๑๑
ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะ
หลางยี…
‘หลางยีเกอเกอ หลางยีเกอเกอ หลางยีเกอเกอ’
ตั้งแต่ที่นางเรียกข้าด้วยเสียงอันหวานใส ข้าก็กลับพรรคมารเฮยหลางด้วยท่าทางเหมือนคนไร้สติ
ไร้สติขนาดไหนเช่นนั้นหรือ ก็ขนาดที่ตัวข้าเองยังสัมผัสได้เลย!
เวรยามประจำกะกลางคืนที่เห็นข้าเดินผ่านพวกเขาไป ร้อยทั้งร้อยคงคิดว่าข้ากำลังเคร่งเครียดเรื่องงานอยู่ถึงได้นิ่งขรึมไป แต่เปล่าเลย…
‘หลางยีเกอเกอ’
ข้านิ่งไปเพราะคำนี้มันตามหลอนหูข้าต่างหาก แล้วอะไรอีกนะ…
‘อีกสามวันข้าจะไปดูตัวกับท่านกุยฮั่นเจ้าค่ะหลางยีเกอเกอ’
“ฮึ่ม! เอาอย่างไรดี จะตามไปด้วยเลยดีหรือไม่…”
“ไปที่ใดหรือขอรับ”
ข้าแอบตกใจเมื่อจู่ ๆ คนสนิทก็โผล่พรวดพราดเข้ามาหาในยามที่ข้าขาดความระมัดระวังตัว
“ประเดี๋ยวจะโดนข้าเผลอซัดลมปราณใส่จนสิ้นชื่อหรอกเจ้านี่!” แต่ถึงกระนั้น ด้วยความเป็นนายก็ต้องโทษลูกน้องไว้ก่อน
อาไท่โค้งตัวลงเล็กน้อยเป็นการขออภัยข้า
“ครั้งหน้าไม่ทำอีกแล้วขอรับ”
น้ำเสียงของเขาเจือความสำนึกผิด แต่ใบหน้ากลับไม่ได้สลดเลยสักนิด
ข้าลังเลว่าพรุ่งนี้จะตามไปดูนางดีหรือไม่ แต่ก็คิดได้ว่าหากไปคนเดียวมันคงดูตั้งใจมากเกินไป จึงได้…
“อาไท่ พรุ่งนี้ข้ามีนัดกับสหายที่หมู่บ้านกุยหาน เจ้าตามไปด้วยก็ดี”
…ก็หาแนวร่วมไปเลยสิ!
“รับทราบขอรับ วันพรุ่งข้าน้อยไม่มีภารกิจด่วนอันใดจากท่านประมุขพรรคพอดีเลย ว่าแต่…ท่านประมุขน้อยมีสหายด้วยหรือขอรับ”
“สู่รู้!”
เจ้านี่…รู้ดีไม่พอยังถามคำถามแทงใจกันอีก
(จบหลางยี)
ลี่จู…
สามวันต่อมาก็มีรถม้าขบวนใหญ่มารับข้าไปที่หมู่บ้านกุยหานอันเป็นสถานที่ตั้งของพรรคมารกุยหาน
ตอนแรกข้าคิดว่ากุยฮั่นจะมารับข้าไปที่พรรคของเขาด้วยตัวเองเสียอีก
“คารวะลี่กูเหนียงเจ้าค่ะ”
แต่ผิดคาด!
เป็นสตรีหน้าหวานในคราบจอมยุทธ์มัดผมขึ้นสูง ท่าทางทะมัดทะแมงเป็นคนมารับข้าแทน
จากที่มีประสบการณ์คลุกคลีกับวงการรัก ๆ ใคร่ ๆ มาเยอะ ข้าว่าตัวเองเหมือนถูกมองด้วยสายตาแบบ
‘หมาหวงเจ้าของ’
หรือแท้จริงแล้วข้ากำลังเข้าสู่สถานะมือที่สาม!
“แม่นางคือ…”
“ม่านหนิง คนสนิทของประมุขน้อยพรรคมารกุยหานเจ้าค่ะ”
หากฟังด้วยใจไม่เอนเอียง นางดูจะเน้นคำว่าคนสนิทเป็นพิเศษ หรือว่านางจะมีนอกมีในกับกุยฮั่นจริง ๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักม่านหนิงกูเหนียงเจ้าค่ะ เชิญเข้าไปดื่มชาด้านในก่อนได้นะเจ้าคะ”
“ข้ารับคำเชิญไว้ด้วยใจ ทว่าวันนี้มีภารกิจรัดตัวอีกมาก ขอเป็นโอกาสหน้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
อ๋อ~เช่นนั้นการมาดูตัวกับข้าก็จัดว่าเป็นงานที่ไม่ใช่ ใจไม่รัก แต่ก็ต้องฝืนใจทำสินะ
ได้! ข้าจะให้ความร่วมมืออย่างดีเลย
“เอาตามที่ม่านหนิงกูเหนียงต้องการเลยแล้วกัน เช่นนั้นเราออกเดินทางกันเลยดีหรือไม่ ข้าอยากพบท่านกุยฮั่นแล้ว” จะได้จบ ๆ อย่างที่เจ้าหวังให้เป็น
ประโยคหลังข้าไม่ได้กล่าวออกไป เมื่อเชิดหน้าใส่ทิ้งท้ายประโยค ข้าก็เดินไปทางรถม้าแล้วก้าวขึ้นไปโดยการช่วยเหลือของสาวใช้คนสนิท ทำให้ไม่รู้เลยว่าม่านหนิงแสดงสีหน้าเช่นไรไล่หลังข้า
(จบลี่จู)
เฟิ่งหงซี…
“ท่านประมุขน้อยขอรับ อีกเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้นขบวนเดินทางของลี่กูเหนียงจะผ่านเส้นทางนี้ขอรับ”
“อือ แล้วตอนนี้ข้าดูเป็นอย่างไรบ้าง”
“ราศีจับขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยจะทวนให้นะขอรับว่าท่านประมุขน้อยต้องทำตัวอย่างไรบ้าง…
ท่านจะทำทีเป็นว่านั่งจิบชาอย่างสบาย ๆ อยู่ตรงนี้ แล้วในขณะที่ขบวนเดินทางผ่านร้านชานี้ไป ท่านจะช้อนตาขึ้นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นแล้วเหลือบมองไปที่รถม้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ
อ้อ! แต่ต้องเป็นจังหวะที่ลี่กูเหนียงมองผ่านหน้าต่างรถม้ามาพอดีนะขอรับ มิเช่นนั้นจะไม่เรียกว่าจังหวะ ‘เวลาหยุดเดิน’
ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกัน มีลมแห่งรักพัดพากลีบบุปผาร่วงโรยลงมาจากท้องฟ้า เวลาของทุกคนยังเดินเป็นปกติ มีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้นที่เวลาหยุดเดิน…”
ข้ามองลูกน้องคนสนิทอาปิงที่กำลังพร่ำเพ้อสาธยายฉากต่าง ๆ ในหัวของเขาด้วยท่าทางที่ทำให้คนที่เดินผ่านไปมามองเขาด้วยความประหลาดใจอยู่ในที
ข้ายกแขนเสื้อตัวกว้างขึ้นบังใบหน้าตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะกระแอมเบา ๆ เป็นการเรียกสติเขา เมื่อนั้นเขาจึงได้กลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริงอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านประมุข ประทับใจในการจัดแจงของข้าน้อยหรือไม่”
แม้ว่าข้าจะอายผู้คนจากท่าทางเพ้อฝันของเขาก็ตาม แต่ข้าว่าตนเองก็ชอบฉากนี้ไม่น้อย
แต่ติดใจอยู่เรื่องหนึ่ง!
“หากนางไม่มองออกมานอกหน้าต่างรถม้าเล่า ดวงตาของเราจะสบประสานกันได้อย่างไร”
การที่ข้าพาตัวเองและลูกน้องมาอยู่ที่หมู่บ้านกุยหานได้ แน่นอนว่าไม่มีธุระกงการอันใดทั้งสิ้น
เพียงแค่อยากให้ลี่จูเม่ยเม่ยจำภาพของข้าให้ติดตาตรึงใจ เพื่อจะได้ไม่หลงรูปโฉมของกุยฮั่น บุรุษที่ข้ายอมรับว่าใบหน้ามีเสน่ห์เหลือร้าย
“อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่ที่โชคชะตาแล้วขอรับ”
“หากโชคไม่เข้าข้างข้าเล่า จะไม่มีแผนการรับมือไว้ให้ข้าหน่อยหรือ อย่างเช่น…ทำเป็นเรียกร้องความสนใจก็ได้ ไฟไหม้ไหม หรือทะเลาะวิวาทยกพวกตีกัน!”
ดูท่าข้าจะเสนออะไรสิ้นคิดไปแล้ว เพราะเจ้าลูกน้องส่ายหน้าไปมาจนปากสั่นคางสั่น
“ท่านประมุขน้อย สถานการณ์วุ่นวายแบบนี้จะให้ลี่กูเหนียงเห็นภาพกลีบบุปผาโปรยมาได้อย่างไรขอรับ ควันไฟลอยมาเอย มีดดาบลอยมาเอย มิได้นะขอรับ”
ก็จริงของอาปิง!
“เฮ้อ~”
ข้าถอนหายใจอย่างรู้สึกเหนื่อยใจ ตั้งแต่มีชีวิตอยู่มา 25 หนาว ข้าไม่เคยทำอันใดแบบนี้มาก่อนเลย
แต่หากไม่ทำก็ไม่ได้นางแล้ว!
“รินชา!”
ข้าสั่งเสียงเรียบ เมื่อคนสนิทรินชาใส่จอกให้แล้วก็ยกจอกชาขึ้นจิบดับกระหายความว้าวุ่นในจิตใจ
ในเวลาเดียวกันนั้นสายตาของข้าก็มองไปยังถนนฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นร้านน้ำชาอีกร้านหนึ่ง หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อเห็นว่าใครนั่งจิบชาอยู่ฝั่งนั้น
“เจ้าหลางยีมาทำอันใดที่นี่”
ที่สำคัญคนสนิทของเขาที่ยืนอยู่ไม่ห่างกายนั้นกำลังโปรยกลีบบุปผาไปยังรอบกายของหลางยีด้วย
“ท่านประมุขขอรับ นั่นพวกเขา…”
เสียงคนสนิทของข้าสั่นเล็กน้อย ดูท่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ข้าเห็นแล้วเช่นกัน
“ดูท่าเจ้ากับเขาจะอ่านตำราเล่มเดียวกัน”
ถึงขั้นนำบุปผาจริงมาเป็นตัวประกอบฉาก ที่แท้โชคชะตาไม่ใช่สวรรค์ลิขิต…
แต่เราต้องลิขิตเอง!
(จบเฟิ่งหงซี)
๑๐เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า!”นี่คือประโยคแรกที่ข้ากล่าวหลังจากที่ถลันกายเข้าไปในห้องนอนรอยยิ้มบนใบหน้าข้าหายไปทันทีเมื่อเห็นสภาพนางที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นหน้าข้านางก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เหตุใดนางจึงร้องไห้น้ำตาอาบหน้าเช่นนี้“ฮูหยิน…”อาชิ่งรู้งานรีบเดินออกไปจากเรือนนอนปล่อยให้เราสองคนอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง“ฟูจวินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา”ข้าชะงักเท้าตามที่นางสั่ง แม้จะทราบว่านางเป็นเช่นนี้เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามความเศร้าที่กอบกุมจิตใจได้“ฮูหยินร้องไห้ด้วยเหตุใด บอกฟูจวินได้หรือไม่”“ไม่บอกเจ้าค่ะ อยากร้องไห้ต้องมีสาเหตุด้วยหรือ” ปลายเสียงนางสะบัดแต่สะอื้นฮัก ๆ เพราะร้องไห้เห็นร่างบางที่หันหลังใส่ตัวสั่นเช่นนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เดินไปนั่งด้านหลังนางแล้วสวมกอดร่างบางเอาไว้จากด้านหลัง“ฮูหยิน อยากร้องก็ร้อง แต่อย่าห้ามฟูจวินให้กอดเจ้าเลย ในเวลานี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเองอยู่คนเดียว”นางเห็นหน้าข้าแล้วอาจหงุดหงิด แต่ทำแบบนี้ย่อมดีเสียกว่าทิ้ง
๙เบื่อหน้าเขานัก บุตรสาวข้าเลี้ยงง่ายยิ่งนัก! ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าตอนเด็กนางเหมือนข้าไม่มีผิด เวลาใครอุ้มก็จะมองหน้าคนนั้น มองนิ่ง ๆ ด้วยสายตาสำรวจ นอกจากครั้งแรกที่ร้องไฮ้ตอนเป็นทารกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้อีก หลางลู่หลินก็เช่นกัน! สิ่งนี้ทำให้ข้าเริ่มสงสัยว่านางเป็นแบบข้าหรือไม่ มีความทรงจำของชาติภพปัจจุบันติดมาด้วยหรือเปล่า มีวันหนึ่งข้าลองทดสอบดู พูดเป็นภาษาอังกฤษภาษาสากล แต่นางเพียงมองหน้าข้าด้วยสายตาว่างเปล่า ชัดเจนว่าไม่เข้าใจ คิดได้สองแง่ หนึ่งนางแค่ไม่ชอบร้องไฮ้ มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เกิด สองนางอาจมากันคนละยุคกับข้า การทดสอบของข้าดำเนินการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางอายุเข้าสามหนาวข้าก็หยุดทดสอบ คิดได้ว่า… ไม่ว่าใครจะมาเกิดนางก็ตาม อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า ใช้ชีวิตเป็นมารดาของหลางลู่หลินโดยไม่ตั้งคำถามกับตนเองในใจอีก เข้าปีที่สามของการใช้ชีวิตเป็นมารดา ปีนี้ลู่หลินพูดได้เยอะขึ้น วิ่งเล่นได้เร็วขึ้น ดูสดใสตามวัยโดยเฉพาะยามที่ได้เล่นกับบิดาและน้าชาย กอปรกับข้าตั้งครรภ์อ่อน ๆ หน
๘ผู้ซึ่งสมหวังที่สุดข้าเรียนรู้วิธีการกรี๊ดแล้ว!“กรี๊ด~เจ็บ!”ที่ผ่านมาข้าคิดว่าตนเองกรี๊ดไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้ เจ้าตัวน้อยของแม่มอบบทเรียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่กำลังลืมตาดูโลกเลย “ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ…อื้อ~” “อื้อ~”ข้าออกแรงเบ่งพร้อมเปล่งเสียงตามท่านหมอหญิง แต่เจ้าตัวน้อยของข้าก็ไม่ยอมออกเสียที“เบ่งอีกเจ้าค่ะฮูหยินน้อย เอาให้สุดแรงครั้งนี้ออกแน่เจ้าค่ะ”อีกครั้งเดียวแน่หรือ!“ฮูหยินน้อย อาชิ่งช่วยเบ่งเจ้าค่ะ”สาวใช้คนสนิทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้า น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกสภาพจิตใจในตอนนี้“เอาล่ะเจ้าค่ะ เบ่งเจ้าค่ะ”“อีกทีใช่หรือไม่…อื้อ~” ข้าพยายามเบ่งอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมคือยังไม่ออกมีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรชาย แต่ก็มีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรสาวสุดท้ายข้าเลือกเชื่อว่าเป็นบุตรสาวเพราะสามีกระซิบกับท้องข้าเบา ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่น…‘พ่อไปเรียนทำผมมาแล้ว จะถักเปียให้เจ้าทุกวันดีหรือไม่ลูกสาว’ไม่ก็กล่าวกับอาไท่ว่า…‘ทำชิงช้าน้อยใต้ต้นไม้ให้บุตรสาวข้าหน่อย’เป็นเช่นนี้ตลอด! นานวันเข้าข้าก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้บุตรสาวเช่นเดียวกับฟูจวิน“ท่านหมอ ไม่ออก…ฮึก”เมื่อค
๗นางอาจจะมาแล้ว“เกิดอันใดขึ้นกับนาง!”“ฮูหยินเป็นลมขอรับ”ข้าบีบมือตนเองแน่น ต่อให้นางจะเป็นลมข้าก็ไม่วางใจ ถามเขาถึงสถานที่ที่นางอยู่่ในตอนนี้“ฮูหยินอยู่ที่ใด”“เรือนนอนขอรับ”เมื่อทราบสถานที่ที่นางอยู่แล้วข้าก็ไม่รีรอ ใช้พลังภายในที่มีทั้งหมดเร่งความเร็วมาที่เรือนหอ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องนอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของหลางผิงและท่านหมอประจำจวนข้าถลันกายเข้าในด้านในโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น“ฮูหยิน!”ใบหน้านางซีดมากจนข้าหายใจไม่ออก มารู้ว่าตนมือสั่นก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับมือบาง“ฟูจวิน ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ทำใจดี ๆ”ทำใจดี ๆ เช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้แล้วข้าจะยังใจเย็นได้ไหวหรือ นางเป็นอันใดถึงต้องกล่าวให้ข้าทำใจดี ๆ“ฮะ ฮูหยิน พูดแบบนี้ข้าใจไม่ดีเลย”ข้าเริ่มกล่าวเสียงตะกุกตะกักแล้ว ในตอนนั้นเองที่หมอประจำจวนเรียกความสนใจจากข้า“ท่านประมุขน้อย ฮูหยินไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายขอรับ แต่เป็นข่าวดี”ข่าวดี!“บอกเขาเถิดเจ้าค่ะท่านหมอ”เสี่ยวกูกู่เอ่ยขึ้น แววตาของนางฉายความขบขันจนข้าวางใจว่าภรรยาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดจริง ๆ“ยินดีกับท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้วขอรับ”ตะ ตั้งครรภ์หรือ!“ฮูห
๖ฮูหยินเป็นอันใดลี่จู…กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวครั้งนี้ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเดิมโดยไม่แน่ใจถึงสาเหตุหรือเป็นเพราะเห็นทุกคนต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันรวมถึงปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าจึงเบาใจว่าจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังกลับจากพรรคมารป๋ายหลงเมื่อวาน ข้าคิดจะนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่วายโดนฟูจวินลากไปห้องหนังสือให้ช่วยฝนหมึกให้ในตอนนั้นเองที่ข้าทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการคนฝนหมึก เขาแค่อยากให้ข้านั่งอยู่ใกล้ ๆช่วงค่ำพวกเราทานอาหารกับประมุขเฮยหลางที่ข้าเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วท่านพ่อกล่าวว่าพอได้ทานอาหารร่วมกันสามคน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าแช่มชื่นของท่านเป็นตัวแสดงความสุขได้อย่างชัดเจนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน…ข้าปรับตัวกับที่นี่ได้แล้ว!ฟูจวินทราบว่าข้าชอบดอกไม้จึงลงมือปลูกดอกไม้ให้ข้าด้วยตนเองดอกไม้ที่ลงมือปลูกโดยเขาแม้จะไม่งามเท่าคนสวนปลูก แต่ข้าเห็นถึงความตั้งใจนั้นและรักเขาเพิ่มอีกนิดหนึ่งวันหนึ่งข้ากำลังนั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้ฟูจวินกับอาชิ่ง สาวใช้ประจำพรรคก็เดินเข้ามาในศาลา“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ”ข้าพยักหน้าให้นางรายงานได้“หลางผิงกูเหนียงมา ใ
๕ต่างคนต่างตามใจกันข้าจำคำพูดที่ฟูจวินกล่าวไว้วันแต่งงานได้ เขาบอกว่าสาบานเป็นพี่น้องกับลี่หลานแล้วตอนนั้นข้ารู้สึกทะแม่ง คิดอยู่นานว่าลี่หลานหรือจะยอมญาติดีกับเขาโดยง่ายแล้ววันนี้ข้อสงสัยของข้าก็ได้รับการพิสูจน์!ลี่หลานยังคงมองฟูจวินเป็นศัตรูที่แย่งความรักกับพี่สาวเขาไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่มีสิทธิ์ห้ามฟูจวินเข้าใกล้ข้าอย่างกาลก่อน“...เจี่ยเจีย อาเตียนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้วขอรับ”ลี่หลานผายมือเชิญข้าไปยังห้องรับประทานอาหารในเรือนรับแขก เขาชายตามองฟูจวินเพียงครู่เท่านั้นก็ตวัดสายตามามองข้าไม่มองฟูจวินอีกเลย!“เชิญเจี่ยเจียอย่างเดียวหรือ ไม่เชิญเจี่ยฟุหรือ”ฟูจวินถามลี่หลานยิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาสอดเอวข้าแล้วดึงเข้าใกล้กว่าเดิมลี่หลานแสดงท่าทางหวงผ่านแววตา ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเป็นเด็ก ๆ เช่นเคยเห็นเขาควบคุมตัวเองได้ดีแบบนี้ข้าก็ดีใจ!“เชิญเจี่ยฟุทางนี้”ข้าส่งยิ้มให้ลี่หลานทันทีเมื่อเขาเรียกฟูจวินเช่นนี้คำกล่าวเมื่อครู่ลี่หลานย่อมฝืนใจ แต่เมื่อเห็นข้าส่งยิ้มดีใจให้ ที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็ไม่ดูฝืนอีกต่อไป“ไปทานข้าวกันขอรับเจี่ยเจี่ย เจี่ยฟุ”“ไป”ถือเป็นก้าวที่ดี ลี่หลานรั