอเหมือนเคย นิรินเงียบลงเล็กน้อยหลังมื้อเย็น เธอดูเหนื่อยง่ายกว่าทุกวัน เดินช้าลงเล็กน้อยและมีท่าทางระแวงเหมือนกำลังพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง เมื่อเข้าห้อง เธอรีบเข้าห้องน้ำทันทีเสียงเปิดซองผ้าอนามัยดังเบา ๆ ในห้องน้ำ…พอให้คนที่นั่งอยู่ด้านนอกได้ยินถ้าเงียบพอและพี่บอย…ก็เงียบพอจะได้ยิน เขาไม่ถาม ไม่แม้แต่จะเอียงหูฟัง แต่เพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ ให้ตัวเอง เหมือนเข้าใจทุกอย่างแล้วนิรินออกมาจากห้องน้ำด้วยเสื้อยืดตัวเดิมของเขา เธอเดินช้าลง แววตาเจือความกังวล “วันนี้...หนูคงไม่ได้ทำอะไรนะคะ” “ขอโทษนะ ถ้าพี่อยาก…” “ไม่อยาก” เขาตอบทันที ขัดเธอกลางประโยคสายตาพี่บอยนิ่งแต่ในแววตานั้นมีอะไรบางอย่างที่เหมือนจะพูดว่า “ไม่ต้องขอโทษเลย เพราะหนูไม่ใช่ของพี่แบบนั้น” เขาขยับตัวบนฟูก แล้วเปิดผ้าห่มผืนใหญ่ขึ้นอย่างเงียบ ๆ “มานี่” เสียงสั้น ๆ แต่หนักแน่น นิรินชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปนั่งข้างเขา และเอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาอย่างวางใจ เขากอดเธอไว้แน่นจากด้านหลังมือหนึ่งกุมมือเธอ อีกมือลูบผมเบา ๆ หัวใจของเธอเต้นแรงแต่สงบ เหมือนถูกกล่อมด้วยอ้อมแขนแทนเสียงดนตรี คืนนั้น ไม่มีเสียงเตียง ไม่มี sex มีแต่ผ้าห่มผืนใหญ่ กับอ้อมกอดจากชายคนหนึ่งที่ไม่ต้องการอะไรจากเธอเลย แค่ได้อยู่ข้างกัน…ก็เพียงพอแล้ว ก่อนเธอจะหลับเขากดจมูกลงบนหน้าผากเธอเบา ๆ อีกครั้ง แล้วพูดเสียงแผ่วที่สุดในรอบหลายวัน “ไม่ต้องเป็นของใครทั้งนั้นคืนนี้...เป็นของพี่พอแล้ว” เวลาผ่านไปหลายวันไม่มีโน้ตหน้าห้องไม่มีน้ำหอมกลิ่นเดิมไม่มีสายจากแขกยามค่ำ มีแค่...กลิ่นเสื้อยืดเก่า ๆ จากร้านอาหารเสียงล้างจานในหลังร้าน และปลายนิ้วแดง ๆ จากการถือแก้วน้ำแข็งทั้งคืนพี่บอยยังคงไปรับไปส่งนิรินเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ ปลายทาง เขาไม่ได้ไปส่งเธอที่โรงแรมอีกแต่ไปส่งที่ร้านอาหารตามสั่งแถวแยก หรือบางคืน...ก็ร้านเหล้าหัวมุมที่เด็กมหาลัยนั่งกันโหวกเหวกเขาขี่วินมาจอดตรงเวลา มองเธอเดินลงจากร้านด้วยเสื้อพนักงานสีหม่นมีผ้ากันเปื้อนพาดไหล่ผมเธอมัดลวก ๆ หน้าไม่ได้แต่งแต่มือเปื้อนน้ำมันล้างจานเขาไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ชมว่าเธอดีขึ้นไม่ได้ถามว่าเหนื่อยไหมแค่ยื่นผ้าเย็นให้แล้วพูดสั้น ๆ “ขึ้นรถ” บางคืนเธอชงเหล้าในร้านเล็ก ๆไม่ได้ขายตัวแค่ยืนยิ้ม ฝืน ๆถือแก้วเหล้าไปวางตามโต๊ะ พูดคุยเบา ๆ กับลูกค้าแบบที่ไม่ต้องแตะตัวเขานั่งรออยู่นอกร้านเสมอไม่ได้เข้าไป แต่เธอรู้ว่าเขารออยู่ตรงนั้น…ทุกคืนบางวันเธอเหนื่อยจนหลับบนรถหัวพิงหลังเขา ลมหายใจอ่อน ๆ กระทบต้นคอเขาตลอดทางกลับหอ เขาไม่เคยพูดแต่เธอรู้ว่าเขา “เห็น”และเพราะเขาไม่พูดนี่แหละ เธอเลยอยากพยายามมากขึ้น แม้แค่ทีละก้าว คืนหนึ่งขณะกำลังขี่รถพาเธอกลับเธอพิงแผ่นหลังเขาแน่นขึ้น แล้วกระซิบเบา ๆ “พี่บอย...พี่เคยผิดหวังในหนูมั้ยคะ?” เขาไม่ตอบทันทีขี่รถช้า ๆ ผ่านไฟแดง แล้วจอดตรงหน้าหอก่อนจะเอี้ยวตัวกลับมา สบตาเธอด้วยสายตานิ่ง ๆ “ไม่เคยเลย” “หนูพยายามอยู่ พี่รู้” แล้วเขาก็ยื่นมือมาแตะหัวเธอเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วแทบละลายทั้งหัวใจ “เหนื่อยก็พัก…ไม่ต้องฝืนเป็นคนดีทันทีหรอก” “แค่ไม่กลับไปเจ็บ...พี่ก็พอแล้ว” นิรินก้มหน้า น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ เพราะเธอไม่เคยรู้มาก่อนว่า...การมีคนที่ “ไม่หวังอะไร” จากเรา มันอบอุ่นขนาดนี้ ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาข้างเขา ทุกคืนที่ได้ซบลงบนแผ่นหลังของเขา นิรินรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอกำลังได้รับการเยียวยาอย่างช้าๆ แต่สม่ำเสมอ เธอรู้ว่าหนทางข้างหน้าอาจยังอีกยาวไกล และบาดแผลในใจของเธออาจต้องใช้เวลาในการรักษา แต่การมีพี่บอยอยู่ข้างๆ ผู้ชายที่เข้าใจเธอโดยไม่ต้องพูดอะไร ทำให้เธอรู้สึกถึงความหวังและแรงผลักดันที่จะก้าวต่อไป เธอไม่จำเป็นต้องเป็น "คนดี" ในพริบตา ไม่ต้องฝืนทำอะไรที่เกินตัว แค่เพียงพยายามและไม่กลับไปทำร้ายตัวเองอีกครั้ง นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ และนั่นก็เพียงพอสำหรับเธอแล้ว ในทุกๆ วันที่ผ่านไป ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น ความเงียบของเขากลายเป็นภาษาที่เข้าใจกันดีที่สุด และในอ้อมกอดของเขา นิรินก็พบกับความสงบที่แท้จริง ซึ่งไม่เคยมีใครมอบให้เธอได้มากเท่านี้มาก่อน เธอจะยังคงก้าวเดินต่อไป ทีละก้าว ช้าๆ แต่มั่นคง พร้อมกับความอบอุ่นจากใจที่ "ไม่หวังอะไร" ของพี่บอย ที่คอยโอบกอดเธอไว้เสมอรถยนต์เคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถ ท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนสีอ่อนลงเล็กน้อยนิรินนั่งข้าง ๆ คนขับมือยังวางบนตัก รู้สึกเก้อเขินจากบรรยากาศมื้อบ่ายที่เหมือนเดตครั้งแรก แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกพี่บอยขับไปเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ต่างจากใบหน้าขรึมที่เธอคุ้นเคยนิรินหันไปมอง เห็นรอยยิ้มชัดก็รีบเบือนหน้าหนี“พี่…บอยยิ้มอะไรคะ” เสียงเธอสั่นเล็กน้อย“ยิ้มเฉย ๆ” เขาตอบสั้น ๆ สายตายังคงจับจ้องที่ถนนลาดยาง“เฉย ๆ ที่ไหนกันเล่า…” เธอบ่นพึมพำในลำคอ กัดริมฝีปากแน่น หัวใจกลับเต้นแรงไม่หยุดเขาเหลือบตามามองเพียงแวบเดียว แววตาคมวูบหนึ่งนั้นเหมือนจะบอกทุกอย่างที่เขาไม่พูดออกมา“เมื่อกี้…หนูกินสเต๊กเลอะปาก”“พี่!” นิรินเผลอตีแขนเขาเบา ๆ ด้วยความเขิน แก้มแดงจัดเสียงหัวเราเบาๆ ดังจากลำคอเขา เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินบ่อยนัก แต่กลับทำให้รถทั้งคันเต็มไปด้วยความอบอุ่นมีชีวิตชีวามือใหญ่เลื่อนไปกุมมือเล็กๆที่วางอยู่ข้างเบาะโดยไม่พูดอะไรอีกนิรินเม้มปากแน่น แต่ยอมปล่อยให้เขาจับไว้ หัวใจที่พองโตเหมือนจะล้นอกถนนสายเล็กทอดยาวไปข้างหน้า พี่บอยขับรถเงียบ ๆ ตามสไตล์ของเขา แต่เมื่อใกล้
แสงอรุณสาดลอดช่องไม้เข้ามาในห้อง เสียงไก่ขันดังไกลๆ ปลุกให้บ้านสวนค่อยๆ ตื่นขึ้นพี่บอยลืมตา ตั้งใจฟังเสียงรอบตัว ก่อนจะค่อย ๆ ดันแขนออกจากร่างเล็กที่ยังนอนซุกหลับอยู่ข้างกายเขาลุกออกที่นอน เดินออกมาสูดอากาศยามเช้าที่ชื้นจากน้ำค้าง กลิ่นดินผสมกลิ่นหญ้าสดใหม่ชัดเจนจนใจเขาสงบนิ่งสายตาคมทอดมองไปยังเพิงไม้หลังใหม่ที่อยู่ไม่ไกล คาเฟ่ใหม่ ที่เพิ่งสร้างเสร็จวันสองวันโดยเขาและช่างมานพส่วนลูกมือก็คือน้องกันต์พี่บอยเดินไปเปิดประตูไม้ บานพับส่งเสียงเอี๊ยดเบา ๆ ภายในห้องกว้างยังหอมกลิ่นไม้ใหม่ โต๊ะไม้สี่เหลี่ยมวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เก้าอี้หวายถักใหม่เอี่ยมเครื่องชงกาแฟวางเด่นบนเคาน์เตอร์หลังงจากที่นิรินได้ลองชงไปแล้วเมื่อวาน ข้าง ๆ ยังมีถุงเมล็ดกาแฟ กับโถแก้วใส่คุกกี้ที่แม่เพิ่งอบเมื่อคืนเขาเดินดูช้าๆ วนรอบร้าน ลองเปิดไฟดูทีละดวง จนหลอดไฟสีเหลืองสว่างนวลไปทั่วเสียงเครื่องปั่นไฟเล็กๆ ดังเบาๆ แต่ทุกอย่างทำงานปกติเรียบร้อยดีเขายืนมองผ่านกระจกหน้าร้าน และรั้วไม้เก่า ๆ ที่เอียงไปข้างหนึ่งยังอยู่ที่เดิม มันคือที่มาของชื่อร้านริมรั้วนั้นเอง น้องกันต์เพิ่งปลูกต้นพริกกับมะเขือไว้ แม
มือใหญ่กดมือเล็กกลับไปกอบกุมแท่งเนื้อที่แข็งปนร้อนเสียงของเขากระซิบข้างหู “อย่าหยุด…ทำต่อสิครับเมียรัก”“พี่…พี่บอย” นิรินเสียงสั่นพร่า แก้มแดงจัด ร่างบางนอนสั่นสะท้านอยู่ใต้ร่างของเขาพี่บอยโน้มตัวลง ริมฝีปากหนาจุ้บข้างแก้ม ไล้ผ่านลงมาที่ซอกคอ หยอกเย้าด้วยการดูดอย่างแผ่วเบาจนเธอครางหลุด“อื้อ…พี่...”มือใหญ่ปลดกระดุมชุดนอนช้า ๆ เผยผิวนวลเนียนและอกอิ่มที่สั่นไหวกับลมหายใจปลายนิ้วหยาบคลึงวน ขยี้ยอดอกจนร่างเล็กสั่นเกร็ง ความเสียวแล่นขึ้นสันหลังบรรยากาศห้องในไม้ที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรข้างนอก กับเสียงลมหายใจที่หนักของทั้งคู่ และแสงจันทร์ที่ลอดช่องหน้าต่างมาตกบนเรือนกายสองร่างพี่บอยไล้ริมฝีปากต่ำลง จนถึงกลีบเนื้อที่ซ่อนความหวานเขาแหวกช่อบุปผาออกช้า ๆ ก่อนก้มลงละเลียดราวกับจะจดจำรสชาติของกลีบเนื้อนั้นให้ขึ้นใจ“พี่…อย่าทรมานหนู” เสียงเธอพร่ำสั่น มือเล็กจิกเสื่อจนยับ น้ำหวานเอ่อคลอจากความชุ่มฉ่ำในช่องแคบบอยเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมเต็มไปด้วยแรงข่มอารมณ์ เขาขยับกายขึ้น ค่อย ๆ ดันแท่งเนื้อที่แข็งปนร้อนเข้าครอบครองทีละช่วงความคับแน่นทิ่มแทงเบา ๆ ทำให้คนตัวเล็กสะท้านเฮือก “อ๊ะ…พี่บ
รถยนต์คันใหญ่แล่นกลับเข้าสู่ถนนลูกรัง ข้าวของที่ซื้อมาเต็มท้ายรถ ทั้งถุงเสื้อผ้า รองเท้าใหม่ของแม่และกันต์ วางซ้อนเรียงเป็นกองเล็ก ๆ มุมหนึ่งยังมีหมวกกันน็อกใหม่วางเคียงกับเอกสารจองมอเตอร์ไซค์คันเล็ก ที่ร้านรับปากว่าจะส่งมาถึงบ้านพรุ่งนี้เช้ากันต์นั่งเบาะหลัง ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่หยุด มือยังคอยจับเชือกรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ไม่วาง“พี่บอย…ขอบคุณครับ ผมจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด”พี่บอยเหลือบมองผ่านกระจกหลัง สายตาขรึมแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น“ไม่ต้องรีบโตนักหรอกกันต์ แค่ดูแลแม่กับพี่สาวให้ดี ก็พอ”แม่ที่นั่งข้าง ๆ น้ำตาคลออีกครั้ง พยายามเอ่ยเสียงเบา“แม่ซาบซึ้งจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วลูก”นิรินก็กอดถุงเสื้อผ้าไว้แน่น ใบหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่“พี่…บอยขอบคุณจริง ๆ นะ” เสียงเธอสั่นพร่า แต่เต็มไปด้วยความหมายที่เกินกว่าคำพูดพี่บอยไม่ได้ตอบ เพียงยกมือขึ้นลูบหัวเธอเบา ๆ ระหว่างรถโยกไปตามทางลูกรังเมื่อถึงบ้านสวน เสียงสุนัขเห่าไล่รถดังรับเหมือนทักทาย ข้าวของถูกขนเข้าบ้านกันวุ่นวาย แต่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกันต์ลองสวมเสื้อใหม่วิ่งออกไปให้แม่ดู แม่หัวเราะเสียงใสเหมือนกลับไปเป็นสาวอีกครั้งเย็นนั้น ทั้ง
บ่ายวันนั้น แดดแรงจัด แต่ลมจากทุ่งนาก็ยังพัดเอื่อย ๆ คลายความร้อนเสียงเครื่องยนต์คันใหญ่แล่นมาตามถนนลูกรัง ฝุ่นคลุ้งตามแรงล้อ ก่อนจะเลี้ยวเข้าอำเภอเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยบ้านไม้สองชั้นเก่าแก่ ร้านขายของปะปนอยู่ไม่ไกลจากตลาดสดนิรินนั่งเบาะข้างคนขับ มือเล็กกำเอกสารในตักแน่น ดวงตาตื่นเต้นปนกังวลเบาะหลัง แม่กับกันต์แต่งตัวเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะหาได้ เสื้อเชิ้ตสีจางกับรองเท้าคู่เก่า กลายเป็นชุดพิธีสำคัญของวันนี้เสียงเครื่องยนต์ดับลง พี่บอยหันมาบอกสั้น ๆ น้ำเสียงขรึมแต่หนักแน่น“ไม่ต้องกังวลนะ เดี๋ยวอ้นจัดการให้เอง”ไม่นานนัก ชายหนุ่มในชุดข้าราชการก็เดินลงมาจากบันไดอาคารอำเภออนุชาเพื่อนเก่าสมัยเรียนของพี่บอย รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าคมชวนให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น เขาตบไหล่เพื่อนเสียงดัง ปุ“โห ไอ้บอย! กี่ปีแล้ววะไม่ได้เจอกัน เอ็งโทรมานี่แทบไม่เชื่อหู”“นัดไว้แล้วนี่อ้น เรื่องนี้ช่วยหน่อยนะ” พี่บอยตอบเสียงเรียบ แต่แฝงความขอบคุณในแววตาอนุชาหันไปยกมือไหว้แม่ แล้วยิ้มให้กับนิรินกับกันต์“ไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องเอกสารโอนที่ดิน ผมดูเองทุกขั้นตอน”บรรยากาศในห้องโถงอำเภอเงียบสงบ มีเพียงเสียงพัดลมตั้
ญาติคนนั้นเม้มปากแน่น พยายามสวนกลับเสียงแข็ง“แต่หนี้มันก็ยังอยู่นะโว้ย ดอกก็ติด โฉนดก็ยังค้ำไว้อยู่ดี จะทำเป็นลืมไม่ได้หรอก!”พี่บอยที่นั่งนิ่งมานาน ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างใหญ่บังสายตาญาติคนนั้นจนเงาสะท้อนคลุมทั้งตัว เขาเดินไปหยิบเอกสารหนา ๆ ในบ้านเอาวางลงบนโต๊ะไม้เสียง ปั้ก“ไม่ต้องมาทวงอะไรอีกแล้ว” เสียงทุ้มต่ำแต่หนักแน่นดังขึ้นทั่วห้อง “เพราะผมปิดบัญชีหนี้ก้อนนั้นไปหมดแล้ว”ญาติคนนั้นตาเบิกกว้าง รีบก้าวเข้ามาดูใกล้ ๆ เมื่อเห็นตัวอักษรชัดเจนว่าเป็นใบปิดบัญชีจากธนาคารจริง ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวในทันที“มะ…ไม่จริง! นี่เอ็ง…” เสียงสั่นเครือ“จริง” พี่บอยพูดสวนทันที ดวงตาคมกริบจ้องเขม็ง “ต่อให้คิดจะเล่นแผนอะไรอีก ก็ไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องโฉนดบ้านสวนนี้อีกแล้ว”มานพหัวเราะลั่น “ฮ่า ๆ ๆ หงายเงิบแล้วไง! อยากจะเอามาแซะให้ขายที่ง่าย ๆ แต่สุดท้ายก็หน้าแตกยับ”กันต์ถึงกับยิ้มกว้าง สะใจที่ได้เห็นคนที่เคยทำร้ายครอบครัวพี่สาวต้องเจอแบบนี้นิรินยกมือขึ้นปิดปาก น้ำตาเอ่อเต็มขอบตา เธอหันมองพี่บอยด้วยหัวใจสั่นไหวชายที่ไม่เพียงปกป้องเธอ แต่ยังลุกขึ้นสู้แทนสิ่งที่เธอไม่เคยทำได้มาก่อนญาติค