เข้าสู่ระบบ"ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะสำหรับคุณลีว่างเสมออยู่แล้ว" " ถ้างั้นเย็นนี้เจอกันที่เดิมนะ" " ค่ะแล้วเจอกันนะคะ" เธอส่งจูบผ่านสายมา "เอ่อ หมิงเทียนคะ พอดีว่าผู้จัดการของลีโทรมานะคะลีขอตัววางสายไปก่อนนะคะ" จากนั้นเธอก็ตัดการสนทนาไป ขณะที่จ้าวหมิงเทียน ยังคงพารถยนต์คันหรูมุ่งหน้าไปตามถนน โดยมีจุดหมายปลายทาง เป็นอาคารสำนักงานกลางของธุรกิจโรงแรมตระกูลจ้าว ขณะเดียวกันลู่เหยียนชิงกำลังจะออกไปทำงานที่บ่อนคาสิโนของตระกูลลู่ ขณะกำลังสวมรองเท้าคู่โปรดอยู่นั้น โทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงเรียกเข้าขึ้น คนที่โทรมาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่เขาส่งไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของจ้าวหมิงเทียนนั่นเอง " เป็นยังไงบ้าง" เขาถามเรียบๆ รู้หรอกว่าจ้าวหมิงเทียน ออกไปหาป๊ากับม๊า ที่คฤหาสน์ตระกูลจ้าว " ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับคุณชาย ตอนนี้คุณชายจ้าว กำลังขับรถ เข้าออฟฟิศครับ" "ดี ฉันอยากรู้ว่า หลังเลิกงานเขาจะไปที่ไหนต่อ ตามไป แล้วส่งข่าวบอกฉันเรื่อยๆด้วยล่ะ" "ครับ คุณชาย" วางสายจากคนของเขาแล้ว ลู่เหยิยนชิงก็อดยิ้มน้อยๆ ให้ตัวเองไม่ได้ อยากรู้จริงๆ เลยว่าจ้าวหมิงเทียนจะทำหน้ายังไง กับการเซอร์ไพรส์เพื่อเอาใจเขา ที่กำลังจะเ
“เสี่ยวหมิงเทียน อย่ามัวทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เลย มาๆ ดื่มชากับแม่ก่อนเถอะ เสี่ยวหลี เอาถ้วยชาใหม่มา ฉันจะรินชาให้ลูกชายฉัน” ฮูหยินตระกูลจ้าวหันไปสั่งคนรับใช้ของเธอ “ค่ะ นายหญิง” จากนั้นคนรับใช้วัยกลางคนก็เดินหายเข้าไปในครัว ครู่เดียวก็กลับออกมาพร้อมกับถ้วยชาใหม่ลายดอกหลันฮวา ก่อนจ้าวจื่อเยียนจะรับถ้วยชามารินชาผู่เอ๋อร์ร้อนควันกรุ่นมาวางลงตรงหน้าลูกชายคนโต “แล้วนี่ อายวน อาถิง แล้วก็อาฟานจะกลับฮ่องกงเมื่อไหร่ครับ” เขาถามไปอย่างนั้นเอง ที่จริงเขาไม่ใช่คนใยดีอะไรน้องๆ ทั้งสามเลยสักนิด คงเพราะอายุที่ห่างกันนานถึงสิบกว่าปี เขาจึงไม่ได้สนิทสนมกับน้องๆ ทั้งสามเลย ทุกครั้งเมื่อมาที่นี่ก็ทักทาย พูดคุยไปตามความจำเป็นเท่านั้น อีกนัยหนึ่งคืออยากจะหาเรื่องคุยกับสองบุพการีเสียมากกว่า “เดือนหน้าอายวนกับอาถิงก็เรียนจบแล้วล่ะลูก เห็นว่ากำลังพรีเซนต์โปรเจคจบอยู่ ส่วนอาฟานก็กำลังฝึกงาน อีกสองเดือนอายวนกับอาถิงก็จะกลับมาแล้วล่ะ ต่อไปลูกก็จะไม่ต้องเหนื่อยคนเดียวแล้วล่ะนะ มีน้องๆ เข้ามาช่วยดูแลโรงแรม จะได้มีเวลาให้อลิศเต็มที่ ม๊ากับป๊าจะได้อุ้มหลานซะที” เฮอะ ที่แท้ม๊าก็ห่วงเรื่องจะได้อุ้มหลาน
ใครจะหาว่าเขาคลั่งรักก็ช่างเถอะ ก็ใจเขามันยกให้จ้าวหมิงเทียนตั้งแต่แรกเจอแล้วนี่นา โดยที่เขาคงจำเด็กม. ต้นคนนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ คนที่จ้าวหมิงเทียนเคยเป็นฮีโร่ เข้ามาช่วยลู่เหยียนชิงเอาไว้ ตอนถูกนักเรียนอันธพาลรุ่นพี่รุมรังแก “เฮ้ย พวกแกทำอะไร ไม่มีอะไรทำแล้วรึไง ถึงได้รังแกเด็กตัวเล็กขนาดนี้ได้น่ะ” “คะ คุณชายจ้าว พวกเราเปล่ารังแกเด็กนะครับ ก็แค่ล้อเล่นเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง อีกอย่างไอ้หน้าอ่อนนี่ดูเหยาะแหยะจะตาย มันไม่กล้าทำอะไรพวกผมหรอกครับ” หนึ่งในนักเรียนอันธพาลรุ่นพี่เอ่ยกับจ้าวหมิงเทียนด้วยท่าทีพินอบพิเทา มองปราดเดียว ลู่เหยียนชิงก็รู้ว่า จ้าวหมิงเทียนคงจะเป็นขาใหญ่ของโรงเรียนนี้อย่างแน่นอน “ไม่ต้องพูดมากใสหัวไปซะ แล้วอย่ามารังแกเด็กคนนี้อีก ไม่อย่างนั้นพวกแกเจอดีแน่” จ้าวหมิงเทียนขู่เสียงเข้ม กระทั่งนักเรียนอันธพาลกลุ่มนั้นเดินลับตาไปแล้ว เขาจึงหันมาจ้องหน้าเด็กม.ต้น หน้าหวานผิวพรรณขาวเนียนอย่างกับผู้หญิงตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยนลง“ขะ ขอบคุณครับที่พี่ช่วยผมเอาไว้ พี่ชื่ออะไรครับ เผื่อว่าวันหน้าผมจะได้ตอบแทนพี่บ้าง”“ตัวเล็กแค่นี้จะตอบแทนอะไรฉันได้ แค่นายเอาตัวรอดได้โดย
“หยิบโทรศัพท์ให้หน่อย” “ตอกเข้ามาอีกก่อนสิ แล้วจะหยิบให้” ลู่เหยียนชิงยิ้มใส่ตาเขา เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงจะรีบถอนกายออกไป แล้วไปรับโทรศัพท์ดีๆ ไม่คิดเลยว่าเขาจะตอกอัดเข้ามาแรงๆ อีกหนจนคนร้องขอทั้งจุกทั้งสยิวซ่านในคราวเดียวกัน แล้วเอื้อมมือสั่นระริกคว้าโทรศัพท์ส่งให้จ้าวหมิงเทียน“เหวยป๊า” จ้าวหมิงเทียนพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้น้ำเสียงเอ่ยออกไปนั้นสั่น จากแรงบีบรัดเป็นจังหวะตรงท่อนเนื้อจนแทบขาดออกจากกัน “อาหมิงเทียน นี่ใจคอแกจะไม่กลับมาหาฉันกับแม่แกเลยใช่ไหม หา” “ผมก็ว่าจะกลับวันนี้แหละป๊า” เขากัดกรามแน่น เกือบสูดปากใส่โทรศัพท์แล้ว เมื่อลู่เหยียนชิงก่อกวน ด้วยการเอื้อมมือมาลูบไล้พวงแฝดของเขาเบาๆ อย่างย่ามใจแบบนี้ “รีบมาละกัน ฉันล่ะขี้เกียจฟังแม่แกถามถึงแกแล้วรู้ไหม”“เข้าใจแล้วน่าปะ ป๊า” ลมหายใจเขาถึงกับสะดุด ยามขยับถอยออกมา ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายสวนสะโพกถอยหลังเข้าใส่อย่างไม่ยอมรามือ “นี่แกทำอะไรอยู่”“เปล่า ผมกำลังเข้าห้องน้ำอยู่น่ะป๊า แค่นี้ก่อนละกันนะ” “เออ แล้ววันก่อนพาอลิศไปดินเนอร์เป็นยังไงบ้างล่ะ” ฟังเอาเถอะ ทำไมป๊าถึงไม่ยอมวางสายซะทีนะ ทั้งที่เขาก็บอกว่ากำลังเข้าห้องน้ำ นี่เ
แต่ใครจะรู้ล่ะว่า คำว่า “ต่ออีกรอบ” สำหรับทั้งเธอและเขากลับไม่มีอยู่จริงเลย ทุกอย่างระหว่างกัน กำลังเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น เพราะหลังจากตกลงต่อรอบกัน เชนก็ประคองเธอขึ้นมานั่งสบตากัน สองกายเปล่าเปลือยยังคงแนบชิด ต่างคนต่างโน้มดวงหน้าเข้าหา ประกบกลีบปากเข้าเสียดสี ก่อนเปิดปากส่งเรียวลิ้นหยุ่นนุ่มตวัดรัดพันพัว ไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าจะเกิดเสียงเฉอะแฉะ เช่นเดียวกับกายแกร่งเองก็ผงาดขึ้นมาอีกหน ก่อนถูกสอดแทรกเข้าไปกระทุ้งโพรงเนื้อนุ่มเป็นจังหวะสม่ำเสมอ จากระยะที่สองหนุ่มสาวนั่งประสานร่างกัน แลเห็นส่วนกายแกร่งแข็งขืนผลุบเข้าออกในกายเธอ และที่ดีกว่านั้นก็คือ เขายังไม่ได้สวมสิ่งป้องกันเหมือนเมื่อตอนแรก พาให้แท่งเนื้อเสียดสีกับโพรงเนื้อนุ่มร้อนระอุโดยตรง ไร้ซึ่งพันธนาการขวางกั้นใด “อา ผมใส่ถุงก่อนดีกว่า” “อึม” เธอครางรับ ทั้งที่นึกเสียดาย แต่ก็ไม่ได้มีเวลาโต้แย้งอะไร เมื่อเขาผละออกไปเพียงครู่เดียว ก็กลับมาอ้อนเธอต่อ“ใส่ถุงให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ” “ได้สิ” อลิศรับเครื่องป้องกันนั้นมาครอบลงกับเจ้าหัวบากหยักนั่น แล้วรูดเนื้อยางนุ่มลงจนสุดโคน ทั้งที่ส่วนลึกในใจอยากจะกระชากมันออกใจแทบขาด แต่ในเมื่อทุ
“ได้” เธอไม่พูดพร่ำทำเพลง ขยับกายขึ้นมาคร่อมบนตัวเขา โดยที่ดวงหน้างามอยู่ใกล้ท่อนเนื้อแกร่งกำลังตั้งโด่นั้นไม่ถึงคืบ ไม่ลังเลเลยที่จะครอบริมฝีปากลงไปครองท่อนเนื้อแกร่งเอาไว้จนสุดความยาว “อา ร้อน ร้อนเหลือเกิน” ยิ่งเขาครางอย่างพอใจ ก็ยิ่งย่ามใจ ควงปลายลิ้นอ่อนอุ่นดุนดัน สลับตวัดไล้เลีย ราวกับสิ่งนั้นเป็นไอศครีมแท่งโปรดจนเกิดเสียงน่าละอาย แต่แล้ว เธอก็ต้องเป็นฝ่ายชะงัก เมื่อเชนไม่ปล่อยให้เธอรุกรานเพียงฝ่ายเดียว แต่กลับรูดกางเกงนอนพร้อมกางเกงตัวจิ๋วลง แล้วสอดนิ้วมือแกร่งเข้ามารุกล้ำโพรงถ้ำลึกเร้น เพียงสอดเข้าไป ชักออกมาไม่กี่ครั้ง ก็เรียกน้ำหวานฉ่ำชื้นหลั่งรินเอ่อล้นปากทางแล้ว มีหรือเขาจะอดใจไหว ยื่นหน้าเข้าไป ละโลมไล้ปลายลิ้นดูดเลียน้ำหวาน เรียกเสียงครางหวานอู้อี้ ยิ่งถูกปลุกเร้าเช่นนี้ เธอก็ยิ่งครอบครองท่อนเนื้อแกร่งไม่ยอมปล่อย ขยับศีรษะทุยขึ้นลงเชื่องช้าในคราแรก ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นรวดเร็วรุนแรง จนเขาสุดจะทานทนอีกต่อไป “อา ผมไม่ไหวแล้ว น้ำจะแตก” เขาอ้าปากบอกเธออย่างลืมไปเสียสนิทว่า เธอเป็นเจ้านาย เขาเป็นลูกน้อง ร่างทั้งร่างเกร็งกระตุก ในวินาทีแห่งการปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นทะลั