เสียงรถแล่นเข้ามาจอดยังคฤหาสน์หลังงาม ก่อนที่ร่างอรชรจะลงจากรถมา เธอมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะได้กลับบ้านอีกครั้ง หญิงสาววิ่งเข้าไปในบ้านที่แสนคุ้นเคยเพราะอยู่มาตั้งแต่เด็ก ก่อนที่จะพบกับใบหน้าที่คิดถึงอย่างมากมาย นายกิตติภพ เรืองเดชสกุล บิดาเพียงคนเดียว ผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวและคนที่เธอรักคนเดียวที่เหลืออยู่ ร่างบางอ้าแขนออกแล้วเร่งฝีเท้าเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นพ่อ สองพ่อลูกกอดกันด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ หญิงสาวไปจากบ้านหลังนี้นานเหลือเกิน หลังจากกลับมาเธอก็พักอยู่ข้างนอกเพื่อหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ตัวเอง ก่อนที่จะกลับมาที่นี่ตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ เนื่องจากไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเสียนานจนคุ้นชินกับวัฒนธรรมที่นู่นไปเสียแล้ว เธอจึงวิ่งเข้ามากอดแทนที่จะยกมือไหว้แบบไทย ๆ ทำให้ศจีผู้เป็นแม่เลี้ยงมองด้วยสายตาไม่ค่อยจะพอใจและกึ่งดูถูก
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ หนูไม่อยู่หลายปีได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีตามที่ลุงหมอบอกบ้างหรือเปล่า”
“พ่อปกติดี ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกลูกรัก”
กิตติภพพูดกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น แต่กลับมีใบหน้าที่เคร่งเครียดราวกับกำลังหนักใจกับอะไรบางอย่างอยู่ และพอเธอมองไปทางศจี ผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นแม่เลี้ยงเมื่อหลายปีก่อน ขณะเดียวกันผู้เป็นพ่อก็หันไปมองด้วย ความรู้สึกกดดันที่ถูกส่งมาจากผู้หญิงคนนั้นส่งผ่านจากร่างเล็กไปถึงผู้เป็นพ่อ ทำให้หญิงสาวรู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้พ่อของเธออาจจะถูกผู้หญิงคนนี้ล้างสมองในเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ ความหนักใจปรากฏชัดในแววตา ในที่สุดกิตติภพก็ตัดสินใจพูดเรื่องที่เขาลำบากใจมาตลอด
“พ่อมีเรื่องสำคัญจะบอกกับลูก”
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“เราไปนั่งคุยที่ห้องรับแขกกันดีไหม เดี๋ยวพ่อให้คนเอาน้ำเอาท่ามาให้กินก่อนแล้วเราค่อยคุยกันก็ได้”
“พูดมาเถอะค่ะ ถ้ามันสำคัญพูดตอนนี้เลยก็ได้ ไม่ต้องพิธีรีตองอะไร” พิมภาเอ่ยบอกผู้เป็นพ่อ
“คือ… หลังจากลูกเรียนที่ต่างประเทศ สภาพการเงินของบริษัทก็แย่ลงเรื่อย ๆ แต่มันสามารถฟื้นกลับมาดีขึ้นได้ ขอเพียงแต่ลูกยอมแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น เขาสามารถช่วยครอบครัวของเราได้”
กิตติภพสาธยายถึงความจำเป็นและรายละเอียดต่าง ๆ ให้ลูกสาวที่รักปานดวงใจได้รับรู้ ในคราวแรกพิมภากลับรู้สึกว่าผู้เป็นพ่อกำลังพูดเล่น หรืออาจจะแต่งเรื่องโกหกเพื่อเซอร์ไพรส์ต้อนรับเธอกลับบ้าน ทว่าพอเห็นสายตาจริงจังของผู้เป็นพ่อประจวบเหมาะกับแม่เลี้ยงที่เอาแต่ยุยงอยู่ข้าง ๆ และคอยพูดเสริมเติมแต่งต่าง ๆ นานา สุดท้ายแล้วก็ทำให้หญิงสาวเข้าใจว่าทุกอย่างที่พ่อพูดเป็นเรื่องจริง ไม่มีอะไรเลยที่เป็นคำโกหกหลอกลวง
พ่อของเธอกำลังจะล้มละลายอย่างนั้นหรือ ธุรกิจที่พ่อเคยบริหารมาได้ดีโดยตลอดและมีเงินส่งให้ลูกสาวอยู่ที่ต่างประเทศอย่างสุขสบาย ในวันนี้มันกำลังจะล้มลงไปและกลายเป็นของคนอื่นอย่างนั้นหรือ
พิมภาเข้าใจแล้ว เรื่องที่พ่อต้องการให้ลูกสาวสุดที่รักทำเพื่อครอบครัวสักครั้ง แต่ทว่าลึก ๆ แล้วหญิงสาวกลับไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นเธอ ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงต้องมาเกิดกับตนด้วย หมดถ้อยคำจะพูดต่อ ไม่รู้ว่าต้องพูดหรือเถียงอะไรออกมา เพราะเหมือนพ่อจะตัดสินใจไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะพูดอะไรไปพ่อก็คงไม่เปลี่ยนใจ ท้ายที่สุดแล้วเธอก็รู้สึกเหนื่อยและอ่อนแรงเกินกว่าที่จะพูด จึงเลือกที่จะเดินขึ้นห้องของตัวเองไปเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
ในผับแห่งหนึ่งย่านคนรวย
“ไงยีนส์ รอนานไหม”
“เป็นคนนัดเองแท้ ๆ นะยะ ดันมาช้าเอง มัวแต่ทำอะไรอยู่ล่ะ” ยีนส์ เพื่อนสาวคนสนิทที่ติดต่อและบินไปมาหาสู่กันเป็นว่าเล่น เพราะครอบครัวของยีนส์ร่ำรวยมหาศาลทำให้เธอไม่ต้องทำงานทำการอะไรก็ได้ หญิงสาวจะมีเวลามากพอที่จะบินไปหาเพื่อนรักได้ทุกครั้งที่คิดถึง ซึ่งมันเกิดขึ้นแทบจะทุก ๆ เดือนเลยก็ว่าได้
“ก็รอเวลายังไงล่ะ รอให้แม่เลี้ยงขึ้นบ้านไปก่อน ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากปะทะให้เสียอารมณ์”
“ขนาดนั้นเลยเหรอแก” จอห์น สาวสองลูกครึ่งอังกฤษที่มีหน้าตาสวยกว่าผู้หญิงแท้ ๆ แต่กลับใช้ชื่อว่าจอห์นที่พ่อแม่ตั้งให้เพราะไม่อยากเปลี่ยน เอ่ยทักเพื่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและมีจริตจะก้าน จอห์นเป็นเพื่อนสาวสองเพียงคนเดียวซึ่งเป็นทายาทมหาเศรษฐีเจ้าของโรงแรมในต่างประเทศ จอห์นเป็นคนไปอยู่กับพิมภาตลอดระยะเวลาหลายปี โดยที่ไม่ทำงานแล้วก็พาเธอเที่ยวเตร่พร้อมทั้งเรียนหนังสือไปด้วยกัน สนิทกว่าใครเลยก็ว่าได้ใช้ชีวิตแบบเพื่อนหญิงพลังหญิงมาตลอด
“ก็ขนาดนั้นแหละ แกก็รู้อยู่”
“แล้วที่แกเรียกพวกฉันออกมาทั้ง ๆ ที่เพิ่งกลับมาอยู่บ้านไม่นานเนี่ย อย่าบอกว่าคิดถึงแสงสีไนต์คลับตอนกลางคืนนะ ที่เมืองไทยมันต่างจากเมืองนอกมากเลยนะ” ก้อย เพื่อนสาวชาวไทยที่ติดต่อกันผ่านทางช่องทาง social media เท่านั้น ไม่มีโอกาสบินไปหาที่ต่างประเทศเหมือนเพื่อนคนอื่นเพราะฐานะปานกลางและทำงานเป็นพนักงานประจำ สุดแสนจะดีใจที่เพื่อนโทร.นัด แต่พอเห็นสีหน้ากลุ้มใจก็รู้แล้วว่าการนัดเจอครั้งนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องดี
“ฉันกลุ้มใจนะแก กลับบ้านมานึกว่าพ่อจะคิดถึงโทร.ตามให้รีบกลับบ้านด่วนหรือให้กลับมาช่วยธุรกิจทางบ้าน ใครจะคิดล่ะว่าบริษัทที่คิดจะมาสานต่อมันกำลังจะล้มละลาย พ่อเรียกฉันกลับมาเพื่อที่จะใส่พานถวายให้ผู้ชายตระกูลดังก็เท่านั้นเอง” พิมภาพูดด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
“จริงเหรอแก !?” เพื่อน ๆ ทั้งสามคนรู้สึกตกใจมาก ไม่คิดว่าสมัยนี้จะยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่อีก การแต่งงานแบบคลุมถุงชนหรือแต่งงานเพื่อธุรกิจ เงินต่อเงิน ไม่นึกเลยว่าจะเกิดกับคนใกล้ตัวของพวกเธอด้วย ทั้งสี่คนนั่งปรึกษากัน ในที่สุดจอห์นก็เป็นคนออกความคิดเห็นที่คิดว่าน่าจะเข้าท่าที่สุด
“ลองนัดเจอกับว่าที่เจ้าบ่าวไหมแก ลองคุยดู ถ้าเขาเป็นทายาทตระกูลดัง อาจจะมีการตกลงกันได้โดยที่ไม่ต้องแต่งงานก็ได้นะ”
“เป็นพวกนักธุรกิจเหมือนกัน ก็อาจจะคุยง่ายก็ได้นะแกลองดูอย่างที่จอห์นว่าก็ไม่น่าผิดหรอก” ก้อยเห็นด้วยกับความคิดของจอห์น
“ใช่ฉันเห็นด้วยนะ” ยีนส์ก็เห็นด้วยเช่นกัน
“ฉันก็คิดเหมือนพวกแกนั่นแหละ” พิมภากำลังไตร่ตรองอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าเธอเลือกปฏิเสธการแต่งงาน บริษัทของพ่อจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่นเลยไหม มันพอจะมีทางไหนที่จะยื้อเวลาเอาไว้ได้บ้าง นี่แหละที่หญิงสาวกลัวและกังวลอยู่
“ฉันว่าแกลองไปคุยกับทางนั้นดูก่อน ถ้าทางนั้นไม่เล่นด้วยค่อยมาหาทางกันใหม่ แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็เอาเงินฉันไปก่อน” ยีนส์เสนอและจอห์นพยักหน้าให้กันเพราะทั้งสองร่ำรวยพอที่จะช่วยเพื่อนได้ แต่พิมภาเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี อีกอย่างคือไม่อยากเสียเพื่อน เธอจึงเห็นด้วยเรื่องที่จะให้ไปคุยกับว่าที่เจ้าบ่าวก่อน
เมื่อนั่งดื่มกินแล้วพูดคุยปรึกษากันไปอีกพักใหญ่ ๆ พิมภาก็คิดว่าตนออกมานานเกินไปแล้ว ควรได้เวลาที่จะกลับบ้านสักที เธอยังปรับตัวกับสภาพและเวลาของที่นี่ไม่ได้ จึงพยายามที่จะตามเวลาของประเทศไทย
วันนี้จอห์นและยีนส์เสนอเป็นเจ้าภาพในการจ่ายค่าดื่ม จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ ขณะเดียวกัน ร่างบางกำลังเดินไปที่รถหรูของตัวเอง แต่สายตาเหลือบไปเห็นคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น เขาดูหน้าตาคุ้น ๆ แต่เธอกลับจำร่างสูงไม่ได้แล้วก็เมินเฉยไปเสีย ในขณะที่อีกฝ่ายจำเธอได้แม่น
“มาเที่ยวคนเดียวเหรอครับ”
“กรุณาหลีกทางด้วยค่ะ”
“อะไรกัน เมื่อเช้าเราเจอกันทำความรู้จักกันแล้วไงครับ คนรู้จักกันไม่ทักทายกันหน่อยเหรอ”
“ขอโทษด้วยนะคะ แต่ฉันจำคุณไม่ได้ หลีกทางด้วยค่ะ”
อีกคนได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกว่าตนเองไร้ค่าไร้ความหมายถึงขนาดที่คนตรงหน้าไม่ให้ความใส่ใจ เขารู้สึกว่าตนเองกำลังถูกท้าทายและดูถูกเป็นอย่างมาก ความโกรธแล่นปราดและพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ในสายเลือด ระหว่างที่ร่างอรชรกำลังเบี่ยงตัวลงเพื่อตรงไปที่รถของตัวเองอยู่ ร่างสูงก็ก้าวยาว ๆ ตามมาขวางทางในทันที…
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายลงและผ่านไปด้วยดีแล้ว กิตติภพเองก็กลับมาในร่างกายที่แข็งแรงหลังจากทำการกายภาพบำบัดอยู่สองเดือน เขาสามารถกลับมาช่วยเหลือตัวเองได้ในเบื้องต้นถึงแม้จะยังเดินไม่ค่อยคล่อง แต่ในที่สุดก็ได้กลับบ้านเสียที คณินกับอัศวินก็มาเยี่ยมถึงที่บ้านและรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน หลังมื้อค่ำจบลงชายหนุ่มก็ขอคุยกับกิตติภพเป็นการส่วนตัว “เดี๋ยวผมจะเซ็นโอนหุ้นคืนให้กับคุณพ่อนะครับ ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างและผู้ถือหุ้นทุกคนก็กลับมากันหมดแล้ว หลังจากนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วครับ” “ไม่ต้องโอนคืนมา เก็บเอาไว้อย่างนั้นแหละ พ่อก็แก่มากแล้ว เก็บเอาไว้ดูแลลูกเมียให้ดีก็พอ ตอนนี้พ่ออยากอุ้มหลานมาก” “ถ้าอย่างนั้นผมจะโอนกลับคืนให้เป็นชื่อของน้องนะครับ พิมจะต้องดีใจแน่ ๆ” “ก็ลองคุยกันดูว่าใครจะดูแลหรือถือหุ้นมากที่สุด พ่อยกให้ไปแล้วก็ไปจัดการกันเอาเอง อย่าลืมเรื่องที่พ่อพูดล่ะ พ่ออยากอุ้มหลาน…” แกร๊ก ! “คุณผู้ชายคะ คุณอัศวิน คุณหนูเป็นอะไรก็ไม่ทราบค่ะ อยู่ดี ๆ ก็วิ่งไปอาเจียนบอกว่าหน้ามืดเหมือนจะเป็นลมแล้วค่ะ” พ่อตากับลูกเขยถึงกับหันมองหน้ากัน กิตติภพกวักมือเรียกสาวใช้ให้เข้ามาเข็นรถเข็
“คุณดูลูกคุณนะ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งกล้าทำร้ายลูกชายของเรา เป็นแค่เห็บหมัดมาเกาะครอบครัวคนอื่นไปวัน ๆ แท้ ๆ กล้าดียังไง…” เพียะ !! คณินเดินไปตบหน้าเขมกรฉาดใหญ่ก่อนหันไปพูดกับเมียในสมรสอย่างมยุเรศแบบใส่อารมณ์ เขาอดทนเพราะเห็นแก่พ่อตามาตลอด แต่วันนี้ความอดทนได้สิ้นสุดแล้ว “หยุดสักทีคุณมยุเรศ ผมทนมาพอแล้ว ผมฟังคุณมาสิบกว่าปีมีแต่เรื่องเดิม ๆ ยังไงเขาก็เป็นลูกชายของผม ขณะที่ลูกของคุณไม่เคยได้เรื่องได้ราวอะไร คอยแต่ให้อัศวินตามเช็ดตามล้างให้ตลอด ยังกล้าที่จะเอามาเปรียบเทียบกันอีกเหรอ” “คุณพูดเรื่องอะไร นี่คุณกล้าตีลูกได้ยังไง” “คุณไม่เคยรับรู้เลยหรือยังไงว่าลูกชายของคุณไปก่อเรื่องอะไรไว้ลับหลังคุณบ้าง มันทำผู้หญิงท้องแล้วไม่ยอมรับมิหนำซ้ำยังไปทำร้ายร่างกายเขา เอาที่ดินที่ผมแค่เปรยว่าจะยกให้ มันก็ขโมยโฉนดที่ดินปลอมลายเซ็นผมไปขายทั้งที่ผมยังไม่ได้ยกอำนาจให้ เดือดร้อนต้องให้อัศวินไปตามกลับคืนมา ติดหนี้บ่อนอีกร้อยกว่าล้านคุณรู้หรือเปล่า ทุกเรื่องถ้าไม่ได้อัศวินคอยวิ่งเต้นปิดข่าวให้ ทั้งบริษัทและตระกูลนี้จะล่มจมก็เพราะลูกของคุณ”“ไม่จริง !” “จริง คุณคิดว่าอัศวินมันเดินทางบ่อยเพราะอะไร ม
วันหนึ่งอัศวินหายเงียบไปทั้งวันไม่มีการแชตหาหรือโทร.หาใด ๆ ทั้งสิ้น เธอกำลังจะต่อสายหาเขาเพราะรู้สึกว่าทนรอต่อไปไม่ไหว แต่ก็มีสายเรียกเข้าแทรกเข้ามาเสียก่อนที่จะทันได้โทร.ออก“สวัสดีค่ะ” “สวัสดีค่ะ โทร.จากโรงพยาบาลนะคะ พอดีในประวัติของคนไข้ที่ชื่อว่าอัศวิน แจ้งเอาไว้ว่าเบอร์ติดต่อฉุกเฉินคือเบอร์ของคุณพิมภาผู้เป็นภรรยา ไม่ทราบว่าคุณเป็นภรรยาของคุณอัศวินหรือเปล่าคะ” “ใช่ค่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” “คุณอัศวินประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้อาการค่อนข้างสาหัสอยากให้คุณเดินทางมาที่โรงพยาบาลโดยด่วนค่ะ” ราวกับมีสายฟ้าผ่าลงกลางใจ ความรู้สึกเดียวกับตอนที่เธอเห็นภาพของพ่อล้มคว่ำอยู่กับพื้น คราวนี้หญิงสาวพยายามตั้งสติวิ่งไปคว้ากุญแจรถ แล้วเดินทางไปที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง ภาวนาไปตลอดทางขอให้เขาไม่เป็นอะไรมากณ โรงพยาบาลหน้าห้องฉุกเฉิน พิมภามองไปทางไหนก็มีแต่ความหดหู่ ใบหน้าสวยนองไปด้วยน้ำตา เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขับมาด้วยความเร็วเท่าไร มาถึงก็วิ่งมาที่หน้าห้องแห่งนี้พร้อมทั้งเซ็นเอกสารได้ทันเวลาพอดี เพราะต้องส่งอัศวินเข้าห้องผ่าตัดด่วน หญิงสาวรออย่างใจจดใจจ่อ ถึงจะร้องไห้แต่ก็พยายามห้ามตัวเองไม่ให
เวลาผ่านไปเดือนกว่าที่มาอยู่ที่บ้านของอัศวิน พิมภากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านั้นไม่มีอะไรเป็นจริงเลยสักอย่าง อีกฝ่ายพูดราวกับว่าที่นี่น่ากลัวและมีคนจ้องจะรังแกเธออยู่ตลอด แต่พอมาอยู่เข้าจริง ๆ บ้านหลังนี้ดูเหมือนทุกคนจะต่างคนต่างอยู่ มีเพียงแค่วันอาทิตย์วันเดียวที่ทุกคนจะต้องไปนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน เหมือนตอนที่อัศวินเคยพาเธอมากินมื้อค่ำที่นี่เป็นครั้งแรกนอกจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน ที่สำคัญสิ่งที่ทำให้เธอโล่งอกที่สุดก็คือไม่ได้เจอกับเขมกรผู้เป็นพี่เขย เพราะสำหรับพิมภาแล้วผู้ชายคนนี้น่ากลัวที่สุด ตอนแรกหญิงสาวรู้สึกเกร็งนิดหน่อยไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร เพราะส่วนใหญ่แล้วอัศวินไปทำงานนอกบ้านแล้วเขาก็ไม่ค่อยให้ภรรยาเข้าไปที่บริษัทด้วยตัวเองสักเท่าไร เธอจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านหลังนี้เขมนัฏฐ์คนที่ดูเงียบและไม่ค่อยสุงสิงกับใครที่สุดกลับเป็นคนเดียวที่คุยกับเธอมากที่สุด ช่วยให้หญิงสาวคลายเหงาลงไปได้บ้าง พิมภาไม่รู้ว่าช่วงนี้อัศวินกำลังทำอะไร เขาดูยุ่งและเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยมาก ๆเขมนัฏฐ์อายุน้อยกว่าอัศวินถึงห้าปี แต่กลับคุยกับเธอได้อย่างสนิทสนม ตอนแรกพิมภาเห็นเขามาแอบมองบ่
หลังจากที่อัศวินเดินทางออกจากบ้านไปแล้ว พิมภามานั่งทบทวนตัวเอง เมื่อคืนนี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง พยายามคิดอยู่ว่าตัวเองทำอะไรน่าอายไปบ้างหรือเปล่า ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ภาพริมฝีปากนุ่มของใครบางคนลอยมา จนเธอสะดุ้งสุดตัวเพราะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แววตาหวานเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ที่โทร.มาจากโรงพยาบาล “สวัสดีค่ะ” พิมภารับสายด้วยหัวใจที่เต้นระรัวภาวนาขอให้เป็นข่าวดี แล้วหญิงสาวก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาและรีบไปโรงพยาบาลทันที พ่อของเธอฟื้นแล้วตอนนี้ เป็นข่าวดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ใช้เวลาไม่นานก็มาอยู่ข้างเตียงของกิตติภพ ซึ่งผ่ายผอมลงไปมากแต่แววตาของเขามีแววของนักสู้อยู่เต็มเปี่ยม “ดีใจจังเลยที่พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณนะคะที่ไม่ทิ้งหนูไป หนูคิดถึงพ่อมากเลยรู้ไหมคะ” “พ่อขอโทษนะลูก ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากไปหมด ถ้าพ่อไม่ดึงผู้หญิงคนนั้นมาในชีวิต โลกของพ่อก็คงไม่เปลี่ยนไป” “ไม่เป็นไรค่ะพ่อ แต่พ่อดีขึ้นแล้วจริง ๆ ใช่ไหมคะไม่ได้มีอะไรปิดบังหนูใช่ไหม” พิมภากลัวว่าในระหว่างที่เธออยู่ต่างประเทศ บิดาอันเป็นที่รักเกิดเป็นโรคอะไรที่หญิงสาวไม่เคยรู้มาก่อน“ไม่มีหรอกลูก” “ไม่มี
อัศวินไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงได้โกรธขนาดนั้น เขาประคองร่างบางไปที่รถของตนเอง ขณะที่ชายหนุ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเจ้าตัวกลับหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว รถแล่นไปได้ชั่วครู่เดียวพิมภาก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะฝันร้าย ละเมอขอให้พ่ออย่าทิ้งตนไปเหมือนแม่ ขาดแม่ไปเธอก็เคว้งคว้างพอแล้วไม่อยากจะเสียพ่อไปอีก ความสงสารทำให้อารมณ์โมโหที่คุกรุ่นก่อนหน้านี้หมดไป ดวงตาคมดุเหลือบมองริมฝีปากนุ่มละมุนที่ยังคงมีสีชมพูระเรื่อน่าจูบ มองแล้วก็อดใจไม่ไหวจึงกดปิดม่านฝั่งคนขับแล้วก้มลงจูบเธอครั้งแล้วครั้งเล่า รุ่งเช้า พิมภาค่อย ๆ ลืมตาพร้อมกับความรู้สึกที่มึนหัวนิด ๆ เธอกำลังแฮงก์และรู้ตัวดี ใบหน้าสวยขมวดคิ้วยุ่งในตอนนี้อีกทั้งยังรู้สึกมึนงงไปหมดจนกระทั่งพยายามนึกย้อนไปว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรก่อนที่หญิงสาวจะภาพตัด ดวงตากลมเบิกโพลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเห็นอัศวินกำลังต่อยพี่ชายของเขาก่อนที่เธอจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีก หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวเพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะหากันเจอ เมื่อคิดได้ว่าชายหนุ่มเป็นคนไปรับจึงมองไปรอบ ๆ ห้อง กลับไม่เห็นแม้แต่เงา เธอเลยคิดว่าเขาน่าจะไปทำงานแล้วเมื่อคิดได้ดังนั้นร่างบางจึงลุกพรวดพราดจากเต