“ใครส่งพวกเจ้ามา?” เริ่นหรงฮวาถามเสียงเข้มข้น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ฮวาอี้ซึ่งอยู่ในกระถางต้นหญ้า มองเห็นสองแม่ลูกที่ยังไม่ลงมือเสียที นางจึงส่งเสียงเตือน “เหว่ยหยาง เจ้าควรรีบจัดการพวกมัน เดี๋ยวฤทธิ์เกสรจะเสื่อมเสียก่อน” เสียงจากต้นหญ้าทำให้เริ่นหรงฮวาหันขวับไปมอง สลับสายตาระหว่างต้นหญ้ากับลูกชาย นางอยากจะเอ่ยถามแต่สถานการณ์ตรงหน้าเร่งด่วนเสียยิ่งกว่า “ข้ารู้ว่าท่านแม่คงมีคำถามมากมาย เอาไว้จัดการพวกมันก่อนเถิด แล้วลูกจะอธิบายให้ฟังทุกอย่าง” เหว่ยหยางรีบพูดพลางส่งสายตาขอความเชื่อมั่น เริ่นหรงฮวาพยักหน้าแน่น พลันกระชับมีดในมือแน่นก่อนจะเดินเข้าไปปาดคอชายคนหนึ่งอย่างเยือกเย็น เหว่ยหยางเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่ามารดาผู้แสนอ่อนโยนจะสามารถฆ่าคนได้อย่างไม่ลังเล เขาจึงเร่งจัดการกับชายที่เหลือตามด้วยความเด็ดขาด ชายชุดดำที่ยังพอรู้สึกได้มองเพื่อนของตนตายไปทีละคนด้วยความหวาดกลัว เขาพลาดไปแล้ว เขาควรระวังตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้ เริ่นหรงฮวาหันไปเห็นสายตาหวาดหวั่นของอีกคนที่ยังเหลืออยู่ นางแสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้ากลัวหรือ? เจ้าคงไม่รู้สินะว่าการฆ่าสามีของข้า ทำลายบ้านที่ข้าเคยอยู่ มันต้องชดใช้มากแค่ไหน… แค่นี้ยังไม่สาสมเลยด้วยซ้ำ!” นางดึงผมชายชุดดำนั้นขึ้น เงื้อมีดปาดคอจนเลือดทะลักออกมาเป็นสาย ชายผู้นั้นขาดใจตายทันที ฮวาอี้เฝ้ามองอยู่ด้วยความสะพรึง ใจสั่นระรัว ‘ต่อไปข้าจะไม่ทำให้มารดาของเหว่ยหยางโกรธเป็นอันขาด…’ นางครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด เหว่ยหยางเองก็ไม่ต่างกัน เขาตกตะลึงไม่น้อยกับการกระทำของมารดา ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยอ่อนโยนและอ่อนหวาน บัดนี้กลับเด็ดขาดราวกับนักฆ่าผู้ช่ำชอง เมื่อคลายความโกรธลงบ้าง เริ่นหรงฮวาหันมองลูกชาย สีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย “เจ้าเห็นแม่เป็นเช่นนี้… ยังจะรักแม่อยู่หรือไม่?” เหว่ยหยางเดินเข้าไปโอบกอดนางไว้แน่น “ลูกเข้าใจขอรับ พวกเราจะช่วยกันแก้แค้นให้ท่านพ่อและปกป้องครอบครัวนี้ให้ได้” “เพราะความอ่อนแอของแม่ในวันนั้น… บิดาเจ้าจึงต้องตาย ต่อไปนี้แม่จะไม่ยอมอยู่เฉยอีก” เสียงของนางแน่นหนัก ก่อนจะเสริมต่อด้วยความเด็ดขาด “แต่ตอนนี้ เราต้องจัดการร่างพวกมันก่อน แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรจะบอกแม่ใช่หรือไม่?” “ข้าคิดว่าเราควรนำศพพวกมันไปทิ้งบนเขา ให้สัตว์ป่าจัดการ ส่วนเรื่องของต้นหญ้าน้อย ข้าจะเล่าให้ท่านแม่ฟังแน่นอนขอรับ” เหว่ยหยางกล่าวด้วยความหนักแน่น แม้จะรู้ว่าฟังดูเหลือเชื่อ แต่นั่นคือเรื่องจริง และเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ด้วยตาตนเองเท่านั้น… ทั้งสองช่วยกันแบกร่างไร้วิญญาณของทั้งห้าคนไปทิ้งยังภูเขาในจุดที่ไม่มีใครสามารถค้นพบได้ง่าย เมื่อจัดการลบเลือนร่องรอยทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เริ่นหรงฮวาก็พาบุตรชายมานั่งลงเพื่อสอบถามในเรื่องที่ยังคงติดค้างในใจ นางจ้องหน้าของเหว่ยหยางอย่างนิ่งสงบ “เจ้ามีสิ่งใดอยากบอกแม่หรือไม่” น้ำเสียงของนางเรียบเฉย หากแต่แฝงแววจริงจัง เหว่ยหยางเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามของมารดา ก็ไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป เขารีบอธิบายออกไปทันที “เรื่องที่ท่านแม่สงสัย… ลูกมิได้ต้องการปิดบัง เพียงแต่กลัวว่าหากพูดออกไป ท่านอาจไม่เชื่อขอรับ” “ตอนนี้แม่เชื่อเจ้าแล้ว พูดมาเถอะ อย่ามัวอ้อมค้อมอยู่เลย” หรงฮวาเอ่ยพร้อมทั้งเหลือบมองต้นหญ้าที่ขึ้นอยู่หน้าชานบ้าน เหว่ยหยางมองมารดาด้วยรอยยิ้มบาง “ข้าเองก็ไม่รู้จะเริ่มเล่าอย่างไรดี เพราะแม้แต่นางเองก็มิอาจบอกได้ว่านางคือสิ่งใดแน่ชัด แต่เท่าที่ลูกพอรู้… นางสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ และยังมีพลังเวทรักษาได้ อาการป่วยของท่านแม่ ก็เป็นนางที่ช่วยรักษาให้” เขาอธิบายเท่าที่ตนพอเข้าใจ หวังเพียงให้มารดาเข้าใจได้ง่ายขึ้น เริ่นหรงฮวารับฟังทุกถ้อยคำจนจบ แม้ความสงสัยยังคงไม่มลายหายไปทั้งหมด แต่บางเรื่องก็เริ่มกระจ่างในใจ นางไม่รู้เลยว่าต้นหญ้าวิเศษเช่นนี้มาอยู่ที่บ้านได้อย่างไร เพราะตอนที่นางย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ยังไม่เคยเห็นต้นหญ้านี้มาก่อน สายตาของนางเหลือบมองลูกชายที่มีแววตาเปล่งประกายเมื่อเอ่ยถึงต้นหญ้านั้น ‘หรือว่าลูกชายของนางจะตกหลุมรักต้นหญ้าน้อยเข้าเสียแล้ว…ไม่ได้การ นางต้องพบต้นหญ้าน้อยในร่างมนุษย์สักครั้ง เพื่อดูว่านางเป็นคนดีหรือไม่’ เมื่อเหว่ยหยางเห็นสีหน้าของมารดายังเต็มไปด้วยความคิด เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ยังมีเรื่องใดอยากถามลูกอีกหรือไม่ขอรับ” เสียงเรียกของเขาดึงสติหรงฮวากลับมา นางหันไปสบตาบุตรชายอีกครั้ง “มีสิ… แม่อยากพบต้นหญ้าน้อยของเจ้าสักครั้ง” นางกล่าวพลางจับจ้องสีหน้าของลูกชาย “ท่านแม่อยากพบนางหรือขอรับ? เรื่องนี้ไม่ยากเลย แต่ขอให้ลูกได้ถามความสมัครใจของนางเสียก่อน เพราะนางสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้เฉพาะคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น” เขาตอบด้วยน้ำเสียงยินดี “เจ้าลองไปพูดกับนางก่อน ในเมื่อพวกเราอยู่บ้านเดียวกัน ก็ควรทำความรู้จักกันบ้าง จะได้ไม่เคอะเขิน” หรงฮวาพูดพลางยิ้มบาง ๆ ในใจเริ่มจินตนาการถึงต้นหญ้าน้อยในร่างคนที่น่าจะน่ารักไม่เบา “ได้ขอรับ ท่านแม่เข้าไปพักผ่อนเถิด ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่างดีเลย” เหว่ยหยางกล่าวพลางมองฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี คืนนี้พวกเขาทั้งลากศัตรูมาจัดการ และนำร่างไปซ่อน ทำเอาเหนื่อยแทบหมดแรง กว่าจะมานั่งพูดคุยเรื่องต้นหญ้าน้อยก็เป็นยามดึกเสียแล้ว “เช่นนั้นก็ได้ แม่จะไปนอนพักก่อน เจ้าก็อย่าฝืนตัวเองนัก ไว้ค่อยคุยกันอีกทีตอนเช้า” หรงฮวากล่าวจบก็ลุกเดินเข้าห้องของตน ใช้น้ำสะอาดเช็ดเนื้อตัวอีกครั้งก่อนเปลี่ยนชุดใหม่ นางไม่ต้องการนอนหลับไปพร้อมกับคราบเลือดที่ยังติดอยู่กับเสื้อผ้า… ทางด้านเหว่ยหยาง หลังจากส่งมารดาเข้านอนแล้ว เขาเดินไปยังจุดที่ต้นหญ้าน้อยตั้งอยู่ตามปกติ ยังไม่คิดจะรบกวนนางในคืนนี้ คงไว้รอเช้าแล้วค่อยเอ่ยถาม เมื่อกลับเข้าห้อง เขาเช็ดเนื้อตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล้มตัวลงนอน ความเหนื่อยล้าจากการลากศพทั้งห้าขึ้นภูเขา ทำให้เขาหลับสนิททันที แม้จะมีร่างกายแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกัน แต่เมื่อใช้แรงมากเกินไป ย่อมต้องอ่อนล้าเป็นธรรมดา รุ่งเช้า เหว่ยหยางตื่นขึ้นด้วยเสียงบางอย่างที่ดังมาจากนอกห้อง ‘ท่านแม่คงตื่นแล้ว ข้านอนหลับไปนานเพียงใดกันนะ’ เขาหันมองแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดหน้าต่าง ตอนนี้คงสายมากแล้ว เขาเดินออกจากห้องตรงไปยังห้องครัว แล้วจึงพามารดาไปยังจุดที่ต้นหญ้าน้อยตั้งอยู่เช่นทุกวัน แต่เมื่อเดินมาถึง กลับพบว่ามีคนกำลังรดน้ำให้นางอยู่ก่อนแล้ว คงจะเป็นท่านแม่แน่ ๆ ที่อุตส่าห์ลุกมารดน้ำให้แต่เช้าเมื่อคิดถึงฟ่านอิง เด็กน้อยก็คลานเข้ามาหานางพอดี เขายังดูน่ารักมากขึ้นทุกวัน ฮวาอี้อุ้มเขาไว้ในอ้อมแขน เดินชมร้านไปพลาง เด็กน้อยก็มองนางด้วยสายตาใสซื่อราวกับกำลังพยายามจดจำใบหน้าของผู้คนรอบตัวอย่างจริงจังเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน จนถึงกำหนดวันแต่งงาน ฮวาอี้กลับไปพักที่บ้านของเหว่ยหยาง และเข้าไปเตรียมตัวที่ร้านในเมืองหลวงเมื่อถึงวันงาน เหว่ยหยางส่งเกี้ยวแปดคนหามมาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อรับตัวเจ้าสาว ผู้คนริมทางต่างพากันชื่นชมและยินดี เมื่อเกี้ยวหยุดหน้าบ้าน เขาก็เป็นผู้มารับตัวนางด้วยตนเองฮวาอี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดงดงาม ผ้าคลุมหน้าสีเดียวกันปิดบังใบหน้าไว้ บนศีรษะประดับด้วยปิ่นที่เหว่ยหยางเคยมอบให้นางเมื่อครั้งก่อน แซมด้วยปิ่นหยกอันใหม่ที่ส่องประกายเจิดจรัสยิ่งนักหลังพิธีเสร็จสิ้น เหว่ยหยางพานางเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นห้องเดิมที่นางเคยนอนป่วยอยู่ บัดนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสด ดูอบอุ่นและเป็นสิริมงคลยิ่งนัก“ฮวาอี้…” เขาเอ่ยเรียกนางเบา ๆ“เจ้าค่ะ” เสียงตอบรับของนางนุ่มนวล เจือความเขินอาย“ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียเปรียบอีก คืนนี้เจ้าตรวจร่างกายของข้าได้เต็มที
“เจ้าเช็ดน้ำลายเสียหน่อยเถิด” เหว่ยหยางเอ่ยยิ้ม ๆฮวาอี้รีบยกมือเช็ดปากทันที ทว่ากลับไม่มีอะไรอย่างที่เขาว่า นางจึงหันมามองเขาตาขวางเหว่ยหยางหัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกว่าการมีนางอยู่ให้หยอกเย้าเช่นนี้ คือความสุขที่แท้จริงของเขา“ข้าอยากออกไปข้างนอกแล้ว” ฮวาอี้รีบเปลี่ยนเรื่อง“ได้เลย หากทุกคนได้เห็นเจ้า คงดีใจกันไม่น้อย โดยเฉพาะท่านแม่ของข้า” เขาตอบก่อนจะเข้ามาพยุงนาง แม้นางจะเดินได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงห่วงใยอย่างไม่คลายฮวาอี้รับรู้ถึงความใส่ใจของเขา จึงยินยอมให้เขาช่วยพยุงโดยไม่ขัดขืน นางกลับรู้สึกอบอุ่น… อยากให้เขาเอาใจใส่เช่นนี้ตลอดไปจริง ๆเมื่อเดินออกมานอกเรือน กลับไม่พบผู้ใดอยู่เลยแม้แต่คนเดียว เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีบ่าวมาคอยดูแล“ทุกคนไปไหนกันหมดหรือ?” ฮวาอี้ถามอย่างสงสัย“ตอนนี้ท่านแม่ไปช่วยงานที่อีกเรือนหนึ่ง ข้าจะพาเจ้าไปดูด้วยตนเอง”“ช่วยงานอะไรหรือ? ที่นี่มีงานให้ทำด้วยหรือ?” นางถามอย่างแปลกใจเหว่ยหยางไม่ปล่อยให้ความสงสัยนั้นอยู่นาน เขาจูงมือนางมายังเรือนหลังหนึ่งซึ่งมีบ่าวรับใช้นั่งทำงานกันอยู่หลายคน และตรงกลางเรือนก็คือมารดาของเขาเมื่อสายตาของฮวาอี้มองไปยังสิ่งที่พวกเขา
“ข้าไม่ขอกลับไปยังโลกเดิมอีก… ในเมื่อที่แห่งนี้มีคนที่รักข้ารออยู่ ข้าย่อมไม่หนีเขาไปที่ใดได้อีก ท่านสามารถส่งข้ากลับไปได้หรือไม่?” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงสั่น น้ำตาไหลพรากลงมาตามพวงแก้มชายชราแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “หากเจ้าเลือกเช่นนี้ ตัวตนของเจ้าในโลกเดิมจะสูญสลายไปทันที… เจ้ายอมรับได้แล้วจริงหรือ?”“ข้ายอมรับ” ฮวาอี้ตอบด้วยแววตามุ่งมั่น น้ำเสียงหนักแน่นเปี่ยมความเชื่อมั่นเมื่อได้รับคำยืนยันอีกครั้ง ชายชราก็โบกมือเบา ๆ ภาพของร่างในโรงพยาบาลค่อย ๆ จางหาย พร้อมกับเรื่องราวในโลกเดิมที่นางเคยดำรงอยู่“บัดนี้ เจ้าหาได้มีตัวตนในโลกเดิมอีกต่อไปแล้ว… เจ้าจงใช้ชีวิตที่เจ้าเลือกให้คุ้มค่า ส่วนมิติที่ข้ามอบให้ จะยังคงอยู่ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของเจ้า ขอให้เจ้าพบความสุขในสิ่งที่เลือกไว้เถิด”เมื่อกล่าวจบ ร่างของชายชราก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตา เหมือนสายลมที่พัดผ่านฮวาอี้ตกใจ รีบร้องเรียกเสียงหลง “เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ! ท่านยังไม่ส่งข้ากลับไปเลย ข้าจะกลับไปโลกนั้นได้อย่างไร!” นางโอดครวญอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดเขาจึงไม่เคยบอกอะไรให้นางรู้ล่วงหน้าสักครั้งแต่ไม่นานนัก เส้นทางสีขาวสว่างไสวก็ปรากฏขึ้นตร
ไป๋จิ้งอวี่รับดาบนั้นไว้ แต่แรงปะทะรุนแรงจนเขากระอักเลือดออกมา ร่างกายของเขาเองก็อ่อนแรงเต็มที ทว่าในห้วงสุดท้ายนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นนักฆ่าคนสนิทปรากฏตัวขึ้น เขาซ่อนรอยยิ้มไว้ในเงามืด ศึกครั้งนี้เขายังไม่แพ้!นักฆ่าในชุดดำที่เพิ่งมาถึง รีบพุ่งเข้าหาด้วยความรวดเร็ว ดาบในมือฟาดลงมาเพื่อช่วยเจ้านายของตนโดยไม่ลังเลฮวาอี้ที่เห็นดังนั้น รีบผลักเหว่ยหยางให้พ้นทาง แล้วรับคมดาบแทน ร่างของนางทรุดลงทันทีตรงหน้าชายคนรัก“ไม่!!” เหว่ยหยางตะโกนลั่น ก่อนจะใช้ดาบในมือตวัดแทงทะลุร่างของไป๋จิ้งอวี่ทันที ศัตรูตัวฉกาจล้มลงในบัดดลเหว่ยหยางรีบโผเข้าประคองร่างของฮวาอี้ไว้ในอ้อมแขน “ฮวาอี้… เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่… อย่าเป็นอะไรไปเลย…” เสียงของเขาสั่นเครือ มือของเขากุมมือของนางไว้แน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นคมดาบเล่มนั้นปักกลางอกซ้ายของนางพอดี เลือดสีแดงไหลรินลงมาเปื้อนเสื้อคลุมสีอ่อนอย่างน่าสลดใจชายชุดดำอีกคนที่เหลืออยู่เห็นท่าไม่ดี พยายามหนีเอาตัวรอด แต่ยังไม่ทันพ้นระยะ ก็ถูกชายหน้าหวานผู้หนึ่งแทงร่างจนสิ้นใจไป๋เทียนวิ่งตรงเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ เมื่อมองเห็นหญิงสาวในอ้อมแขนของเหว่ยหยาง เขา
“เจ้าช่างปากหวานเสียจริง…” ฮวาอี้ยิ้มบาง “แล้วเจ้าส่งคนไปดูทางขบวนเจ้าบ่าวหรือยัง?”“ข้าน้อยส่งไปแล้วตามที่นายหญิงสั่งเจ้าค่ะ” ลัวหยูตอบด้วยความเคารพ นางไม่เข้าใจนักว่านายหญิงกังวลสิ่งใด เพราะเหว่ยหยางเองก็เป็นผู้มีฝีมือสูงส่ง ไม่มีใครกล้ารังแกได้ง่าย ๆ“ดี…ข้าค่อยวางใจได้หน่อย” ฮวาอี้พึมพำเบา ๆ พลางลูบต้นหญ้าปักกิ่งในมืออย่างแผ่วเบา หากเกิดเหตุร้ายใด ๆ ขึ้น นางยังมีวิธีช่วยเหลือเขาทางฝั่งของ เหว่ยหยางเขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงเข้มอย่างสง่างาม แววตาเต็มไปด้วยความสุข ในที่สุด…วันที่เขารอคอยก็มาถึงระหว่างทางขบวนขันหมากกำลังเคลื่อนตัวอย่างสงบ ผ่านเส้นทางแคบในหุบเขา ท่ามกลางเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้ร่วมขบวนกระทั่ง…เงาดำหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า!ชายในชุดดำกระโจนออกมายืนขวางทางรถม้าอย่างไม่เกรงกลัวสายตาใด ๆ“นายท่าน! เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”เสียงอู๋หยวนดังขึ้นอย่างร้อนรน ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดผิดปกติ…“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” เหว่ยหยางขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง“มีชายชุดดำขวางหน้ารถม้าของเราขอรับ!”“ถ้าเช่นนั้น ฆ่ามันเสีย!” เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงกร้าว โม
“เจ้า…ปลูกมันขึ้นมาได้เช่นไร?” เขาเอ่ยถามเสียงสั่นอย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าก็ปลูกมันลงในดินธรรมดาเท่านั้น มันก็ขึ้นมาเอง ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลยขอรับ” เหว่ยหยางพูดออกมาด้วยท่าทางโอ้อวดเล็กน้อยเจ้าของร้านขายยามองทั้งสองด้วยสายตาเคลือบความหมั่นไส้ แต่ในใจก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอันใด เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องธรรมดา ต้นโสมสวรรค์จะเติบโตได้ต้องอาศัยปัจจัยบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ง่ายดาย เช่นเดียวกับโชคชะตาและบุญวาสนา และแม้จะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธีใด แต่เรื่องนี้ก็ไม่สมควรถามออกไปตรง ๆ“แล้วต้นโสมต้นนี้… เจ้าจะนำกลับไปหรือไม่? หากไม่ ข้าขอซื้อต่อในราคาที่สูงกว่าหลายเท่า” เขาถามพลางจับต้นโสมแน่นราวกับกลัวว่ามันจะหลุดมือเหว่ยหยางแย้มยิ้มบาง “หากไม่ใช่เพราะท่านมอบเมล็ดให้ข้า ข้าก็ไม่มีวันได้ต้นโสมต้นนี้มา ข้ามอบมันให้ท่านโดยไม่คิดสิ่งตอบแทนใด ๆ ถือว่าข้าได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว และเมื่อสัญญานั้นสิ้นสุด ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาพบท่านอีกหรือไม่”เจ้าของร้านขายยาพลันยิ้มกว้างด้วยความยินดีที่ได้ต้นโสมสวรรค์มาโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่ตำลึงเดียว แต่เมื่อได้ยินว่าเหว่ยหยางจะจากไป ก