สือลี่ผิงกวาดสายตามองสตรีร่างผอมโซซึ่งนอนอยู่บนเตียงกลางเก่ากลางใหม่ จิตใจของนางไหวระทึก เหมือนเหลือเกิน นี่คือท่านแม่ของนาง หน้าตาละม้ายกันถึงเพียงนี้ สือลี่ผิงจึงรับรู้ได้ในบัดดล ว่านางได้เข้ามายังร่างเดิมของตน ร่างที่ไม่รู้ว่าถือกำเนิดแต่ชาติปางไหน และนางต้องวนมาชดใช้กรรมใด ทว่าการได้มารดากลับมาอีกครั้งนับเป็นพรจากสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่เหนือคณนาแล้ว
"ท่านแม่!" สือลี่ผิงถลันกายเข้าหาผู้เป็นมารดาด้วยใจคะนึงหา
นานมากแล้วที่แม่ของนางตายจากไปไม่อาจย้อนกลับ แม้แต่คำบอกลาก็ยังไม่ทันได้เอ่ย
แค่ก แค่ก
"ลี่ผิง ไยมอมแมมเช่นนี้เล่า แล้วเร่งร้อนเรื่องใด" ฝ่ามือสั่นระริกเอื้อมสัมผัสใบหน้าของบุตรสาวด้วยความทะนุถนอม พลางไอโขลกไม่หยุดหย่อน
สื่อลี่ผิงส่ายหน้าเป็นพัลวัน นางจับมือของมารดาแนบไว้ข้างแก้มของตน หยาดน้ำสีใสเอ่อคลอ ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่าเบลอ "ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านเจ้าค่ะ"
มู่หรานคลี่ยิ้มอบอุ่น ปลายนิ้วชี้ค่อย ๆ ปาดหยาดน้ำตาซึ่งหลั่งรินลงมาอาบพวงแก้มจนเปื้อนเขรอะ "เด็กดี ไม่ต้องร้อง ทำราวกับเราจากกันนานโข เจ้าถูกลงโทษให้อยู่ห้องเก็บฟืนทั้งคืน คงลำบากแย่แล้ว"
"ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เพียงข้ายังพบหน้าท่านข้าก็ดีใจมากแล้ว"
"แม่จะไปที่ใดกันเล่า ขี้แยเป็นเด็กไปได้ เจ้าไปอาบน้ำผลัดผ้าเถิด เป็นสาวเป็นนางแล้วยังกายเลอะเทอะประดุจเด็กสามขวบ" เสียงสตรีแหบพร่า ริมฝีปากของนางแห้งผากซีดเซียวไร้เลือดฝาด มู่หรานนอนป่วยอยู่บนเตียงเช่นนี้เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ทว่าหมอตรวจคราใดกลับไม่เคยได้คำตอบเกี่ยวกับโรคประหลาดที่นางเป็น
ฮูหยินรองเช่นนางถูกกดขี่จากฮูหยินใหญ่ นางตบแต่งเข้ามาด้วยความไม่ยินยอม แม้สือลี่ผิงถือกำเนิดจากความไม่เต็มใจทว่านางรักบุตรสาวคนนี้มากกว่าสิ่งอื่นใด เพียงแต่สุขภาพร่างกายของตนตอนนี้กลับไม่อาจปกป้องสือลี่ผิงได้เช่นกาลก่อน
สือลี่ผิงปาดน้ำตาส่ง ๆ จุดมุ่งหมายแห่งการมีชีวิตอยู่ก็คือสตรีเบื้องหน้า สวรรค์อย่าคิดพรากนางไปอีกเป็นอันขาด นางผินหน้ามองถ้วยยาข้างหัวเตียง พลางยกขึ้นสูดดม
ยาพิษ
สือลี่ผิงผู้นี้พอมีวิชาแพทย์ติดตัวบ้าง จึงทำให้นางเอาตัวรอดได้บ่อย ๆ ขณะเจ็บไข้ได้ป่วยไร้คนปรนนิบัติ
มู่หรานนิ่วหน้า มองดูการกระทำของบุตรสาวที่ผิดแผกไป
"ท่านไม่ต้องดื่มยาพวกนี้แล้วนะเจ้าคะ" สือลี่ผิงโยนถ้วยยาทิ้งออกนอกหน้าต่างทันควัน
คนในจวนสกุลสือช่างมีจิตใจสกปรกโสมมนัก มู่หรานเป็นฮูหยินรองผู้หน้าตางดงามสะสวยกว่าฮูหยินใหญ่มากนัก ใต้เท้าสือถึงขั้นฉุดคร่านางจนให้กำเนิดบุตรสาวอ่อนแอผู้หนึ่ง นอกจากหัวอ่อนไม่ทันคนแล้ว หน้าตาของสือลี่ผิงยังหวานหยดเฉกเช่นมารดาไม่ผิดเพี้ยน จึงเป็นชนวนความริษยาที่สองแม่ลูกมีต่อพวกนางมาโดยตลอด ความทรงจำเหล่านี้ผุดขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ ยิ่งตระหนักถึงภาพเหล่านั้นความกรุ่นโกรธจึงประดังประเดเข้ามาดั่งคลื่นซัดโหมระลอกแล้วระลอกเล่า
"แค่ก แค่ก ทำไมเล่า หากแม่ไม่ดื่ม แล้วจะทำอย่างไร"
สีหน้าของสือลี่ผิงหม่นทะมึนยากคาดเดา เรียวมือนุ่มบีบแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลมผู้เป็นมารดา
"ท่านแม่ ข้าจะหาวิธีรักษาท่านเอง นับจากนี้ท่านกินให้อิ่มนอนให้หลับ อย่าได้คิดเรื่องใดมาก ได้หรือไม่เจ้าคะ"
แววตาของผู้เป็นแม่สะท้อนความเจ็บปวดใจออกมา เหตุใดนางต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้กัน หากไม่เป็นเพราะตนยังมีบุตรีที่แสนดีเช่นสือลี่ผิง มู่หรานคงเลือกจบชีวิตของตนไปเสียตั้งนานแล้ว
"โถ ลี่ผิง แม่ทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว"
สือลี่ผิงส่ายหน้าเป็นพัลวัน "ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ลำบาก ท่านต้องรับปากข้าก่อน"
ดวงตาของสือลี่ผิงจริงจังและมุ่งมั่น ถึงแม้มู่หรานรู้สึกว่าตนอาจมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกไม่นาน ทว่าเพื่อความสบายใจของสือลี่ผิงมีหรือมารดาเช่นนางจะกล้าเอ่ยความจริงให้อีกฝ่ายรับรู้
"ได้ แม่สัญญา"
สือลี่ผิงดีใจเสียจนสองตาแดงก่ำ นางบีบมือของผู้เป็นมารดาแน่น ก่อนตัดสินใจผละกายออกไป "ท่านแม่ อดทนก่อนนะเจ้าคะ เราจะออกไปจากตระกูลสือด้วยกัน"
"ลี่ผิง เจ้ากำลังคิดทำสิ่งใด"
ใบหน้างามเผยรอยยิ้มแฝงความนัย "ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ แล้วข้าจะรีบกลับมา"
มู่หรานระบายลมหายใจอ่อน นางพยักหน้าด้วยความเข้าใจ สือลี่ผิงส่งนางเข้านอนแล้วจึงหมุนกายจากไป ภายในใจของผู้เป็นมารดารู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน เหตุใดวันนี้สือลี่ผิงช่างดูเปลี่ยนไปดั่งมิใช่คนเดิม นางไม่เคยเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลปรากฏเช่นนี้มาก่อน เมื่อคืนเกิดสิ่งใดขึ้นกับสือลี่ผิงกันเล่า
"อี้ฝาน ลี่ผิง นี่คือสิ่งใดกันหรือ"ลู่อี้เหนียงยกกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้น เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มู่หรานซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็พลอยทอดถอนใจไปตามกัน"เอ่อ..." สือลี่ผิงกล่าวอ้อมแอ้ม นางเอื้อมมือสะกิดลู่อี้ฝานเบา ๆ คนตัวสูงยืนตัวแข็งทื่อไม่ต่างกัน เขาเหลียวมองสือลี่ผิงเนิบนาบ สือลี่ผิงเอ่ยพลางขยิบตา "ทะ…ท่านบอกท่านแม่สิ"ฮูหยินทั้งสองเลิกคิ้วฉงน มองท่าทีหลุกหลิกของลูกรักพลางถอนหายใจโดยพร้อมเพรียงลู่อี้เหนียง "อี้ฝาน เจ้าว่าอย่างไร"ลู่อี้ฝานกระแอมหนึ่งหนเพื่อรวบรวมความกล้า "ท่านแม่ ท่านแม่ยาย ที่จริงแล้ว สัญญานั่นเกิดจากความเข้าใจผิด เดิมทีข้าว่าจะทำลายมันทิ้ง แต่บังเอิญว่าหาไม่เจอขอรับ""เข้าใจผิดหรือ เข้าใจผิดใดกัน ถึงขั้นต้องมีสัญญาว่าจ้างสามีภรรยา" ลู่อี้เหนียงขมวดคิ้วมุ่น"นั่นสิลี่ผิง ตกลงแล้วพวกเจ้าอยู่ด้วยกันมีความสุขหรือไม่ พวกข้าทั้งสองจะตายตาหลับได้อย่างไร ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ เหตุใดต้องเล่นละครตบตาคนแก่กันเล่า" มู่หรานหน้าเครียดขึ้นอีกหลายส่วนเดิมทีนางคิดว่าทั้งสองคงมีใจใ
หลายคนต่างมารวมตัวกันที่หน้าห้องของคุณชายลู่หย่วน และสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าส่งผลให้สืออี้หนานขุ่นเคืองแทบแดดิ้น นางกัดฟันกรอดโพล่งเสียงดังอย่างนึกลืมตัว"เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร!?"ลู่เยี่ยนฮ่าวหันขวับ "หมายความว่าอย่างไร"สาวใช้ของนางกระตุกชายเสื้อสืออี้หนานแผ่วเบา เมื่อรู้ตัวว่าตนเผลอเอ่ยสิ่งใดออกไปนางจึงส่งยิ้มแห้งขอดส่งให้เดี๋ยวนั้น "ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าแค่ตกใจที่เห็นพี่หญิงสามและคุณชาย...เอ่อ...""พอแล้ว!" ลู่เยี่ยนฮ่าวยกมือขึ้นปรามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม"ท่านพ่อฟังลูกก่อน" ลู่หย่วนพยายามอธิบาย"เจ้าทั้งสองไม่ต้องพูดแล้ว ลู่หย่วนสตรีทั้งเมืองเจ้าต้องการผู้ใดพ่อล้วนไม่ขัด ทว่านางเป็นอนุของข้า เรื่องบัดสีเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร" ลู่เยี่ยนฮ่าวยกมือขึ้นกุมขมับอนุสาม "ท่านพี่ แต่ว่าเมื่อคืน...""เจ้าหุบปาก หญิงแพศยาเช่นเจ้าข้าเลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุก"อนุสามหุบปากลงเดี๋ยวนั้น ลู่หย่วนทำได้เพียงทอดถอนใจ ในเมื่อภาพทุกอย่างมันเด่นชัดเช่นนี้ต่อให้เอ่ยปฏิเสธไปก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อ ซ้ำเ
รุ่งเช้าของวันถัดมาเสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังสนั่นไปทั้งจวนสกุลลู่ ทว่าสือลี่ผิงและลู่อี้ฝานยังคงนอนตระกองกอดกันอยู่ไม่ห่าง เปลือกตาบางค่อย ๆ ขยับไหว ศีรษะของนางตอนนี้ชาหนึบไปเสียหมด สือลี่ผิงรู้สึกร้าวระบมไปทั้งตัว คิ้วเรียวเริ่มเคลื่อนเข้าหากันช้า ๆ เมื่อภาพบางอย่างสาดสะท้อนเข้ามายังมโนสำนึกเราฝันหรือ กำลังฝันเรื่องบัดสีใดกันร่างบอบบางขยับกายเนิบนาบ เมื่อรู้สึกประดุจมีบางสิ่งกำลังรั้งกายของตนเอาไว้ สือลี่ผิงจึงลดนัยน์ตาลงมองเนิบช้า ท่อนแขนแกร่งพาดอยู่บนเอวเปลือยเปล่าขะ...แขนใคร คงไม่ใช่...สือลี่ผิงช้อนดวงตาขึ้นด้วยหัวใจไหวระทึก นางหวังเพียงว่าเมื่อคืนสืออี้หนานทำไม่สำเร็จเป็นพอ เพียงแต่นางกำลังนอนอยู่ใต้อ้อมแขนของบุรุษหรือ เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่ความฝันนัยน์ตารูปหงส์กะพริบปริบ ๆ เมื่อสบประสานเข้ากับดวงตาคมปลาบเข้าพอดี"ตื่นแล้วหรือ" เสียงทุ้มเอ่ยถามสือลี่ผิงเบิกตากว้าง นางรีบหลุบดวงตาลงแล้วเบิกขึ้นอีกครั้งเรื่องจริงหรือลู่อี้ฝานขมวดคิ้ว "เป็นอะไรของเจ้า"
ลู่หย่วนรีบถลันกายเข้ามาในห้อง อนุสามเองก็เร่งตามเข้ามาเช่นเดียวกัน สบเข้ากับจังหวะที่สืออี้หนานกำลังสาละวนหยิบปล้องไม้ไผ่ขึ้น พลางยื่นให้สาวใช้คนสนิทของตนเป่ากลุ่มควันเข้ามาด้านใน โชคดีที่สือลี่ผิงรู้ตัวก่อน ทว่ากลุ่มควันเหล่านั้นกลับลอดผ่านผ้าคลุมซึ่งนางผูกเอาไว้ได้ ร่างบอบบางพยายามคลานไปหลบบริเวณใต้เตียงแค่ก แค่กทั้งอนุสามและลู่หย่วนต่างสำลักควันโขมงโฉงเฉงที่ลอยว่อนทั่วห้อง"นะ...นี่มันคือสิ่งใด" เสียงแหลมเล็กเอ่ยไปพลางปัดฝุ่นควันไปพลาง จู่ ๆ ร่างกายของพวกเขาเกิดร้อนรุ่มกะทันหันสือลี่ผิงเองก็ไม่ต่างทว่านางพยายามควบคุมสติของตนเอาไว้ สืออี้หนานมองร่างสูงของบุรุษและสตรีในห้องผ่านกลุ่มควันก็ให้ต้องเหยียดยิ้มพึงใจ ทั้งสองไม่อาจควบคุมความรู้สึกได้แล้ว ไฟกำหนัดกำลังพัดโหมอย่างบ้าคลั่งสือลี่ผิงเบิกตากว้างตะลึงลานยาปลุกกำหนัดตอนนี้สือลี่ผิงเองก็รู้สึกร้อนรุ่มไม่ต่างกัน เสียงจุมพิตจากคนบนเตียงดังขึ้นอย่างดูดดื่ม สืออี้หนานวางใจแล้วว่าแผนการของตนสำเร็จนางจึงผละกายจากไปด้วยสีหน้าสบายอารมณ์&nbs
เจ้าของนัยน์ตาหงส์นั่งกวาดสายตาเศร้าสลดมองใบหน้าของตนผ่านคันช่องสีอำพัน ครึ่งหนึ่งของชีวิตสตรีควรฝากฝังไว้กับบุรุษอันเป็นที่รักมิใช่หรือ แล้วดูนางตอนนี้ เหตุใดต้องตบแต่งด้วยความไม่เต็มใจอยู่เรื่อย ดูเหมือนเวรกรรมที่กระทำเอาไว้คงยังชำระให้ตระกูลลู่ไม่หมดสิ้น นางจึงได้กลายมาเป็นสือลี่ผิงอีกคน หวนมาใช้หนี้แก่บุตรชายของลู่เยี่ยนฮ่าวแทนทุกอย่างกำลังอลหม่านตบตีกันเสียจนสับสน สือลี่ผิงกำลังหมกมุ่นครุ่นคิดจึงไม่ทันได้ยินเสียงที่เยื้องย่างเข้ามาด้านในเนิบนาบจนเมื่อสตรีร่างผอมบางประชิดกายของนาง พลางโน้มลงขนาบใบหู สือลี่ผิงจึงช้อนดวงตาขึ้น ทันทีที่พบว่าเป็นผู้ใด ดวงตากลมโตถึงกับเบิกกว้าง นางหันหลังขวับ"ท่านแม่!"สือลี่ผิงโผเข้ากอดเอวผู้เป็นมารดาเดี๋ยวนั้น น้ำเสียงสดใสระคนตื่นเต้นแฝงความลิงโลด ฝ่ามือผอมแกร็นค่อย ๆ ยกขึ้นลูบไล้ศีรษะของบุตรสาวเชื่องช้า"ลี่ผิง อย่าเสียใจไปเลยนะ ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นแม่เองที่ตัดสินใจแทนเจ้า"สือลี่ผิงขมวดคิ้ว นางไม่เข้าใจ พลางแหงนหน้าขึ้นมองมารดาของตน "ท่านแม่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ" 
สือลี่ผิงเพลิดเพลินกับการอาบน้ำชำระร่างกายจนหลงลืมไปว่าด้านในมีเพียงอาภรณ์ตัวบางเท่านั้น นางควรทำเช่นไรดี เรียกหาซือซือหรือ เกรงว่าตอนนี้ซือซือคงไม่อยู่ที่นี่สือลี่ผิงกวาดสายตาเมียงมองด้วยความระแวดระวัง นางเกรงว่าลู่อี้ฝานยังคงอยู่ด้านใน เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อเมื่อวางใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ย่างกรายเข้ามาเป็นแน่ นางจึงลุกขึ้นหยิบอาภรณ์ตัวบางสีขาวสวมทับลงบนเรือนร่างเปลือยเปล่า แล้วจึงย่องปลายเท้าออกจากฉากกั้นเนิบช้าสือลี่ผิงออกมาพบกับความว่างเปล่านางจึงระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าวางใจไม่ทันไรก็ต้องสะดุ้งโหยงอีกหน เมื่อแผ่นหลังของนางชนเข้ากับบางสิ่งเจ้าของร่างสูงยืนชิดหลังของนาง เขาโน้มกายลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "กำลังมองหาสิ่งใดหรือ"สือลี่ผิงกระโดดโหยงทันควัน กายของนางร่วงแหมะลงไปนั่งบนเตียงเข้าพอดี "ทะ...ท่านกำลังเล่นพิเรนทร์ใด"คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง "เป็นอะไรไปเล่า ทำราวกับข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้น""แล้วไม่น่ากลัวหรือไง บุรุษตระกูลลู่น่ากลัวทุกคน" สือลี่ผิงหายใจไม่ทั่วท้อง นางถึงขั้นลอบสูดลมหายใจลึกเข