“หมิงอี้!! ลูกข้า เจ้าฟื้นแล้ว”
อิ้เฟินรีบวางไม้ฟืนที่หอบมาลงกองที่พื้น แล้วรีบวิ่งไปหาสาวน้อยที่นั่งอยู่ทันที พอถึงตัวก็คว้ามากอดอย่างรักใคร่ “แม่ดีใจยิ่งนัก เจ้าหิวหรือไม่ นอนหลับไปตั้งหลายวัน” อิ้เฟินละล้ำละลักถามลูกสาว “เอ่อ!” “นี่แม่ได้ปลามา เดี๋ยวรีบทำข้าวต้มให้เจ้ากินเลย นั่งรอข้าประเดี๋ยวนะ” ด้วยความดีใจที่ลูกสาวฟื้น อี้เฟินจึงกระวีกระวาดรีบตระเตรียมข้าวต้มมาต้ม พร้อมนึ่งปลาเตรียมให้สาวน้อยทันที อี้หมิงนั่งมองหญิงวัยกลางคนที่ตอนนี้กระวีกระวาดก่อไฟ ทำอาหารให้นางทานอย่างเซ็ง ๆ ” เฮ้อ นี่เธอจะต้องอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือนี่ “ ผ่านไปไม่นาน อี้เฟินก็ยกสำรับอาหารมาวางตรงหน้าสาวน้อย อี้หมิงมองอาหารที่มีเพียงข้าวต้มเปล่าๆ ที่และปลานึ่ง และมีผักต้มอีกเล็กน้อย แล้วเงยหน้ามองนางที่บอกว่าเป็นแม่ของนาง อย่างนึกอนาถ ” นี่ หมืงอี้เจ้ากินเยอะ ๆ นะ ข้าตั้งใจทำสุดฝีมือเลย หลับไปตั้งหลายวันฮึ “เฟินอี้ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาไปวางบนชามลูกสาว ในขณะที่นางเลือกกินเฉพาะผัก ด้วยกลิ่นของข้าวต้มถึงแม่จะดูธรรมดาแต่กลิ่นก็หอมยั่วกระเพาะของอี้หมิงใช่ย่อย บอกกับนอนสลบไปหลายวันจึงทนไม่ไหวทรีบยกชามข้าวขึ้นจ่อที่ปากแล้วใช้ตะเกียบเขี่ยเข้าปากอย่างรวดเร็ว“แค่ก แค่ก”
“ค่อย ๆ สิลูก ประเดี๋ยวก็ติดคอหรอก” อี้เฟินดุแล้วลูบหลังให้ร่างบาง อี้หมิงผงกหัวรับแต่หน้าไม่เงยจากชามข้าวต้มเลยซักนิด ผ่านไปครู่เดียวข้าวต้มก็ลงไปอยู่ในท้องของนางจนหมดเกลี้ยง
” อ่าาา อิ่ม “อี้หมิงส่งเสียงแล้วเลียริมฝีปากอย่างอร่อย
” มา ๆ แม่จะเอาไปเก็บ เจ้านอนอีกสักหน่อยนะอ่ะ “อี้เฟินบอกลูกสาว แล้วยกเอาชามข้าวไปล้างทำความสะอาด
อี่หมิงเมื่อไม่มีอะไรทำก็คิดไปถึงบิดากับมารดาที่นางจากมา ป่านนี้พวกเขาจะคิดถึงนางกันบ้างมั๊ยนะ
~โลกปัจจุบัน~
ทีวีหลายช่อง สื่อ วิทยุต่างประโคมข่าวที่นักศึกษาจาก มอชื่อดังกลางกรุงปักกิ่งเป็มลมและเสียชีวิตขณะไปเข้าค่าย
เสียงซุบซิบดังไปทั่วทั้งมอด้วยความสงสาร ในขณะที่พ่อแม่ของอี้หมิงก็ร่ำไห้ในพิธีฝังศพของลูกสาวอย่างโศกเศร้า
” โถ่วลูกรัก เจ้าช่างมีบุญน้อยเสียจริง ๆ ชาติหน้ามาเกิดเป็นลูกของแม่ใหม่นะลูกนะ”
” ฮึก ๆ ”
“ปึก ปึ๊ก ปึก” เสียงฝ่าฟืนจากหญิงสูงวัยเรียกสติหมิงอี้ที่กำลังเหม่อให้กลับมา
สาวน้อยมองภาพคนที่บอกว่าเป็นแม่นางอย่างนึกเวทนา นางใช้ขวานผ่าฟืนทีละท่อน ในขณะที่มือเหี่ยวย่นก็คอยยกซับเหงื่อไปด้วย จึงลุกเดินเข้าไปหาแล้วขอช่วยทำ แต่ก็โดนอี้เฟินไล่ให้มานั่งพัก โดยให้เหตุผลว่าเธอพึ่งฟื้น ประเดี๋ยวอาการจะกลับมากำเริบอีก จึงได้แต่ถอยมานั่งหงอยอยู่บนตั่งที่เดิม
“พี่หมิงอี้~~~~~พรึบ”
แรงกระโดดกอดจากสาวน้อยทำให้เธอล้มหงายหลังลงไปบนเตียง
“พี่หมิงอี้ ในที่สุดพี่ก็ฟื้นซักที”
“จะ เจ้า คือใครกัน” อี้หมิงขยับกายถอยออกห่างจากสาวน้อยตรงหน้าที่แต่งตัวมอมแมมไม่ต่างจากเธอมากนัก
“นี่พี่เลอะเลือนเหมือนคนเขาลือกันจริงด้วย ฮึ!! เจ็บใจเจ้าพวกอันธพาลนั่นนักที่มาตีพี่ พี่ถึงเป็นแบบนี้” สาวน้อยตรงหน้ากอดอกแล้วทำท่าทางเข็นเขี้ยว
“ข้าชื่อ เฟิน เฟิน” สาวน้อยพูดชื่อตัวเองช้า ๆ ทีละคำ
“เราเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก บ้านข้าอยู่ข้างๆ พี่นี่เอง เราตัวติดกันตลอด ไปไหนไปกันไม่ทอดทิ้งกัน พี่พอจะนึกออกหรือไม่” เฟินๆ กอดอกเล่าอย่างตั้งใจเผื่อจะเรียกความทรงจำของหมิงอี้กลับมา
อี้หมิงขมวดคิ้วมุ่น ส่ายหน้าช้า ๆ
” ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวค่อย ๆ นึกก็ได้แค่พี่ฟืนขึ้นมาก็ดีแล้ว ถ้าวันนั้นข้าไม่ชวนพี่ไปรอรับอาหารจากเศรษฐีในเมืองพี่คงไม่เป็นแบบนี้ ฮึก ฮึกๆ “เล่าไปมาสาวน้อยนามเฟินเฟิน ก็แบะปากร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
อี้หมิงเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปปลอบสาวน้อยขี้แยยกใหญ่
” ไม่เป็นไรๆ อย่าโทษตัวเองเลยนะ ไหนๆ เจ้าเล่าให้ข้าฟังซิว่าข้าเป็นยังไง เผื่อจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”
” อื้อๆ ได้เลย “เฟินๆ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เลอะแก้มมอมแมมออก ก่อนจะเล่าย้อนไปถึงต้นตอและที่มาของชุมชนคนเร่ร่อนที่ตนอยู่ให้อี้หมิงฟัง
” แม่ข้า เคยเล่าให้ฟังว่า เดิมเราไม่ใช่คนในแคล้นต้าหลี่แห่งนี้ เราอพยพมาจากแคว้นเหลียนจง แคว้นที่เคยยิ่งใหญ่มากๆ เดิมแคว้นเรายิ่งใหญ่และอุดมสมบูรณ์มาก จึงมีแต่เมืองต่าง ไม่คอยแต่จะจ้องโจมเพื่อครอบครองสมบัติของแคว้นเรา ว่ากันว่าถ้าใครได้ครองแคว้นแห่งเหลียนจงก็เปรียบเสมือนเป็นใหญ่กว่าแคว้นทั้งปวงในดินแดนกว้าใหญ่แห่งนี้ ในเมื่อสวรรค์มีเทียนกง เมืองมนุษย์ก็มีจักพรรดิเเคว้นเหลียนนี่แหละที่ใหญ่ไม่แพ้กัน” เฟินๆ ตั้งอกตั้งใจเล่า ในขณะที่อี้หมิงก็ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ
“แต่จุดจบของแคว้นก็มาถึงเมื่อต่างแคว้นเข้ามายุยงปั่นปวนราชสำนัก ขุนนางหลายคนเกิดความโลภ ทำให้เกิดการหักหลังกันขึ้น จนจักพรรดิแห่งต้าหลี่ที่รู้ถึงความระส่ำระส่ายของเหลียนจงในครานั้นถือโอกาสเข้าโจมตีตอนแคว้นที่กำลังเกิดแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน ทำให้แคว้นเหลียนที่เคยยิ่งใหญ่แพ้ศึกราบคาบ แต่ไม่มีผู้คนล้มตายมากนักเพราะจักรพรรดิแห่งต้าหลี่ไม่ได้กะจะเอาไพล่พลแคว้นเหลียงให้ถึงตาย แค่จักรพรรดิเหลียนยอมจำนน ต้าหลี่เพียงแต่กวาดต้อนไพล่พลกลับมาที่แคว้นต้าหลี่ก็เท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพวกเราเอง”
“อื้อฮึ” อี้หมิงพยักหน้าตาม แล้วสรุปในใจว่าตอนนี้เธอย้อนมาที่ไหนซักยุคไม่รู้จัก เนื่องจากเธอไม่ใช่คนที่สนใจประวัติศาสตร์มากนัก แต่ช่างเหอะในเมื่อมาแล้วก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี
“เฮ้อออ!” อี้หมิงถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างปลงตก ยอมรับในชะตากรรม
………………….
หมิงอี้ที่วิ่งมาถึงโรงเรือนก่อนก็รีบเปิดประตูอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้นที่จะให้ทุกคนได้ลิ้มรสชาไข่มุกที่ตนเองลงมือทำ“โอ๊ะ นี่ลืมไปเสียสนิท” หมิงอี้เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังขาดบางอย่างที่สำคัญไป และสำคัญอีกด้วยจึงหันไปหมายจะใช้ลู่อินที่เธอนั้นเรียกให้ตามมาดูในสิ่งที่เธอทำแฮ่ก ๆลู่อินที่มาถึงก็มีอาการเหนื่อยหอบเพราะตนนั้นกลัวเจ้านายจะเกิดหกล้มจึงเร่งวิ่งให้ทันเถ้าแก่สาว ‘หือ กลิ่นหอม ๆ หวาน ๆ นี่มันอะไรกัน’ ลู่อินสูดจมูกดมกลิ่นที่ไม่ค่อยคุ้นเสียเท่าไหร่พร้อมทั้งมองซ้ายแลขวาเพื่อหาต้นตอของกลิ่นประหลาด ของหวานหรือขนมเช่นนั้นหรือ“ลู่อิน น้ำแข็งที่ซื้อเก็บไว้ใต้เรือนครั้งก่อนยังเหลืออยู่ใช่รึไม่”“ยังพอเหลืออยู่เจ้าค่ะ น่าจะเหลือใช้ถึงหน้าหนาวที่จะมาเลยแหละเจ้าค่ะ” ลู่อินตอบและนึกทึ่งที่เถ้าแก่ตนคิดรอบคอบครั้งก่อนนำคนงานออกไปตัดน้ำแข็งมาเก็บไว้ใต้เรือนทำให้หน้าร้อนทั้งร้านเทียนฝูก็มีน้ำแข็งเย็น ๆ พอดับกระหายร้อน“อืมเช่นนั้นเจ้าไปเอามาให้ข้าที อ่อลู่อินทุบ ๆ ให้แตกเป็นก้อนเล็ก ๆ มาให้ข้าด้วยนะ อืมลู่อินไปตามคนที่พอว่างงานมาอีกสักคนเถิดแล้วเอาถ้วยชามาให้ข้าทีขอมากหน่อยนะ” หมิงอี้ที่กำลังริ
คิดเช่นนั้นหมิงอี้ก็เปลี่ยนคิดทางการเดินมุ่งตรงไปยังโรงเรือนที่ตนใช้คลุกตัวคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ มือบางเปิดประตูไม้อย่างเบามือ ก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ แขนเสื้อกว้างถูกนำเชือกมามัดก่อนจะนำมาคล้องคอเพื้อไม่ให้เกะกะการทำชาไข่มุกในครั้งนี้ของตน ดวงตาเปล่งประกายตื่นเต้นเมื่อคิดไปถึงรสชาติแปลกใหม่ที่ผู้คนที่อยู่ด้านนอกนั้นจะได้ลิ้มรสกัน“เอาล่ะชาไข่มุกในโลกอนาคตจะมาเสิร์ฟให้ทุกท่านได้ชิมแล้วนะบัดนี้ ฮ่า ๆ” มือบางปัดกันไปมาก่อนลงมือทำ“อยู่นี่ไง อืมยังพอเหลืออยู่แค่นี้ก็ได้” หมิงอี้ก้มลงหยิบแป้งข้าวเหนียวสีขาวออกมา พอดีกับน้ำอุ่นที่เธอมักอุ่นไฟไว้ชงชาถูกนำมาผสมเทผสม สองมือขาวเนียนละเอียดค่อย ๆ นวดแป้งไปมาจนน้ำแลแป้งเข้ากันเหนียวหนึบเป็นเนื้อเดียวกันจนได้เป็นก้อนขนาดไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไปออกมาก้อนหนึ่ง หมิงอี้มองดูก้อนแป้งที่ตนนั้นได้ออกมาหลังจากนวดไปมาอยู่สักพักแต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจสักเท่าไหร่สีมันดูจืดชืดไปกระมังเช่นนั้น“อืม เอาอย่างนี้แล้วกันใส่ ๆ ไปหากอร่อยจะได้ทำขายไม่แน่เพื่อคนยุคนี้ชอบ ฮึ ๆ” หมิงอี้หยิบผลอิงเถาจากจานที่มารดามักนำมาวางไว้ในเธอเมื่อเห็นว่าเธอชื่นชอบมัน ขึ
“อะฮึ่ม” เฉิงอึ้ครั้นเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ใดก็พลันชิงกระแอมขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ฮุ่ยเหอที่เตรียมทำความเคารพเขาหน้าตาตื่นนั้นต้องชะงัก พร้อมทั้งเปลี่ยนทีท่าในทันที เพียงเห็นท่าทีขององค์รัชทายาทเฉิงอี้เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าผู้คนที่รายล้อมพระองค์อยู่ในบัดนี้ไม่ร็สถานะแท้จริงของพระองค์ โดยหาร็ไม่ว่าเฉิงอี้นั้นหาได้ปกปิดฐานะตนกับเจ้าของร้านเทียนฝูแห่งนี้ไม่ อีกทั้งเปิดเผยแล้วหมิงอี้นางยังไม่มีทีท่าจะสนใจซ้ำจะปีนป่ายขึ้นมาเคียงข้างเจ้าของตำหนักบูรพาเฉกเช่นเขาไม่ ซึ่งเรื่องนี้เองฉฺงอี้ก็สงสัยอยู๋ไม่น้อยใต้หล้านี้ผู้ใดไม่หมายตาตำแหน่งพระชายาของเขากัน เห็นแต่มีเพียงนางที่ยังเห็นเขานั้นเป็นสหายเฉกเช่นสหายผู้อื่นของนาง เห็นได้ชัดว่าเขานั้นมากความสามารถแลมิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใดไม่ เขาย่อมมั่นใจ! ว่าต้องมีบางอย่างผิดพลาดเกิดขึ้นกับนางเป็นแน่“อ้าว ท่านผู้ตรวจการก็มารับผักในวันนี้งั้นรึ ได้จองไว้รึไม่เล่าฮึ” เฉิงอี้เอ่ยยิ้ม ๆ เมื่อเห็นว่าบรรยากาศโดยรอบผู้คนเริ่มซุบซิบนินทากันไปใหญ่จนเกิดเสียงดังเซ็งซ่ขึ้น“อะเอ่อปะเปล่าพ่ะ เอ่อ ข้า ฮึ่มเพียงมาดูความสงบ อะฮึ่ม” เป็นฮุ่ยเหอที่จู่ ๆ ก็เกิดลิ้นเ
บรรยายกาศครึกครื้นของอีกฝั่งเมือง ในขณะที่บัดนี้ในตลาดที่เคยคึกคักของเมืองหลวงกลับเงียบเหงาสร้างความประหลาดใจให้กับขุนนางแลทหารที่ลาดตะเวนตรวจตราความเรียบร้อยเป็นประจำของเมืองเป็นยิ่งนักจน“พวกเจ้าไปตรวจดูเสียหน่อย นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่” ฮุ่ยเหอผู้ตรวจการประจำสำหนักของศาลต้าหลี่ยืนนิ่งทอดสายตามองไปยังอีกฝั่งของตลาดอย่างใคร่สงสัย มือใหญ่กำกระบี่ที่คาดอยู่ข้างเอวแน่น ในใจรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอันมาก แต่เพียงครู่ก็มีเสียงของหนึ่งในทหารที่ร่วมลาดตะเวนด้วยกันเอ่ยขึ้นให้เขาได้ประจักษ์แจ้งถึงเหตุประหลาดในวันนี้“ผู้ตรวจการขอรับ วันนี้ร้านเทียนฝูเปิดขายผักสลัดไร้ดินวันแรกผู้คนที่ลงชื่อสั่งไว้จึงเดินทางไปรับผักกันขอรับ หนึ่งในนั้นก็มีฮูหยินของข้ารวมอยู่ด้วย นางตื่นมาแต่เช้าตรู่แลท่าทางดูตื่นเต้นยิ่งนักขอรับ”“เจ้าว่าเช่นไรนะ ผักไร้ดิน ปลูกผักจะไม่ใช้ดินได้เช่นไรกันเล่า เกรงว่าคงโนหลอกกันแล้วกระมัง ไม่ได้! หากเป็นเช่นนั้นจะปล่อยให้มีการหลอกลวงชาวเมืองเฉกเช่นนี้ได้อย่างไรกันอีกอย่างร้านเทียนฝูนั้นใช้เวลาไม่นานก็รุ่งเรืองขึ้นอย่างน่าประหลาดใจจากหมู่บ้านคนอพยพแร้นแคลนจู่ ๆ กลับมีอยู่มีกินซ้ำรุ
“อะอ้าว องค์...เอ่อเฉิงอี้ข้าไม่คิดว่าวันนี้เจ้าจะมา” หมิงอี้เผลอหลุดยิ้มกว้างออกมา“เหตุใดโอกาสดีเช่นนี้ข้าจะไม่มาร่วมยินดีได้กันเล่า” เฉิงอี้เอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะเร่งหันไปมองสหายอีกคนของหมิงอี้เมื่อมีเสียงห้าวตะโกนเอ่ยทักทายของตนเสียงดัง ในน้ำเสียงนั้นเผยแววดีใจแลตื่นเต้น“เฉิงอี้! เจ้ามาก็ดีมาช่วยข้าเร็วเข้า ๆ ข้าไม่ไหวแล้วเนี่ย!” อู๋ไป๋โบกไม้โบกมือใหญ่เมื่อแลเห็นสหายอีกคน แม้เขาจะนึกไม่ชอบใจใบหน้าหล่อเหลาประดุจดั่งเทพเซียนนั้นของเขาเท่าใดแต่เวลาคับขันเช่นนี้เย่อหยิ่งไปแล้วได้สิ่งใดกัน“หมะ...อ้าวอู๋ไป๋ ได้ ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” อี้เฉิงที่ยกมือเตรียมทักทายหมิงอี้ที่วันนี้นางช่างดูงดงามอ่อนหวานแลน่าทะนุถนอมราวกระเบื้องเคลือบเป็นที่สุดนั้น ‘นับวันสตรีผู้นี้ยิ่งงามสินะ’ แต่เฉิงอี้ก็เพียงเก็บคำกล่าวนี้ในใจ ก่อนจะเอ่ยอย่างเสียดายเมื่อจำต้องไปช่วยสหายอีกคนเช่นอู๋ไป๋ที่ดูท่าแล้วคงสุดแล้วแต่กำลังจริง ๆ กระมังถึงได้เอ่ยขอร้องเช่นนี้ “หมิงอี้ไว้ข้ามาพูดคุยด้วย ขอตัวเพียงครู่ไปช่วยฝั่งนั้นก่อนแล้วกัน หึ ๆ” เฉิงอี้เอ่ยกับนางอย่างนึกเสียดาย พึ่งมาถึงพูดคุยยังไม่ถึงครึ่งประโยคก็ต้องคลาดกันเสียแล้ว อั
หนึ่งเดือนผ่านไปหมิงอี้เวลานี้ยืนยิ้มกริ่มมองดูบรรดาลูกค้าที่หลากฐานะยืนรอคิวต่อแถวกันยาวเหยียดแต่เช้าตรู่เมื่อถึงกำหนดวันที่ผักที่พวกเขาสั่งจองหวังลิ้มลองนั้นได้นำออกมาวางขายในเวลานี้ ซึ่งสโลแกนที่หมิงอี้เสริมเข้าไปเป็นโฆษณาเพื่อเพิ่มยอดขายนั้นคือ ‘ดึงถอนสด ๆ ราวกับลูกค้ามาปลูกเอง’ และทันทีที่ปล่อยโฆษณานี้ออกไปปรากฏว่าหมิงอี้นั้นได้ออเดอร์เพิ่มขึ้นมากเลยทีเดียว มากจนเกินกว่าที่นางคาดไว้เสียอีก~นี่พวกเจ้าอย่าเบียดเข้ามาสิ ~~ก็ข้าอยากเห็นแล้วนี่นา นะนั่นดูสิ ๆ เจ้าของร้านนางมาแล้วล่ะ~~มาแล้ว ๆ นางมาแล้ว ข้าตื่นเต้นนักเชียวในที่สุดก็มาถึง ข้าอยากชิมเสียแล้วล่ะ โน่น ๆ ดูสิ ๆ ข้ามองเห็นผัก โอ้โหนั่น ๆ ผักเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ล่ะ~~ฮ่า ๆ เจ้านี่ทึ่มเสียจริงเลย ฮึ ๆ นางปลูกในกระบอกไม้ไผ่ต่างหากเล่าหาใช่เกิดในไม้ไผ่เสียที่ใดกัน~~เหมือนกันแหละหน่า...~แปะ ๆ ๆ ๆ“อ้าว ๆ พ่อแม่พี่น้อง พี่ ป้า น๊า อา เงียบ ๆ ก่อนนะจ๊ะ ได้ทุกคนจ๊ะ ผักมีเยอะนักเชียว ใครมาก่อนอยู่ด้านหน้ามาช้าอยู่ด้านหลัง ต่อแถวกันเช่นนี้จะได้ผักเร็ว ๆ แล้วกลับบ้านไปกินให้อร่อย ๆ ไงจ๊ะ อ้าว ๆ มา ๆ ท่านน้า ๆ ไหนข้าดูสิ โอ้นี่ลูก