ชายวัยกลางคนนั่งจิบน้ำชาสีหน้าคล้ายยิ้มแต่มิยิ้มอยู่ ณ จวนสกุลสือ ที่เขาเดินทางมาในวันนี้เพียงเพื่อต้องการพบหน้าคุณหนูใหญ่ของสือจินรุ่ย ซึ่งตนหมายทำการรับนางเข้าไปเป็นอนุคนที่สี่ของจวน ใครก็ว่าบุตรสาวคนโตของสกุลสือหน้าตางดงามสะสวย ทว่ากลับมิเคยมีผู้ใดเอ่ยถึงคุณหนูรองเลยสักครา วันนี้เขาอยากเห็นกับตานักว่าจะงดงามสมคำร่ำลือหรือไม่
"บุตรสาวของท่านเล่า ใต้เท้าสือ" ลู่เยี่ยนฮ่าวยกถ้วยชาขึ้นพลางเป่าลมเย็นลงไปก่อนจิบราวไม่อนาทรร้อนใจ
เขารู้สึกอารมณ์สุนทรีย์นักที่ตนจะได้รับอนุรุ่นลูกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจวน นานมากแล้วที่ไม่ได้ลิ้มลองสตรีหน้าใหม่ ๆ แม้มีอนุมากมายทว่าเขารู้สึกเบื่อหน่ายบรรดาสตรีเหล่านั้นเสียแล้ว
"ใต้เท้า ใจเย็น ๆ สิขอรับ ตอนนี้นางกำลังเตรียมตัวต้อนรับท่าน คงตื่นเต้นเลยช้าเพียงนี้" สือจินรุ่ยรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาปรายตามองฮูหยินของตน พลางเอ่ยเสียงเบาลอดไรฟัน "เมื่อใดนางจะโผล่หัวมา"
สือเสี่ยวเย่ค้อนควัก "มันน่านัก เดี๋ยวข้าส่งคนไปตามเองเจ้าค่ะ"
"รีบไป!"
สือเสี่ยวเย่กวักมือเรียกสาวรับใช้นางหนึ่ง พลางกระซิบกระซาบเสียงแผ่ว อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วเร่งจากไปด้วยความร้อนรน
"เอ่อ...ใต้เท้าเจ้าคะ อีกเดี๋ยวนางก็มาแล้ว ทางจวนของข้าได้จัดต้อนรับท่านอย่างดี เช่นนั้นดูระบำให้เพลินตาก่อนเถิดนะเจ้าคะ อย่าได้เร่งร้อน"
ลู่เยี่ยนฮ่าวช้อนดวงตาขึ้น "หืม...มิใช่ว่า พวกท่านไม่ยินยอมส่งลูกสาวคนงามให้ข้าหรอกนะ"
สือเสี่ยวเย่ถึงกับสะดุ้งตัวโยน วันนี้นางให้สืออี้หนานเก็บตัวอยู่เพียงในห้อง หนังสือสัญญาแจ้งว่าหากไม่มีเงินชดใช้หนี้สิน จะทำการส่งคุณหนูใหญ่ของสกุลสือเพื่อเป็นอนุแก่เขาเพื่อขัดดอก ครบกำหนดที่ต้องชำระหนี้ตามที่ตกลง ทว่าตระกูลสือกลับไม่มีปัญญาใช้คืน เช่นนั้นคงหลงเหลือเพียงวิธีเดียว คือการเปลี่ยนตัวสืออี้หนานและสือลี่ผิง
เดิมทีสือลี่ผิงเป็นที่ชิงชังของผู้เป็นบิดา ไหนเลยเขาจะปฏิเสธวิธีการต่ำช้าของฮูหยินตน แต่ก็มิได้เห็นชอบเลยทีเดียว เพราะหากเรื่องแดงขึ้นมาเกรงว่าคงได้เดือดร้อนกันเป็นแถวแน่
ยังไม่ทันมีผู้ใดเอ่ยแก้ต่าง ทว่าสตรีร่างบอบบางสวมอาภรณ์งดงามกลับเดินมุ่งหน้าเข้ามาเสียก่อน สือเสี่ยวเย่นิ่วหน้าประหลาดใจ
"เหตุใดนางจึงปกปิดใบหน้า" สือเสี่ยวเย่ผินหน้าเอ่ยถามสาวใช้คนสนิทข้างกาย
"เอ่อ...คุณหนูบอกว่า นางมีการร่ายรำพิเศษเจ้าค่ะ"
สือเสี่ยวเย่เหลียวหน้ากลับไม่สบอารมณ์นัก สือลี่ผิงคงไม่คิดเล่นลูกไม้กับตนจริง ๆ ใช่หรือไม่
สือลี่ผิงยอบกายลง "ใต้เท้าลู่ ท่านพ่อ ท่านแม่"
เมื่อเห็นสตรีเรือนร่างอรชรเบื้องหน้า สายตาประดุจปีศาจราคะจึงเก็บไม่มิด เขามองแทะโลมสือลี่ผิงอย่างไร้มารยาทตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
"งดงามเพียงนี้ ไฉนจึงปกปิดใบหน้าของตนเล่า"
"ใต้เท้าช่างใจร้อนนัก ท่านเป็นแขกพิเศษของท่านพ่อและท่านแม่ ข้าจะละเลยได้อย่างไรเจ้าคะ" สือลี่ผิงเอ่ยนอบน้อม
สือจินรุ่ยหรี่นัยน์ตามองบุตรสาวด้วยความแคลงใจ สือลี่ผิงไม่เคยใจกล้าเช่นนี้มาก่อน บอกให้นางไปซ้ายก็ต้องซ้าย เหตุใดวันนี้จึงกล้ากระทำเกินคำสั่ง เขากระแอมหนหนึ่งพลางเหลียวมองสตรีข้างกาย สือเสี่ยวเย่ฉีกยิ้มแห้งขอด
"เอ่อ...เช่นนั้นก็ให้นางได้ร่ายรำต้อนรับท่านเถิด" เสียงแหลมเอ่ยด้วยความประหม่า
ชายวัยกลางคนพยักหน้าตอบกลับ นัยน์ตายังคงกวาดมองเรือนร่างหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยแววตาหยาบโลน
มุมปากใต้ผ้าแพรผืนบางพลันยกโค้ง สือลี่ผิงร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย ใต้เท้าลู่ทอดสายตาหวานเยิ้ม ใจของเขาเต้นระรัวแทบอยากเห็นใบหน้าอันงดงามที่ผู้คนต่างร่ำลือใจแทบขาด ทว่านางร่ายรำโฉบใกล้เขาครั้งแล้วครั้งเล่าก็มิอาจปลดผ้าลงได้ จู่ ๆ กระดาษม้วนหนึ่งพลันร่วงลงบนตักของเขาโดยที่ไม่ทันมีผู้ใดเห็น ฝ่ามือหยาบระคายจึงคลี่ออกชมแล้วจึงระบายรอยยิ้มพึงใจ
ทางด้านสองสามีภรรยากลับไม่รู้เลยว่าสิ่งใดกันที่อยู่ในมือของแขกไม่อยากรับเชิญ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันหลุกหลิก ทันทีที่บทเพลงสิ้นสุด สือลี่ผิงจึงปลดผ้าแพรลงเดี๋ยวนั้น
ใบหน้าของนางประจักต่อสายตาของทุกคน ลู่เยี่ยนฮ่าวถึงกับหุบริมฝีปากลงฉับ ทั้งห้องโถงผงะไปตาม ๆ กัน
"พวกท่านกล้าย้อมแมวให้ข้ารึ!" ลู่เยี่ยนฮ่าวตะเบ็งเสียงอย่างกราดเกรี้ยว เสียงตบโต๊ะดังปัง สั่นคลอนไปแทบทั้งจวน
"อี้ฝาน ลี่ผิง นี่คือสิ่งใดกันหรือ" ลู่อี้เหนียงยกกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้น เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มู่หรานซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็พลอยทอดถอนใจไปตามกัน "เอ่อ..." สือลี่ผิงกล่าวอ้อมแอ้ม นางเอื้อมมือสะกิดลู่อี้ฝานเบา ๆ คนตัวสูงยืนตัวแข็งทื่อไม่ต่างกัน เขาเหลียวมองสือลี่ผิงเนิบนาบ สือลี่ผิงเอ่ยพลางขยิบตา "ทะ…ท่านบอกท่านแม่สิ" ฮูหยินทั้งสองเลิกคิ้วฉงน มองท่าทีหลุกหลิกของลูกรักพลางถอนหายใจโดยพร้อมเพรียง ลู่อี้เหนียง "อี้ฝาน เจ้าว่าอย่างไร" ลู่อี้ฝานกระแอมหนึ่งหนเพื่อรวบรวมความกล้า "ท่านแม่ ท่านแม่ยาย ที่จริงแล้ว สัญญานั่นเกิดจากความเข้าใจผิด เดิมทีข้าว่าจะทำลายมันทิ้ง แต่บังเอิญว่าหาไม่เจอขอรับ" "เข้าใจผิดหรือ เข้าใจผิดใดกัน ถึงขั้นต้องมีสัญญาว่าจ้างสามีภรรยา" ลู่อี้เหนียงขมวดคิ้วมุ่น "นั่นสิลี่ผิง ตกลงแล้วพวกเจ้าอยู่ด้วยกันมีความสุขหรือไม่ พวกข้าทั้งสองจะตายตาหลับได้อย่างไร ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ เหตุใดต้องเล่นละครตบตาคนแก่กันเล่า" มู่หรานหน้าเครียดขึ้นอีกหลายส่วน เดิมทีนางคิดว่าทั้งสองคงมีใจให้กันจึงรับปากตบแต่ง แต่เมื่อเรื่องมันกลายเป็นสัญญายุ่งเหยิง มีแม่คนใดต้องการฝืนใจลูกตนเองหรือ ใครบ
หลายคนต่างมารวมตัวกันที่หน้าห้องของคุณชายลู่หย่วน และสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าส่งผลให้สืออี้หนานขุ่นเคืองแทบแดดิ้น นางกัดฟันกรอดโพล่งเสียงดังอย่างนึกลืมตัว"เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร!?"ลู่เยี่ยนฮ่าวหันขวับ "หมายความว่าอย่างไร"สาวใช้ของนางกระตุกชายเสื้อสืออี้หนานแผ่วเบา เมื่อรู้ตัวว่าตนเผลอเอ่ยสิ่งใดออกไปนางจึงส่งยิ้มแห้งขอดส่งให้เดี๋ยวนั้น "ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าแค่ตกใจที่เห็นพี่หญิงสามและคุณชาย...เอ่อ...""พอแล้ว!" ลู่เยี่ยนฮ่าวยกมือขึ้นปรามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม"ท่านพ่อฟังลูกก่อน" ลู่หย่วนพยายามอธิบาย"เจ้าทั้งสองไม่ต้องพูดแล้ว ลู่หย่วนสตรีทั้งเมืองเจ้าต้องการผู้ใดพ่อล้วนไม่ขัด ทว่านางเป็นอนุของข้า เรื่องบัดสีเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร" ลู่เยี่ยนฮ่าวยกมือขึ้นกุมขมับอนุสาม "ท่านพี่ แต่ว่าเมื่อคืน...""เจ้าหุบปาก หญิงแพศยาเช่นเจ้าข้าเลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุก"อนุสามหุบปากลงเดี๋ยวนั้น ลู่หย่วนทำได้เพียงทอดถอนใจ ในเมื่อภาพทุกอย่างมันเด่นชัดเช่นนี้ต่อให้เอ่ยปฏิเสธไปก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อ ซ้ำเ
รุ่งเช้าของวันถัดมาเสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังสนั่นไปทั้งจวนสกุลลู่ ทว่าสือลี่ผิงและลู่อี้ฝานยังคงนอนตระกองกอดกันอยู่ไม่ห่าง เปลือกตาบางค่อย ๆ ขยับไหว ศีรษะของนางตอนนี้ชาหนึบไปเสียหมด สือลี่ผิงรู้สึกร้าวระบมไปทั้งตัว คิ้วเรียวเริ่มเคลื่อนเข้าหากันช้า ๆ เมื่อภาพบางอย่างสาดสะท้อนเข้ามายังมโนสำนึกเราฝันหรือ กำลังฝันเรื่องบัดสีใดกันร่างบอบบางขยับกายเนิบนาบ เมื่อรู้สึกประดุจมีบางสิ่งกำลังรั้งกายของตนเอาไว้ สือลี่ผิงจึงลดนัยน์ตาลงมองเนิบช้า ท่อนแขนแกร่งพาดอยู่บนเอวเปลือยเปล่าขะ...แขนใคร คงไม่ใช่...สือลี่ผิงช้อนดวงตาขึ้นด้วยหัวใจไหวระทึก นางหวังเพียงว่าเมื่อคืนสืออี้หนานทำไม่สำเร็จเป็นพอ เพียงแต่นางกำลังนอนอยู่ใต้อ้อมแขนของบุรุษหรือ เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่ความฝันนัยน์ตารูปหงส์กะพริบปริบ ๆ เมื่อสบประสานเข้ากับดวงตาคมปลาบเข้าพอดี"ตื่นแล้วหรือ" เสียงทุ้มเอ่ยถามสือลี่ผิงเบิกตากว้าง นางรีบหลุบดวงตาลงแล้วเบิกขึ้นอีกครั้งเรื่องจริงหรือลู่อี้ฝานขมวดคิ้ว "เป็นอะไรของเจ้า"
ลู่หย่วนรีบถลันกายเข้ามาในห้อง อนุสามเองก็เร่งตามเข้ามาเช่นเดียวกัน สบเข้ากับจังหวะที่สืออี้หนานกำลังสาละวนหยิบปล้องไม้ไผ่ขึ้น พลางยื่นให้สาวใช้คนสนิทของตนเป่ากลุ่มควันเข้ามาด้านใน โชคดีที่สือลี่ผิงรู้ตัวก่อน ทว่ากลุ่มควันเหล่านั้นกลับลอดผ่านผ้าคลุมซึ่งนางผูกเอาไว้ได้ ร่างบอบบางพยายามคลานไปหลบบริเวณใต้เตียงแค่ก แค่กทั้งอนุสามและลู่หย่วนต่างสำลักควันโขมงโฉงเฉงที่ลอยว่อนทั่วห้อง"นะ...นี่มันคือสิ่งใด" เสียงแหลมเล็กเอ่ยไปพลางปัดฝุ่นควันไปพลาง จู่ ๆ ร่างกายของพวกเขาเกิดร้อนรุ่มกะทันหันสือลี่ผิงเองก็ไม่ต่างทว่านางพยายามควบคุมสติของตนเอาไว้ สืออี้หนานมองร่างสูงของบุรุษและสตรีในห้องผ่านกลุ่มควันก็ให้ต้องเหยียดยิ้มพึงใจ ทั้งสองไม่อาจควบคุมความรู้สึกได้แล้ว ไฟกำหนัดกำลังพัดโหมอย่างบ้าคลั่งสือลี่ผิงเบิกตากว้างตะลึงลานยาปลุกกำหนัดตอนนี้สือลี่ผิงเองก็รู้สึกร้อนรุ่มไม่ต่างกัน เสียงจุมพิตจากคนบนเตียงดังขึ้นอย่างดูดดื่ม สืออี้หนานวางใจแล้วว่าแผนการของตนสำเร็จนางจึงผละกายจากไปด้วยสีหน้าสบายอารมณ์&nbs
เจ้าของนัยน์ตาหงส์นั่งกวาดสายตาเศร้าสลดมองใบหน้าของตนผ่านคันช่องสีอำพัน ครึ่งหนึ่งของชีวิตสตรีควรฝากฝังไว้กับบุรุษอันเป็นที่รักมิใช่หรือ แล้วดูนางตอนนี้ เหตุใดต้องตบแต่งด้วยความไม่เต็มใจอยู่เรื่อย ดูเหมือนเวรกรรมที่กระทำเอาไว้คงยังชำระให้ตระกูลลู่ไม่หมดสิ้น นางจึงได้กลายมาเป็นสือลี่ผิงอีกคน หวนมาใช้หนี้แก่บุตรชายของลู่เยี่ยนฮ่าวแทนทุกอย่างกำลังอลหม่านตบตีกันเสียจนสับสน สือลี่ผิงกำลังหมกมุ่นครุ่นคิดจึงไม่ทันได้ยินเสียงที่เยื้องย่างเข้ามาด้านในเนิบนาบจนเมื่อสตรีร่างผอมบางประชิดกายของนาง พลางโน้มลงขนาบใบหู สือลี่ผิงจึงช้อนดวงตาขึ้น ทันทีที่พบว่าเป็นผู้ใด ดวงตากลมโตถึงกับเบิกกว้าง นางหันหลังขวับ"ท่านแม่!"สือลี่ผิงโผเข้ากอดเอวผู้เป็นมารดาเดี๋ยวนั้น น้ำเสียงสดใสระคนตื่นเต้นแฝงความลิงโลด ฝ่ามือผอมแกร็นค่อย ๆ ยกขึ้นลูบไล้ศีรษะของบุตรสาวเชื่องช้า"ลี่ผิง อย่าเสียใจไปเลยนะ ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นแม่เองที่ตัดสินใจแทนเจ้า"สือลี่ผิงขมวดคิ้ว นางไม่เข้าใจ พลางแหงนหน้าขึ้นมองมารดาของตน "ท่านแม่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ" 
สือลี่ผิงเพลิดเพลินกับการอาบน้ำชำระร่างกายจนหลงลืมไปว่าด้านในมีเพียงอาภรณ์ตัวบางเท่านั้น นางควรทำเช่นไรดี เรียกหาซือซือหรือ เกรงว่าตอนนี้ซือซือคงไม่อยู่ที่นี่สือลี่ผิงกวาดสายตาเมียงมองด้วยความระแวดระวัง นางเกรงว่าลู่อี้ฝานยังคงอยู่ด้านใน เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อเมื่อวางใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ย่างกรายเข้ามาเป็นแน่ นางจึงลุกขึ้นหยิบอาภรณ์ตัวบางสีขาวสวมทับลงบนเรือนร่างเปลือยเปล่า แล้วจึงย่องปลายเท้าออกจากฉากกั้นเนิบช้าสือลี่ผิงออกมาพบกับความว่างเปล่านางจึงระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าวางใจไม่ทันไรก็ต้องสะดุ้งโหยงอีกหน เมื่อแผ่นหลังของนางชนเข้ากับบางสิ่งเจ้าของร่างสูงยืนชิดหลังของนาง เขาโน้มกายลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "กำลังมองหาสิ่งใดหรือ"สือลี่ผิงกระโดดโหยงทันควัน กายของนางร่วงแหมะลงไปนั่งบนเตียงเข้าพอดี "ทะ...ท่านกำลังเล่นพิเรนทร์ใด"คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง "เป็นอะไรไปเล่า ทำราวกับข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้น""แล้วไม่น่ากลัวหรือไง บุรุษตระกูลลู่น่ากลัวทุกคน" สือลี่ผิงหายใจไม่ทั่วท้อง นางถึงขั้นลอบสูดลมหายใจลึกเข