“ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมเข้าไปเล่า” เฮ่ยเสี่ยวฉางถามวิญญาณดวงสำคัญพลางยกมือเกาศีรษะเเกรกๆ
พวกเขาหรืออุตส่าห์วางแผนคิดบทละครกันมาเป็นอย่างดี ทว่าพอถึงเวลาที่ต้องปฏิบัติจริง เด็กสาวผู้เป็นคู่วาสนากลับไม่ยอมให้ความร่วมมือเสียนี่ ทำเอาเฮ่ยเสี่ยวอู่พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่เอาหรอก ก็หนิงหนิงเพิ่งรู้นี่นาว่าการจะการเป็นคู่วาสนา หมายถึงต้องเป็นคนรักของตี้จวินอะไรนั่น หนิงหนิงไม่ได้ชอบเขา เพราะอย่างนั้นไม่มีทางไปสร้างวาสนาอะไรด้วยหรอก”
พวกเขาล้อเล่นหรือไร เธอชอบผู้ชายในฝันคนนั้นต่างหาก ตี้จวินอะไรนั่นต่อให้เป็นท่านเทพที่ไหนก็ไม่เอาด้วยเด็ดขาด!
เฮ่ยเสี่ยวอู่ถลึงตาโปนใส่แทบถลนออกนอกเบ้า ส่วนทางเฮ่ยเสี่ยวฉางก็เบะปากเกือบปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย พวกเขาวางแผนกำกับบทละครเพื่อให้เรื่องราวดำเนินไปได้ เเต่วิญญาณดวงสำคัญดันไม่เอาด้วยเเบบนี้ก็เเย่น่ะสิ ถ้าหากว่าไม่สามารถทำให้ชาตินี้ของตี้จวินผ่านพ้นด่านเคราะห์ได้สำเร็จ คนแรกที่ต้องถูกเล่นงานคือเขาและเสี่ยวอู่เป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นเฮ่ยเสี่ยวฉางจึงเริ่มเกลี้ยกล่อมดวงวิญญาณตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง จะอย่างไรเสียเขาก็ต้องทำให้นางยอมร่วมมือให้จงได้
“เสี่ยวหนิงคนดี เจ้าอย่าได้พูดแบบนั้นไป ในหกภพภูมิดินแดนทั้งหลาย ตี้จวินนั้นคือผู้ที่มีพลังอำนาจเหนือใคร ท่านเป็นเทพบรรพกาลที่เเม้เเต่องค์เง็กเซียนยังต้องให้ความเกรงใจ” เพราะถ้าหากไม่เกรงใจก็จะถูกเล่นงานจนน่วม… แน่นอนว่าประโยคหลังนั้นเฮ่ยเสี่ยวฉางไม่ได้บอกออกไป
หยูหนิงฟังแล้วขมวดคิ้วนิ่วหน้า เธอไม่ได้สนใจว่าตี้จวินที่ยมทูตยกยอนั่นจะมีอำนาจอะไรนี่นา
“หนิงหนิงไม่ได้สนใจว่าเขาจะมีอำนาจอะไร ต่อให้ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็เถอะ ถ้าแม้แต่เสี่ยวอู่กับเสี่ยวฉางยังกลัว ก็แสดงว่าตี้จวินนั่นต้องเป็นคนที่น่ากลัวมากเเน่ๆ”
เฮ่ยเสี่ยวฉางแทบเอาหัวโขกประตูคฤหาสน์ตรงหน้า เด็กๆ เดี๋ยวนี้จะโตเร็วรู้ความกันเกินไปแล้ว แค่เห็นท่าทางของเขากับเสี่ยวอู่นางก็เดาได้ถูกต้องเสียแล้ว แต่ว่าเขาจะยอมให้นางคิดแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด
“เจ้าเข้าใจผิดไปแล้ว พวกข้านั้นไม่ได้เกรงกลัวสักหน่อย เขาเรียก...ใช่แล้ว...เขาเรียกเคารพเทิดทูนต่างหาก” เพราะถ้าไม่เคารพก็อาจจะต้องถูกซ้อมเหมือนกับองค์เง็กเซียน...แน่นอนว่าประโยคนี้เฮ่ยเสี่ยวฉางก็ไม่ได้เอ่ยออกไปเช่นกัน
กล่าวจบ ยมทูตชุดขาวก็สะกิดสหายยมทูตด้วยกันยิกๆ เป็นเชิงให้ช่วยกันชมเทพบรรพกาลจอมวายร้ายให้ดวงวิญญาณตรงหน้าฟัง เฮ่ยเสี่ยวอู่นั้นเข้าใจสัญญาณที่อีกฝ่ายส่งมาดี เขาจึงพยายามคิดหาข้อดีของจอมเทพอันธพาลเพื่อจะสาธยายออกมาบ้าง และแล้วเฮ่ยเสี่ยวอู่ก็ได้รู้ว่าในความคิดมุมมองทั้งสามของเขา ตี้จวินจอมวายร้ายผู้นั้นไม่มีข้อดีอะไรเลยสักอย่าง!
ยิ่งคิดเฮ่ยเสี่ยวอู่ก็ยิ่งอึกอัก ยมทูตชุดดำไม่สามารถคิดหาข้อดีของจอมเทพออกมาชมได้สักข้อ
เฮ่ยเสี่ยวฉางมองท่าทางสหายแล้วเบะปากร่ำไห้ในใจ โธ่...เสี่ยวอู่เจ้าคนซื่อ ทำไมไม่หลับหูหลับตาพูดส่งๆ ไปก่อนเล่า
เนิ่นนานกว่าที่เฮ่ยเสี่ยวอู่จะขยับ เขาเปิดปากค้นหาเสียงตนเองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเริ่มเอ่ยคำพูดออกมาได้ ทั้งเฮ่ยเสี่ยวฉางเเละหยูหนิงต่างก็กลั้นลมหายใจรอฟังอย่างลุ้นระทึก
“ตี้จวินนั้นมีข้อดีมากมาย ตัวอย่างเช่น ท่าน...รูปงามกว่าผู้ใดในหกแดน”
ใช่แล้ว นี่นับเป็นข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของเจ้าเทพอันธพาลนั่น ทำให้เขาสามารถพูดออกมาได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดต่อมโนธรรมภายในใจ
เฮ่ยเสี่ยวฉางน้ำตาไหลพราก กู่ร้องในอกด้วยความยินดี เสี่ยวอู่ช่างทำได้ดีมาก อย่างน้อยเจ้าเทพจอมวายร้ายนั่นก็มีดีในด้านรูปโฉมละนะ แต่ชั่วขณะที่เห็นท่าทางของหยูหนิง ยมทูตชุดขาวก็รู้สึกตัวในทันทีว่าเท่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะชักจูงสาวน้อยตรงหน้าเป็นเเน่!
เฮ่ยเสี่ยวฉางรีบส่งสายตาเป็นสัญญาณให้สหายกล่าวคำพูดต่อ แต่เฮ่ยเสี่ยวอู่นั้นคล้ายสติหลุดลอยไปเสียแล้ว เขาคิดหาข้อดีของจอมเทพอยู่เป็นนานก่อนจะเงียบหายขาดการติดต่อไปเสียเฉยๆ
“นอกจากรูปงาม มีอำนาจ แล้วตี้จวินคนนั้นมีข้อดีอะไรอีก เสี่ยวอู่ยังตอบไม่ได้เลย เห็นไหมล่ะ แค่นี้ก็ดูออกแล้วว่าตี้จวินคนนั้นจะต้องร้ายกาจมากแน่ๆ” หยูหนิงพูดพลางส่ายหัวปฏิเสธ
เฮ่ยเสี่ยวฉางเเทบปรบมือให้สาวน้อยตรงหน้า นางช่างเอ่ยวาจาได้ถูกใจเขาเสียเหลือเกิน ใช่แล้ว เจ้าเทพบรรพกาลผู้นั้นทั้งร้ายกาจและโหดเหี้ยมเกินใคร
ทว่าเขาจำต้องหลอกตนเองเพื่อให้รอดพ้น ดังนั้นยมทูตรูปลักษณ์ชายชราจึงต้องออกโรงเชิดชูเป้าหมายเพื่อชักจูงสาวน้อยตรงหน้า เฮ่ยเสี่ยวฉางถลกแขนเสื้อสีขาวด้วยท่าทีขึงขังราวกับพร้อมต่อยตี เขาโพล่งออกมาด้วยเสียงอันดังเพื่อสร้างความฮึกเหิมให้ตัวเอง
“ทำไมจะไม่มีกัน เสี่ยวหนิงเอ๋ย เจ้าจงฟังข้อดีของท่านเทพที่ข้าจะเอ่ยต่อไปนี้ให้ดีๆ ก็แล้วกัน จะได้รู้ว่าท่านผู้นั้นยิ่งใหญ่เเละเกรียงไกรเพียงใด” พูดจบเจ้าตัวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้อที่หนึ่ง ตี้จวินคือเทพบรรพกาลนอกฝั่งฟ้าเพียงหนึ่งเดียวที่สวรรค์เราหลงเหลืออยู่ในยามนี้”
แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วจะไม่เคยมีใครต้องการอยากได้ก็ตามเถอะ
“ข้อที่สอง ตี้จวินคือเทพที่มีพลังแกร่งกล้าที่สุดในสามภพภูมิหกแดน ขนาดเทียนจวินยังต้องยอมลงให้เลย”
จะไม่ยอมได้อย่างไร ในเมื่อถูกซัดแปะติดภูเขาเจ้าแม่หวังมู่ถึงสามวันสามคืน เขาไม่ได้โกหกนะ เทียนจวินยอมอ่อนข้อให้ตี้จวินจริงๆ เพราะไม่อย่างนั้นพระองค์ก็จะถูกทุบตี
“ข้อสาม ตี้จวินนั้นเป็นเทพที่มีใจเมตตากรุณาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แม้แต่ยามที่มีปีศาจบุกเข้ามารังแกเทพเซียนน้อยในสระมรกต ท่านก็ยังออกหน้าจัดการเจ้าปีศาจตนนั้นให้”
อันนี้เขาก็ไม่ได้โกหก ตี้จวินหักแขนหักขาแล้วเตะโด่งปีศาจตนนั้นลงมายังแดนยมโลกให้เหยียนหลัวหวางจริงๆ ถึงแม้เหตุผลที่ลงมือจะเป็นเพราะเจ้าปีศาจดวงตกหลงเข้าไปเกี้ยวท่านเทพก็เถอะ ทว่าพอเห็นสภาพอันน่าเวทนาของปีศาจตนนั้น ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันเทคะแนนความสงสารให้อย่างท่วมท้น ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องชะตาขาดขนาดไหน ถึงได้กล้าเข้าไปเกี้ยวท่านเทพบรรพกาลจอมวายร้ายนั่น!
“และข้อที่สี่ ตี้จวินนั้นมีรูปโฉมงดงามที่สุดในสามภพอย่างที่เสี่ยวอู่บอกจริงๆ”
ใช่งามมาก งามจนสวนทางกับจิตใจที่ชั่วร้ายของเจ้าตัวเลย!
เฮ่ยเสี่ยวฉางพยายามสะกดจิตตัวเองสุดชีวิต ก่อนจะหลอกให้สาวน้อยตรงหน้าเชื่อ เขาต้องเชื่อมั่นเสียก่อนว่าตี้จวินเป็นเทพที่นิสัยดีอย่างยิ่ง ดังนั้นยมทูตขาวจึงบอกลามโนธรรมในใจ พร้อมกับหลอกตนเองไปด้วย
หยูหนิงขมวดคิ้วเรียวเข้าหากันไม่รู้จะทำอย่างไรดี ใช่ว่าตัวเธอจะไม่สงสารยมทูตทั้งสอง แต่คุณแม่เคยบอกเอาไว้ว่า ในชีวิตของเราจะมีคนที่สามารถอยู่ด้วยตลอดไปได้แค่หนึ่งเท่านั้น และคนที่เธออยากอยู่ด้วยก็ไม่ใช่ตี้จวินอะไรนั่นสักหน่อย
‘เฮ้อ...จะทำยังไงดีนะ’
ความเงียบของราตรีกาลแผ่ปกคลุมทั้งสามร่าง สองยมทูตต่างนิ่งเงียบรอฟังคำตอบจากอีกหนึ่งดวงวิญญาณ จนผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีผู้ใดกล่าวคำพูดออกมา ในที่สุดก็เป็นเฮ่ยเสี่ยวอู่ที่หมดความอดทนก่อนใคร
เขาคว้าแขนพลางฉุดลากดวงวิญญาณตัวปัญหาทะลุผ่านประตูคฤหาสน์ ลอยตัดสวนดอกไม้มุ่งหน้าไปทางเรือนของคุณชายเพียงหนึ่งเดียวของสกุลจวินทันที โดยมีเสียงโวยวายจากร่างเล็กที่ถูกลากดังขึ้นตลอดทาง
“โอ๊ย! เสี่ยวอู่อย่ามาบังคับกันนะ บอกว่าไม่ก็คือไม่สิ ให้ตายหนิงหนิงก็ไม่ทำ!” เสียงใสเอ่ยอย่างเด็ดขาด
ร่างสูงของยมทูตชุดดำพลันหยุดชะงัก เขาหันหน้ามาสบตากับสาวน้อยตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา พลางถามขึ้นอีกครั้งด้วยท่าทางกดดัน
“ไม่ทำจริงๆ หรือ”
เห็นท่าทีคุกคามแฝงไปด้วยความกดดันของอีกฝ่าย หยูหนิงก็อดรู้สึกหวั่นเกรงจนตัวสั่นไม่ได้ ทว่าในใจคิดต่อต้านสุดชีวิต นี่เป็นอนาคตของตนเอง จะยอมให้ใครมาบงการได้อย่างไร มันเป็นความรู้สึกของเธอนะ
“ให้ตายก็ไม่ทำ!” เสียงใสเอ่ยชัดเจน ดวงตากลมสั่นไหวจนรู้สึกได้ แต่เจ้าตัวก็ยังยืนกรานความคิดเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
เฮ่ยเสี่ยวอู่กัดริมฝีปากขบฟันเเน่น เขามองวิญญาณตรงหน้าดวงตาวาววับเต็มไปด้วยโทสะ นี่นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน กับอีแค่วิญญาณต้นไม้เล็กๆ จากโลกมนุษย์ ถ้าหากไม่ได้เหยียนหลัวหวางนำน้ำทิพย์จากสระมรกตมารด จะก่อเกิดไอวิญญาณขึ้นมาได้หรือ และที่สำคัญหากไม่ใช่เพราะตี้จวินใช้พลังเทพเปลี่ยนแปลงแกนวิญญาณให้ นางจะสามารถมายืนเอาแต่ใจอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ช่างไม่รู้จักประมาณตัวเองเอาเสียเลย คิดว่านางมีสิทธิ์เลือกได้อย่างนั้นหรือ
เฮ่ยเสี่ยวฉางเห็นท่าไม่ดีรีบเข้ามาคั่นกลางระหว่างทั้งคู่เอาไว้ทันที ดวงตาเหลือบเห็นฝ่ามือเฮ่ยเสี่ยวอู่ที่กำแน่น เจ้าตัวรู้ได้ทันทีว่าสหายตนเริ่มจะหมดความอดทนเเล้ว เขานึกกลัวเหลือเกินว่าเสี่ยวอู่จะทำร้ายดวงวิญญาณตรงหน้านี่
ยมทูตชุดขาวส่งสายตาขัดขวางอีกฝ่าย เขานั้นคิดแตกต่างกับสหาย เฮ่ยเสี่ยวอู่อาจมองหยูหนิงเป็นเพียงต้นไม้ไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าในสายตาเฮ่ยเสี่ยวฉางแล้ว สาวน้อยตรงหน้าก็เป็นสรรพสิ่งมีชีวิตที่เหมือนๆ กับพวกเขา ดังนั้นนางจึงมีสิทธิ์ที่จะเลือก คิดใคร่ครวญ ไตร่ตรอง หรือแม้แต่ปฏิเสธ
ในความคิดของเฮ่ยเสี่ยวฉาง เด็กสาวตรงหน้าถือว่าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง อีกฝ่ายไม่เคยออกปากต่อว่าพวกเขาที่ทำเรื่องผิดพลาด จนเป็นเหตุที่ทำให้นางต้องไปเกิดผิดที่ อีกทั้งไม่เคยร่ำไห้ร้องโวยวายในยามต้องคืนร่างให้วิญญาณอีกดวง ตั้งแต่พวกเขานำนางมายังภพนี้ นางเองก็ไม่เคยสร้างปัญหาหรือเรียกร้องสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้เสี่ยวฉางรู้สึกถูกชะตากับหยูหนิงเข้าไปใหญ่
“เสี่ยวอู่ ห้ามเจ้าทำร้ายนางนะ”
เฮ่ยเสี่ยวอู่ได้ยินเสียงร้องห้ามจึงค่อยๆ ลดมือลง พยายามข่มอารมณ์หักห้ามโทสะภายในใจ ทว่าก็ยังไม่วายเอ่ยแย้งอย่างขุ่นเคือง “แต่…เสี่ยวฉาง เจ้าก็เห็นนี่ นางดื้อดึงเอาแต่ใจเกินไปแล้ว ถึงขนาดตายก็ไม่ยินยอม...” เสียงท้ายประโยคของเฮ่ยเสี่ยวอู่พลันขาดหาย เมื่อสายตาหันไปเห็นร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งเข้าเสียก่อน
เฮ่ยเสี่ยวฉางมองสหายก่อนที่ดวงตาจะมีแววเคลิบเคลิ้มขึ้นมาในทันที เช่นเดียวกับสองยมทูต หยูหนิงที่มองทางเดียวกันก็มีอันตกตะลึงไปชั่วขณะ นี่มันคุณคนในฝันของเธอไม่ใช่หรือ
ในศาลากลางสวนเยื้องกับบริเวณที่สองยมทูตหนึ่งดวงวิญญาณกำลังทุ่มเถียงกัน ปรากฏร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีแสงจันทร์ให้เห็น เจ้าตัวยืนหันหน้ามองท้องฟ้ามาทางทิศเดียวกับผู้บุกรุกทั้งสาม บรรยากาศรอบกายนั้นให้ความรู้สึกสูงส่งและเอื้อมไม่ถึงอย่างยิ่ง
เรือนร่างสูงสง่า ใบหน้างดงามราวรูปสลัก คิ้วเรียวดกดำ ดวงตาคมทรงเมล็ดซิ่ง [1] อีกทั้งริมฝีปากหยักสวยรับกับจมูกโด่งได้รูบอย่างลงตัว ช่างเป็นความงามที่โดดเด่นเกินผู้ใดในสามภพหกเเดนที่ยมทูตทั้งสองต่างก็รู้จักกันดี
“ตี้จวิน!”
ท่านเทพจอมอันธพาล!
สองยมทูตกับอีกหนึ่งวิญญาณมองคนงามเบื้องหน้าด้วยเเววตาเลื่อนลอย เเละท่านเทพในร่างมนุษย์ก็ดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของพวกเขาด้วย เห็นดังนั้นเฮ่ยเสี่ยวอู่จึงค่อยระบายลมหายใจอย่างโล่งอก พลางหันไปเปิดปากกับเด็กสาวข้างตัวอีกครั้ง
“เจ้าเด็กน้อย ข้าจะถามอีกครั้งเดียวเท่านั้น ว่าจะยอมเป็นคู่สร้างวาสนากับตี้จวินหรือไม่ ถ้าหากเจ้าไม่ยอมข้าจะ...”
“มัวยืนชักช้าอยู่ทำไมเล่าเสี่ยวอู่ พวกเรารีบไปวางเเผนขั้นต่อไปที่เรือนของตี้จวินกันเถอะ ไปๆ เสี่ยวฉางก็ด้วย อย่ามัวแต่ใจลอยสิ” เสียงใสของดวงวิญญาณหนึ่งเดียวในที่นั้นร้องเร่งพร้อมกับฉุดรั้งเฮ่ยเสี่ยวฉางจนแทบจะนำหน้าเสียเอง
เฮ่ยเสี่ยวอู่เชื่อว่าหากรู้เส้นทางอีกฝ่ายคงทำเป็นเเน่ เขามองภาพตรงหน้าเเล้วให้นึกมึนงงยิ่งกว่าเดิม
‘เอ่อ...นางวิญญาณต้นไม้ จำได้ว่าตอนเเรกเจ้าเป็นคนบอกไว้เองนะว่าถึงตายก็ไม่ยอมน่ะ...’
เช่นนั้นเเล้วภาพที่เขาเห็นตรงหน้านี่มันคืออะไร
[1] เมล็ดซิ่ง เป็นพืชในวงศ์เดียวกับ apricot เมล็ดซิ่งมีลักษณะคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ จึงถูกเรียกว่าอัลมอนด์จีน
ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิดเป็นสีดำสนิท หยาดฝนเม็ดใหญ่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายราวม่านน้ำตก เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระยะสลับกับสายลมที่กรรโชกแรง หยูหนิงในร่างลูกสุนัขจิ้งจอกกำลังยืนหอบหายใจหนักหน่วง ด้านหลังของร่างเล็กคือผาหินอันไร้หนทางให้หลบหนี ส่วนเบื้องหน้ามีเจ้าสัตว์ร้ายลำตัวยาวเหยียดกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาดุร้ายสายลมสายหนึ่งพัดผ่านร่างเล็กจ้อยที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน ทำให้รู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวที่สะท้านสะเทือนหัวใจ หยูหนิงอดที่จะร้องครางเสียงแผ่วออกมาไม่ได้ ทว่าน่าเสียดายนัก ท่าทางอันน่าสงสารที่แสดงออกนั้น ไม่สามารถเรียกความเห็นใจจากเจ้าอสรพิษตรงหน้าได้แม้แต่น้อย มันยังคงจ้องมองเธอประหนึ่งเหยื่ออันโอชะ ลิ้นสีแดงแลบตวัดผ่านจมูกเปียกชื้นราวกับต้องการชิมรสชาติเจ้าตัวน้อยตรงหน้า เห็นอย่างนี้หยูหนิงอยากจะบอกกับมันเสียเหลือเกินว่าพี่ชาย ถึงนายจะกินฉันลงไปก็ไม่ทำให้อิ่มท้องได้หรอกนะ แถมกระดูกอาจจะไปติดซอกฟันเอาเสียเปล่าๆมองการจากไปของครอบครัวตัวเองในชาตินี้ หยูหนิงก็อดนึกสะท้อนในใจไม่ได้ แม้จะใช้เวลาอยู่ร่วมกันเพียงไม่นาน แต่ความผูกพันย่อมเริ่มก่อตัว ความอาลัยมีหรือจะไม่มีได้ คิดไปเธอพลันเร
ปลายเดือนหกสายฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาด ในหุบเขามังกรฟ้าที่เงียบสงบมีเพียงจวินเทียนเฮ่อที่พักอาศัย หลายปีก่อนหน้านี้อาหม่าที่ติดตามเขาได้ถึงแก่กรรมไปตามวัย ทำให้ที่แห่งนี้เหลือเพียงเขาพำนักอาศัย วิชาที่อาจารย์สอนสั่งมานับเป็นเลิศหาใดเปรียบ จวบจนทุกวันนี้ตัวเขาคล้ายจะหยุดอายุขัยไว้ที่วัยยี่สิบกว่าปีเท่านั้นดวงตาคู่เรียวเหม่อมองฝ่าสายฝนที่บดบังทัศนวิสัย เสียงลมหายใจแผ่วเบาดังขึ้นเป็นบางเวลา จวินเทียนเฮ่อบอกกับตัวเองท่ามกลางความเงียบงันว่า การเฝ้ารอคอยบางครั้งก็เนิ่นนานชวนให้รู้สึกว่ายากจะทานทนเสียจริง“เสี่ยวฉาง นี่พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกันแน่” หยูหนิงก้าวเดินตามสองยมทูตไปในความมืดอย่างไม่รู้ทิศทาง ช่วงหลายวันมานี้เฮ่ยเสี่ยวอู่กับเฮ่ยเสี่ยวฉางเอาแต่ซุบซิบกันตลอดเวลา อีกทั้งยังช่วยกันปิดบังจนทำให้เธอเกิดความรู้สึกกังวลอย่างประหลาด ในใจก็ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดทำอะไรแปลกๆเฮ่ยเสี่ยวฉางก้าวนำด้วยรอยยิ้มสดชื่น มุมปากโค้งเป็นแนวกว้างอย่างอารมณ์ดี หลังจากคิดหาหนทางอยู่เป็นนาน ในที่สุดพวกตนก็พบวิธีดีๆ ที่จะทำให้ด่านเคราะห์ของตี้จวินผ่านพ้นไปได้ ในขณะที่สหายกำลังอยู่ในความเบิกบาน เฮ่ยเสี่ยวอู่ก
แดนสวรรค์...นอกจากเทพซื่อมิ่งแล้วยังมีอีกหนึ่งที่เฝ้าดูเหตุการณ์วุ่นวายดังกล่าวอยู่ ซึ่งก็หาใช่ผู้ใดใครอื่น แต่เป็นประมุขสวรรค์นายของเขานั่นเอง เง็กเซียนมองเรื่องราวที่จบลงด้วยดีอย่างไม่พอใจ เจ้าเอ้อร์หลางนั่นช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ตนอุตส่าห์ชักนำให้มาพบกับมารดามนุษย์ของตี้จวินแล้วแท้ๆ แต่กลับจัดการไม่ได้แม้แต่วิญญาณต้นไม้ธรรมดาดวงหนึ่ง“หากเจ้าวิญญาณต้นไม้นั่นมีอันเป็นไป ตี้จวินก็จะไม่มีทางผ่านด่านเคราะห์ เขารับคำสาบานไปแล้วย่อมไม่กล้าตระบัดสัตย์กลับคืนแดนเทพ ข้าก็จะไม่ต้องมีตัวหายนะเป็นหนามยอกอก เรื่องดีๆ เช่นนี้กลับถูกเจ้าเอ้อร์หลางทำเสียหายได้ น่าโมโหนัก น่าโมโหที่สุด” ผู้ปกครองแดนสวรรค์บ่นพึมพำสบถกับตนเองลั่นตำหนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งขุ่นเคืองผู้ใต้บังคับบัญชาเซียนรับใช้หลายนางพากันก้มหน้าลงต่ำ แม้แต่ผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา พวกเขาล้วนรู้นิสัยไร้เหตุผลของเจ้านายดี จึงไม่มีใครคิดอยากวุ่นวาย ดูท่านเทพเอ้อร์หลางเป็นตัวอย่างก็น่าจะเข้าใจ เพราะเพียงแค่ความเห็นไม่ลงรอยยังถูกโยนข้อหาใส่ ทุกวันนี้แม้เวลาจะผ่านไปหลายร้อยปี ก็ยังต้องเผชิญวิบากกรรมอยู่บนโลกมนุษย์เลยเทพซื่อ
หยูหนิงที่หนีออกมานั้นกำลังมืดแปดด้าน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเพิ่งจะหลบหนีออกมาจากเขตอาคมของนักพรตได้อย่างง่ายดาย ในหัวมีเพียงคำพูดของไป๋เฟิ่งที่ร้องเตือนให้ซ่อนตัวเท่านั้น และแน่นอนว่าเธอไม่มีทางที่จะไม่ทำตาม ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าการชำระวิญญาณที่นักพรตนั่นเอ่ยถึง จะเป็นการส่งไปเกิดใหม่หรือทำให้ดวงวิญญาณแตกสลายกันแน่ร่างเล็กทะยานไปในอากาศ ดวงตากลมหรี่ลงครุ่นคิด สุดท้ายก็มุ่งหน้าไปทางเรือนมู่ตานที่คุ้นเคย “ที่ที่อันตรายคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด” เธอยังคงเชื่อมั่นในประโยคนี้ ความมั่นใจจึงล้นปรี่อีกครั้งยามกระโดดข้ามผ่านขอบหน้าต่างเข้าสู่ห้องนอนของเจ้าของเรือน ยังไม่ได้พูดคุยกับคนที่สู้อุตส่าห์ติดตามมาแม้แต่คำเดียว แล้วใครเล่าจะยอมจากไปโดยไม่คิดขัดขืน“ยังไม่ได้คุยกันสักคำ ใครจะยอมทำตามเล่า นักพรตบ้า”เทพซื่อมิ่งได้ยินวาจาพึมพำความในใจก็นึกขบขันจนหัวร่องอหงาย นางต้นไม้นี่ช่างน่าสนใจอะไรเช่นนี้ บอกว่ามาเพื่อบุรุษก็ทำดั่งพูดจริงๆ ไม่มัวมานั่งอายขวยเขิน มุ่งตรงหาเป้าหมายอย่างแน่วแน่ แม้แต่ในยามคับขันก็ยังไม่ลืมเหตุผลของตน สตรีที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้เหมาะสมยิ่งนักกับท่านเทพอันธพาลคิ้วเรียวยาวถูกเจ้าขอ
เมื่อยามค่ำมาเยือนภายในบ้านสกุลจวินเงียบสงบไร้เสียงอึกทึก ทว่านั่นเป็นเพียงมุมมองในด้านของมนุษย์เท่านั้น เพราะในมุมมองโลกที่สามเวลานี้มีสองดวงวิญญาณกำลังเคลื่อนที่ตามกันไม่ห่างโดยมีสตรีเป็นผู้นำ ดวงวิญญาณของหญิงสาวก็คือหยูหนิงนั่นเอง และแน่นอนว่าวิญญาณบุรุษที่อยู่ด้านหลังย่อมเป็นไป๋เฟิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย“หยูหนิงหมายความว่าอย่างไร ที่เจ้าบอกว่ามีวิธีช่วยให้ข้าสมหวัง”ไป๋เฟิ่งเอ่ยถามน้ำเสียงสั่นไหว ดวงตาเหลือบมองฝ่ามือที่ถูกจับจูงโดยคนข้างหน้าไม่กะพริบ วิญญาณไม่มีเลือดเนื้อและร่างกายจึงไร้ความรู้สึก ทว่ามือที่ถูกเกาะกุมนั้นกลับมีความอบอุ่นไปจนถึงจิตใจ“ใช่แล้ว นี่นับว่าเป็นโอกาสอันดีของเจ้าเลยรู้หรือไม่” เสียงใสตอบด้วยน้ำเสียงยินดีครั้งแรกที่หยูหนิงเอ่ยปากเรื่องช่วยเหลืออีกฝ่าย เธอยังคิดว่าคงต้องรอจนสองยมทูตกลับมา ไหนเลยจะบังเอิญมีเรื่องโชคดีเข้ามาก่อน เห็นไป๋เฟิ่งมีสีหน้างงงวยหยูหนิงจึงอมยิ้มพลางอธิบายเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียดที่แท้เมื่อสามวันก่อนบุตรชายของลูกผู้น้องญาติห่างๆ นายท่านจวินได้เดินทางจากบ้านเดิมมาขอพักพิงชั่วคราวเพื่อเตรียมตัวเข้าสอบเป็นจิ้นซื่อที่จะถึงในปีนี้ ไป๋เฟิ่
เวลาผ่านไปหลายวันภายในบ้านสกุลจวินยังคงเงียบสงบ เนื่องจากหลิวซีเยี่ยนได้รับคำแนะนำจากท่านนักพรตให้หยุดเรื่องพิธีดูตัวเอาไว้ก่อน จึงไม่มีเหตุผลให้วิญญาณร้ายต้องปรากฏตัวมาไล่ตัดวาสนาดอกท้อหญิงสาวเหล่านั้น อีกทั้งสองยมทูตเองก็ยังไม่สามารถปลีกตัวมาหาได้ ทำให้หยูหนิงในตอนนี้มีเวลาว่างมากพอที่จะมานั่งเสวนากับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา‘ไป๋เฟิ่ง’ คือนามของผู้มาใหม่ วิญญาณบัณฑิตหนุ่มผู้สิ้นชีพลงในวัยเพียงแค่ยี่สิบปี ซึ่งแฝงตนมากับโต๊ะเขียนหนังสือไม้สลักเก่าแก่อายุหลายร้อยปี ที่นายท่านจวินเพิ่งจะได้มาครอบครอง ไป๋เฟิ่งเองก็ได้เล่าถึงสาเหตุที่ตนเองต้องมาผูกติดอยู่กับโต๊ะตัวนี้ให้หยูหนิงฟังอย่างละเอียดแต่เดิมยามเป็นมนุษย์ไป๋เฟิ่งเกิดในสกุลไป๋ที่เป็นตระกูลบัณฑิตเก่าแก่แห่งต้าเหลียว บรรพบุรุษของเขาทุกรุ่นล้วนแต่รับราชการ อุทิศตนเพื่อบ้านเมืองมาตลอด เมื่อมาถึงยุคสมัยของตัวไป๋เฟิ่งก็ยังมีพี่ชายที่เป็นความหวังของบ้าน ทว่าก่อนวันสอบเพียงไม่กี่วัน ไป๋มู่ผู้เป็นพี่ชายก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปก่อนเพราะไม่อาจทนมองบิดามารดาผู้เฒ่าจมอยู่กับความผิดหวัง ไป๋เฟิ่งที่เดิมร่างกายอ่อนแอจึงตัดสินใจสืบทอดเจต