แสร้งเป็นคนดีอะไรตอนนี้
“ป๋อเหวิน เจ้ารอข้าตรงนี้กับเสวียนหนี่ก่อน ข้ามีธุระต้องไปคุยกับแม่ชีหยูถง”
“ขอรับฮูหยิน เชิญท่านฮูหยินคุยธุระตามสบาย ข้าจะรออยู่ที่นี่กับเสวียนหนี่”
ป๋อเหวินรับปากแล้วหันไปยิ้มให้เสวียนหนี่อย่างรู้ใจกัน เพราะต่างก็รู้กันดีว่าเมื่อลับตาท่านแม่ไปแล้ว เสวียนหนี่จะได้รับอนุญาตให้ทานขนมได้มากเท่าที่นางพอใจ
พี่ป๋อเหวินไม่เคยขัดใจนางเลยสักครั้ง ไม่ว่านางจะร้องขอสิ่งใดหลังจากที่ลงเขาไปแล้ว เขาก็จะจัดการหามาให้นางในครั้งถัดไป
สองพี่น้องต่างมารดา หนึ่งคนสื่อสารด้วยวาจาอีกคนสื่อสารด้วยภาษามือ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าห้วงเวลาในวัยเยาว์ของทั้งคู่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง...
ซินหยางที่แยกตัวออกมาจากทั้งสอง ได้เดินเข้ามาหาแม่ชีหยูถงในห้องนั่งสมาธิ นางเห็นแม่ชีกำลังนั่งอยู่หน้าเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ นางจึงเข้าไปคุกเข่าสักการะเทวรูปด้วยจิตศรัทธา ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานอยู่นาน
ความไม่สบายใจใดเล่าจะเท่าความห่วงหาอาลัยอาวรณ์ ยิ่งเห็นฮูหยินตระกูลฉู่อธิษฐานนานกว่าทุกครั้งที่เคยมา แม่ชีหยูถงรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่สมควรแก่เวลาแล้ว...
ครั้นเมื่อนางอธิษฐานเสร็จ แม่ชีหยูถงที่ได้เฝ้ามองทุกกิริยาด้วยแววตาสงบเรียบเฉยแล้วกล่าวว่า
“ถึงเวลาแล้วหรือ” แม่ชีเอ่ยถามด้วยแววตาสงบนิ่ง
“เจ้าค่ะ” นางตอบรับเสียงแผ่ว
“จะให้ส่งนางไปที่ใด”
“ที่ใดก็ได้...ขอเพียงให้นางปลอดภัยและมีชีวิตยืนยาว” นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
แม่ชีเงียบไปสักพัก จึงเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง “ฮูหยินคิดดีแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“มันจำเป็นเจ้าค่ะ ตอนนี้ไม่มีใครสนใจการมีอยู่ของนาง แต่หากเมื่อใดที่ฉู่มู่เฉินกับท่านอ๋องเริ่มลงมือ ผลจะออกมาเป็นเช่นไรข้าเองก็มิอาจคาดเดาได้ และหากฮ่องเต้สืบทราบแน่ชัดว่ามู่เฉินยังมีบุตรสาวอีกคน หัวใจของข้าคงสลายสิ้นไปพร้อมกับลมหายใจ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ในใจรู้สึกเป็นห่วงบุตรสาวยิ่งนัก
“ท่านแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ ว่าจะไม่ไปกับนาง” แม่ชีพยายามโน้มน้าวใจอีกฝ่าย แต่ซินหยางกลับส่ายศีรษะ นางคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว
“ข้าแน่ใจแล้ว หากข้าติดตามไปด้วย เกรงว่าทั้งข้าและนางคงถูกพลิกแผ่นดินเพื่อตามล่า ขอแม่ชีทำตามความประสงค์ครั้งสุดท้ายของข้าด้วยเถิด ข้าขอขอบคุณแม่ชีที่ช่วยชุบเลี้ยงเสวียนหนี่มาเป็นอย่างดี เสียดายที่เสวียนหนี่กับข้ายังไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณ”
แม่ชีหยูถงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “อย่าเป็นห่วงไปเลย ข้าขออวยพรให้ความปรารถนาของฮูหยินสัมฤทธิ์ผล ว่าแต่จะให้ส่งนางออกจากแคว้นเถียนเมื่อใด”
“วันรุ่งขึ้นเลยเจ้าค่ะ” นางตอบกลับ
เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ซินหยางเดินกลับมาหาเสวียนหนี่และป๋อเหวิน นางหยุดมองสองพี่น้องสื่อสารกันแล้วนึกสงสารป๋อเหวินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หลังผ่านคืนนี้ไปนางเองก็ไม่รู้ว่าทุกคนในจวนตระกูลฉู่จะมีชะตากรรมอย่างไร นางก็ได้แต่เก็บซ่อนสิ่งที่อยู่ในใจเอาไว้แล้วก้าวเดินต่อด้วยใจที่แน่วแน่
เมื่อคืนนี้อ๋องซีฮั่นมาหามู่เฉินที่จวน ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น นางบังเอิญไปได้ยินเรื่องบางอย่าง ที่ไม่สมควรจะได้ยิน ใจความสำคัญของการหารือ เหมือนกับว่าท่านอ๋องได้ออกคำสั่งให้ฉู่มู่เฉิน จัดการเกณฑ์ไพร่พลเพื่อทำการช่วงชิงบัลลังก์ เพราะจากเดิมที่คิดว่าอยากเป็นเพียงแค่มือชักใยที่อยู่เบื้องหลังก็พอใจแล้ว แต่ทว่าตอนนี้เขาเริ่มไม่อยากเป็นเพียงแค่คนคอยเชิดหุ่น จึงมีความคิดว่าหากทำการกบฏชนะ แล้วได้บัลลังก์มาครอบครอง ต่อให้มีผู้ใดคิดต่อต้านเพียงแค่จับตัวพวกมันออกมาเผาทั้งเป็นต่อหน้าปวงประชาอย่างโหดเหี้ยม พวกที่คิดต่อต้านจะได้รู้สึกหวาดกลัว และไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้านอีก
ส่วนเหตุผลที่ต้องรีบโค่นล้มฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทิ้งทั้งที่อีกฝ่ายเพิ่งมีอายุได้ยี่สิบชันษา เป็นเพราะฮ่องเต้น้อยในวันนั้น บัดนี้กลับเติบโตขึ้นและเริ่มไม่ยอมทำตามคำสั่ง ซีฮันอ๋องจึงคิดว่าไม้อ่อนนั้นดัดง่าย ส่วนไม้แก่ไม่สมควรเอามาดัดให้เสียเวลา มิหนำซ้ำฮ่องเต้ยังแอบซ่องสุมกำลังของตนเองเอาไว้อย่างลับ ๆ พอท่านอ๋องทราบเรื่องนี้เข้าทำให้รู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงคิดหาโอกาสเดินหมากก่อน ในขณะที่กองกำลังลับของฮ่องเต้ยังไม่แข็งแกร่งพอ
ที่จวนตระกูลฉู่
ย่างเข้าสู่วัยสิบแปดปี ซูหนี่เติบโตขึ้นมาด้วยรูปลักษณ์สง่างาม แต่ทว่าวาจายอกย้อนของนางนั้น กลับทำให้สูญสิ้นความงดงามไปโดยปริยาย ถึงรูปลักษณ์ภายนอกนั้นจะงดงามประดุจนางเซียน แต่ทุกคำที่พูดออกมาล้วนลดคุณค่าของตัวนางเอง บุตรีของมู่เฉินเติบโตมาแล้วหน้าตาไม่แตกต่างกันมานัก อีกทั้งอายุยังห่างกันเพียงหนึ่งปีจึงละม้ายคล้ายคลึงกันมาก ผิดแผกกันไปคือด้านนิสัยใจคอ ซูหนี่เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูง ทำให้เห็นว่านางถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร เติบโตมาเป็นอย่างไร ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา และมักจะชอบวางตัวสูงส่งกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ
“ไปอารามบนเขาต้าซานกับฮูหยินมาอีกแล้วสินะ” ทันทีที่ก้าวเข้าประตูจวนมา น้ำเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาฉู่ป๋อเหวินชะงักไปเล็กน้อย ครั้นเมื่อเห็นว่าเป็นน้องสาว เขาจึงเดินเข้าไปคุยกับนาง หากแต่ฉู่ซูหนี่กลับคลี่พัดจีบในมือเชิดใบหน้ามองพี่ชายด้วยหางตาแล้วถามต่อเสียงแข็งกระด้าง
“ข้าถามว่าท่านพี่ขึ้นเขาต้าซานไปหาเสวียนหนี่ใช่หรือไม่”
“ใช่! ทำไมงั้นรึ” นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เป็นอย่างไรบ้างล่ะ! น้องสาวสุดที่รักของท่านพี่”
“เจ้าจะมาพูดจาถากถางข้าเพื่ออะไร ไม่ว่าเจ้าหรือนางก็ล้วนแล้วแต่เป็นน้องสาวข้าทั้งคู่” ชายหนุ่มชักเริ่มหงุดหงิด ไม่รู้ว่าทำไมน้องสาวของตนถึงได้จงเกลียดจงชังอีกฝ่ายนัก
“หลายปีมานี้ข้ารู้ว่าท่านพี่รู้สึกผิด แต่จะมาแสร้งเป็นคนดีเอาตอนนี้ไม่คิดว่ามันสายไปหน่อยหรือ” ซูหนี่เองก็รู้สึกไม่พอใจพี่ชายเช่นกัน
“ก็ยังดีกว่าเจ้าที่ไม่รู้สึกผิดอะไร ตอนที่ยังเป็นเด็กข้าคิดว่าเจ้าแยกดีชั่วไม่ออกก็เลยไม่คิดกล่าวโทษเจ้าเลย แต่ยามนี้เจ้าได้เติบโตจนรู้ความกว่าเมื่อยามเยาว์วัย แต่ก็น่าแปลกนักที่ยังแยกดีชั่วไม่ออกอยู่อีก”
“ท่านพี่!”
“อย่ามาขึ้นเสียงกับข้า” ป๋อเหวินคิดว่าตอนนี้ตัวเองไม่ใช่เด็กเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
“หึ! หากคิดว่าข้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เสวียนหนี่ต้องเป็นเช่นนั้นท่านพี่ก็จงโทษตัวเองให้มาก ถูกต้องที่ยามนั้นข้ายังเยาว์วัย แต่ท่านพี่เองก็แก่กว่าข้าถึงสองปีเหตุใดโง่เขลาหลงเชื่อคำพูดข้าเล่า ท่านควรมีสติคิดให้ได้มากกว่าข้ามิใช่หรือ”
“...”
ป๋อเหวินถึงกับพูดไม่ออก ยามนั้นเขาคือคนที่โตสุดในบรรดาพี่น้องทั้งสามแต่กลับทำตัวเป็นที่พึ่งให้เสวียนหนี่ไม่ได้เลย เพราะความขี้ขลาดของเขาจึงทำให้ตัดสินใจพลาดไป หากย้อนเวลากลับไปในวันนั้นได้ ถ้าเขานำเรื่องไปบอกมู่เฉินเร็วกว่านั้นมู่เฉินก็อาจตามเจอตัวเสวียนหนี่ได้ทันท่วงทีก่อนที่นางจะถูกแมงมุมสือยี่เหยียนกัด
“ถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ไปให้พ้นหน้าข้า”
“หึ ที่ไล่ข้าไปเพราะข้าคงพูดได้แทงใจดำท่านพี่มากละสิ”
ป๋อเหวินเดินจากไปแล้ว ซูหนี่มองตามหลังแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจที่ยั่วโมโหพี่ชายได้สำเร็จ ในบางครั้งนางก็อดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดเขาถึงไม่เกิดเป็นพี่น้องร่วมมารดากับเสวียนหนี่ให้รู้แล้วรู้รอดไป ในเมื่อท่านพี่กับเสวียนหนี่ต่างรักใคร่กลมเกลียวกันดี ครั้นพอย้อนคิดอีกทีท่านพี่อาจจะอาศัยครรภ์ของท่านแม่มาเกิด จึงนับว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะหลังจากที่เขาเกิดมาท่านแม่ก็เลยได้รับความดีความชอบจากท่านพ่ออย่างเห็นได้ชัด และท่านแม่ก็ยังให้กำเนิดนางที่สามารถเป็นหน้าเป็นตาให้อีกคนได้แต่งเข้าเป็นสะใภ้ของจวนอ๋อง ส่วนท่านฮูหยินใหญ่มีเพียงแค่เสวียนหนี่ บุตรสาวที่พูดไม่ได้แถมยังไร้ประโยชน์อีก
ในช่วงเย็นย่ำเสวียนหนี่เห็นแม่ชีลูกวัดกำลังขนข้าวของขึ้นเกวียน มีจำพวกอาหารแห้งและผ้า รวมไปถึงเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จำเป็นเสวียนหนี่จึงหยุดมองด้วยความสงสัย ครั้นจะเดินเข้าไปถามให้แน่ชัดเสียงของแม่ชีหยูถงก็หยุดนางเอาไว้ก่อน
“คุณหนูฉู่”
เสวียนหนี่หันกลับมามองแม่ชีพลางก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อมก่อนจะทำท่าทางสื่อสารด้วยภาษามือ
‘ของพวกนี้จะขนขึ้นเกวียนไปช่วยผู้ประสบภัยหรือเจ้าคะ’
“ถูกต้อง ทางทิศตะวันออกเกิดน้ำป่าไหลหลาก ผู้คนขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า พรุ่งนี้ยามเฉินข้าจะให้คุณหนูฉู่นำของที่ชาวบ้านบริจาคมาไปช่วยผู้ประสบภัย”
‘จริงหรือเจ้าคะ ข้าดีใจมากเลยเจ้าค่ะ’
หญิงสาวแย้มยิ้มและพยักหน้ารับอย่างดีใจเพราะเป็นครั้งแรกที่นางจะได้รับอนุญาตให้ออกจากอารามได้ โดยไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนี้เป็นอุบายลวงเพื่อพานางหลบหนีภัยอันตรายไปมีชีวิตใหม่ในอีกสถานที่หนึ่ง แม่ชียิ้มตอบอย่างโล่งใจ ในเมื่อนางตกปากรับคำง่ายดายขนาดนี้ก็คงไม่มีอะไรให้ต้องห่วงอีก เสวียนหนี่แทบอดทนรอให้ถึงรุ่งเช้าไม่ไหว นางนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืนเนื่องจากตื่นเต้นดีใจมากเกินไปอยากรีบเอาของไปให้ผู้ประสบภัยอย่างที่แม่ชีหยูถงบอกไว้ ระหว่างใกล้รุ่งสาง เสวียน
หนี่ได้จินตนาการถึงทิวทัศน์ภายนอกไว้อย่างสวยงาม จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นนางจึงสะดุ้งตื่นจากภวังค์“คุณหนูฉู่! ตื่นหรือยังคุณหนูฉู่”
เสวียนหนี่ได้ยินเสียงเรียกของแม่ชีหยูถงจึงรีบมาเปิดประตูให้ เมื่อวานนี้นางได้ยินแม่ชีบอกว่าจะให้นางเอาของไปให้ผู้ประสบภัยยามเฉิน แต่ตอนนี้เพิ่งจะเข้ายามเหม่า ทำไมแม่ชีหยูถงถึงมาเคาะประตูปลุกในเวลานี้
“ไปเถิด ได้เวลาแล้ว”
‘ตอนนี้เลยหรือเจ้าคะ เมื่อวานนี้แม่ชีบอกว่าจะให้ข้าไปยามเฉิน’ นางทำมือเอ่ยถาม
“ไปตอนนี้เลย”
‘เช่นนั้นข้าขอไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อน’
“ไม่ ไม่มีเวลาขนาดนั้น เร็วเข้า!” แม่ชีมีท่าทีร้อนรน
ผู้อาวุโสแห่งอารามต้าซานทำท่าทางรีบร้อนผิดปกติ เสวียนหนี่อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดแม่ชีถึงรีบร้อนนักแต่ก็ถูกจูงมือมาที่เกวียนกึ่งเดินกึ่งวิ่ง พอเห็นทุกอย่างเรียบร้อยดีแม่ชีก็รีบบอกให้นางขึ้นเกวียนไปโดยเร็ว จนกระทั่งเกวียนเคลื่อนออกจากอารามไปตามเส้นทางขรุขระที่เป็นเส้นทางสำหรับลงจากเขา ในตอนรุ่งสางพระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นพสุธา ท้องฟ้ายามนี้เริ่มมีแสงสลัวพอจะมองเห็นเงาเลือนรางของทหารกลุ่มหนึ่ง โดยหนึ่งในทหารกลุ่มนั้นที่คาดว่าจะเป็นผู้นำชูดาบขึ้นเหนือศีรษะโห่ร้องปลุกใจพวกพ้องเสียงดัง จากนั้นทหารที่อยู่แถวหลังก็ตะโกนตามอย่างฮึกเหิม
ปราบกบฏซีฮันคืนบัลลังก์ให้ฮ่องเต้!
ปราบกบฏซีฮันคืนบัลลังก์ให้ฮ่องเต้!
ปราบกบฏซีฮันคืนบัลลังก์ให้ฮ่องเต้!
จดหมายจากทางไกล (จบ)“ฮูหยินเจ้าคะเมื่อเช้านี้คนเฝ้าประตูหุบเขานำจดหมายและของมาฝากให้ฮูหยินเจ้าค่ะ บอกว่าได้มาจากขบวนพ่อค้าผ่านทาง”สาวใช้วางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ข้างจดหมายนั้นยังมีกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเสวียนหนี่เปิดกล่องไม้ดูข้างในพบว่าเป็นผ้าบุหนาพันห่อบางสิ่งไว้อย่างดี สัมผัสยังชุ่มชื้นคล้ายกับว่ามีการพรมน้ำไว้ตลอดเวลา เมื่อนางเปิดผ้าห่อออกเห็นว่าสิ่งของข้างในคือกิ่งพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่งจึงรีบคลี่จดหมายออกดู เนื้อความข้างในจดหมายได้เขียนบรรยายไว้ว่า…ข้าถึงแคว้นฉินอย่างปลอดภัยแล้วระหว่างทางมาแคว้นฉินข้าได้รู้จักกับพ่อค้าผู้หนึ่ง เขามีโรงย้อมอยู่ในเขตอำเภอเล็ก ๆ และได้รับข้าเข้าทำงานที่โรงย้อม หวังว่าจากนี้ชีวิตของข้าจะพบกับความสงบสุขอย่างที่เจ้าเคยกล่าวไว้ สิ่งที่ข้าฝากมาในกล่องคือกิ่งพันธุ์ฝูเถาพืชชนิดนี้ที่แคว้นฉินมีราคาแพงมาก เจ้าชอบเพาะปลูก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะพึงพอใจข้าซื้อกิ
ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน“ข้าหวังเพียงว่าจากนี้ไปเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีและมีความสุข ไม่ใช่แค่เจ้าที่คิดว่าข้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวแต่ข้าเองก็คิดอย่างนั้น…ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข”คำพูดคำจาของถานถานฟังแล้วต่างจากเดิมมาก เขาไม่ใช่ตาแก่ไร้สาระของนางอีกต่อไปแล้วเขาพูดสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่นก็เป็นเช่นกันแต่น้อยครั้งนักที่ถานถานจะเอ่ยวาจาได้ตรงกับใจอย่างนี้ส่วนมากเขามักจะเฉไฉและวางท่าคิดอย่างไรก็ไม่เคยแสดงออกอย่างเปิดเผย"แล้วเจ้าเด็กวุ่นวายนั่น""หมายถึงเพียนเพียนน่ะหรือเจ้าคะ อย่าห่วงเลย ตอนนี้ได้คุณหนูฟางจิงดูแลคุณหนูทั้งสอนหนังสือและเรื่องต่าง ๆ ให้นางอย่างดี เพียนเพียนจะต้องเติบโตได้ดีแน่เอาไว้ว่าง ๆ ข้าจะพานางไปเยี่ยมเยือนท่านที่ไร่นะเจ้าคะ" "อืมงั้นข้าไปละนะ ข้างในนี้ต้องเป็นของดีแน่ ๆ คิดแล้วน้ำลายไหล"เขาชูถุงผ้าขึ้นพลางหัวเราะร่า
คำขอร้องของหลีเหว่ยไม่จำเป็นต้องหลบหลังพุ่มไม้อีกต่อไปแล้วครั้งนี้เขาเดินอย่างองอาจเข้าไปในเรือน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าฟางจิงจึงได้หันกลับมามองยังต้นเสียงเห็นว่าคนที่มาคือหลีเหว่ยนางก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างมากวันสำคัญเช่นนี้เขาควรจะเฉลิมฉลองอยู่ที่เรือนหลักกับคนอื่น ๆ นานแล้วที่นางและเขาไม่ได้เจอกันเลย ครั้งล่าสุดเห็นจะเป็นตอนที่ปิดล้อมจับห่าวอู๋ แต่ก็แค่เห็นผ่านตาเพียงเท่านั้นไม่ได้มีการพูดคุยกันสักครึ่งคำก่อนที่ฟางจิงจะถูกรถม้าทับเขาและนางมีความสนิทสนมกันที่สุดแทบจะเรียกได้ว่าสนิมเทียบเท่าผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆหลังจากที่อี้เฉินถูกส่งให้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาตี้จิวแล้วหลีเหว่ยก็ติดตามไปเป็นสหายร่วมเรียนฟางจิงและเขาก็ค่อย ๆ ห่างเหินกันไปตามกาลเวลาพอสำเร็จการศึกษาหวนคืนหุบเขานางก็ตีตัวออกหากเขาไปเรื่อย ๆไม่สนิทสนมอย่างเดิมแล้วจนปัจจุบันเหมือนคนเคยคุ้นที่อาศัยร่วมจวนเดียวกัน“นานมาแล้วที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน วัน
คำตอบของอี้เฉิน“ไปหาเจี่ยนถานถานมาเป็นอย่างไรบ้าง" อี้เฉินถามคำพูดของพ่อค้าสองคนนั้นยังก้องอยู่ในหู เสวียนหนี่จึงยังไม่ทันได้ฟังที่เขาพูด นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นบะหมี่วนอยู่ในชาม พอเห็นว่าอีกคนไม่ตอบคำถามเขาจึงเรียกชื่อนางซ้ำให้ดังขึ้น“เสวียนหนี่”“เจ้าคะ”หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน“ไม่หิวหรือ"“อ๋อข้ายังไม่หิวเจ้าค่ะ”“อย่างนี้นี่เองเช่นนั้นเรากลับจวนกันเถอะ”กลับถึงจวนตระกูลหงก็ใกล้ตะวันตกดิน ที่ศาลาเห็นหลีเหว่ยและโม่โฉวกำลังนั่งเล่นหมากล้อม พวกเขาได้ลุกขึ้นยืนมองมาทางเสวียนหนี่และอี้เฉินด้วยแววตาสงสัยคาดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เห็นทั้งคู่เดินเคียงกันมา"กลับมาแล้วหรือขอรับ"หลีเหว่ยทักทาย ประมุขหนุ่มมองตอบเพียงเท่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือน“เจ้ายังไม่กลับเรือนกุ้ยเ
เกิดอะไรกับห่าวอู๋สีหน้าของฟางจิงดูสลดลงโม่โฉวบอกกับอี้เฉินว่าความพิการทางร่างกายของนางไม่ได้หนักหนา สิ่งที่ทำให้นางยังไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจไม่ว่าพี่ชายจะเสาะแสวงหาแพทย์ที่เก่งกาจเพียงใดมารักษาก็ไม่เป็นผลฟางจิงไม่ให้ความร่วมมือนางหวาดกลัวที่จะลุกขึ้นเดินอีกครั้งเสียงเย้ยหยันของผู้คนในอดีตที่ผ่านมาทำให้นางไม่กล้าลุกขึ้นสู้นางกลัวความผิดพลาดกลัวว่าหากลุกขึ้นมาใหม่แล้วต้องล้มลงไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะต้องอับอาย"รักษาเถิดกลัวไปไยพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ เจ้าเอง""...ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้ก็พอใจดีอยู่แล้ววันนี้ข้ารู้สึกเวียนหัวขอตัวพักเอาแรงสักงีบ"ทุกครั้งที่พูดเรื่องบำบัดรักษาฟางจิงก็มักจะเลี่ยงตลอดอี้เฉินเองก็อ่อนใจเต็มทีเขามองตามร่างของน้องสาวที่เคลื่อนรถเข็นเข้าไปในเรือนแล้วถอนหายใจกลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าในระหว่างที่เขามองตามฟางจิงอยู่นั้นเสวียนหนี่เดินมาทางด้านหลังเขาตั
ส่งซูหนี่“พี่สาวเจ้ามาลาข้าแล้ว”เมื่อวานนี้ซูหนี่ได้เข้ามาหาเขา แล้วก็แสดงเจตนาว่าอยากออกจากหุบเขา ดังนั้นอี้เฉินจึงพูดขึ้นเพื่ออยากรู้ว่าเสวียนหนี่ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง พอได้ฟังนางแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที“ข้าไม่ได้ไล่นางไปนะเจ้าคะ แล้วก็ไม่ได้ตีนางด้วย”“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าไล่หรือตีนางเสียหน่อย”ท่าทางรีบร้อนแก้ต่างให้ตนเองของนางทำให้ดูลุกลนจนเกินไปอี้เฉินทำหน้าเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กแล้วพูดต่อ“แต่ถึงเจ้าไม่ไล่ข้าก็ไล่นางออกไปอยู่ดี”หญิงสาวพูดไม่ออกเดิมทีอี้เฉินก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่แล้วยิ่งเป็นซูหนี่ที่เคยอยู่ฝ่ายเดียวกันกับห่าวอู๋มาก่อนก็ไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะไว้ไมตรีด้วยความที่ชายหนุ่มมองคนขาดตั้งแต่แรกเริ่มจึงไม่ได้ให้ความเชื่ออกเชื่อใจใครโดยง่ายหากไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวังเขาเชื่ออย่างนั้นเป็นมิตรได้วันหนึ่งก็อาจเปลี่ยนไปเป็นศัตรู หรือบางรายเป็นศ