แชร์

บทที่ 10

ผู้เขียน: อี้ซัวเยียนอวี่
ดูเหมือนว่ารุ่ยอ๋องจะเพิ่งออกมาจากตำหนักฉือหนิง เขาก้าวเดินมาข้างหน้าแล้วคารวะเฟิ่งจิ่วเหยียน

“น้องชายขอคารวะพี่สะใภ้”

การที่เขาเรียกนางเป็นพี่สะใภ้ไม่ใช่ฮองเฮา แสดงให้เห็นว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮ่องเต้

เหลียนซวงที่ชำเลืองมองรุ่ยอ๋องตกอยู่ในภวังค์

รุ่ยอ๋องช่างรูปงามเสียจริง! หน้าตาสะอาดสะอ้าน บุคลิกมารยาทงามสง่า ลักษณะเช่นนี้ดีกว่าฮ่องเต้ทรราชที่เอาแต่ฆ่าคนตั้งมาก

หากผู้ที่คุณหนูแต่งด้วยคือ...

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เหลียนซวงก็รีบหยุดความคิดที่ไร้สาระนี้ทันที

กฎระเบียบในวังเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่อาจเทียบกับในค่ายทหารที่สามารถพูดคุยกับบุรุษอย่างไรก็ได้

เมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะจากไป รุ่ยอ๋องพลันเอ่ยปากแสดงความเป็นห่วงออกมา

“การประหารเมื่อวานนี้พี่สะใภ้ได้รับความตระหนกหรือไม่? ”

เฟิ่งจิ่วเหยียนที่จดจ่ออยู่กับความคิดตอบกลับอย่างกลัวพิกุลจะร่วงว่า “ไม่”

“เมื่อวานยามที่พี่สะใภ้ปราบพยศม้าตัวนั้น ข้าบังเอิญเห็นเข้าพอดี ท่านฝีมือดียิ่ง ที่จริงแล้วฝ่าบาททรงโปรดสตรีที่มีทักษะการขี่ม้า พี่สะใภ้เริ่มต้นจากเรื่องนี้ดู บางทีอาจจะได้รับความโปรดปราน”

น้ำเสียงของรุ่ยอ๋องอ่อนโยนนุ่มนวลราวกับเป็นมิตรสหายของนาง

ความประทับใจที่เฟิ่งจิ่วเหยียนมีต่อเขานับว่าไม่เลวเลย เมื่อเห็นเขาที่สวมชุดขาวทั้งร่าง ความทรงจำที่เก่าจนฝุ่นจับก็วนเวียนอยู่ในหัวของนาง ความรักความทุกข์ทรมานผสมผสานปะปนไม่อาจแยกได้

“ขอบใจเจ้ามาก”

แต่นางไม่ต้องการ

ที่นางเรียนขี่ม้ายิงธนู ไม่ใช่เพื่อเอาอกเอาใจบุรุษ

ณ ตำหนักฉือหนิง

ไทเฮากำลังอบรมสั่งสอนเฟิ่งจิ่วเหยียน

“เจ้ามีฐานะเป็นถึงฮองเฮา ต้องดูแลจัดการเหล่าสตรีในวังหลังให้ดี ตั้งแต่สนมชั้นเฟยทั้งสี่ไปจนถึงเหล่านางกำนัลและขันที

“นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ควบคุมและตักเตือน

“อย่างเช่นเรื่องที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานหวงกุ้ยเฟยแต่เพียงผู้เดียว เจ้าเป็นฮองเฮาก็ต้องคอยโน้มน้าวฝ่าบาท ให้ฝนตกทั่วฟ้า เช่นนี้จึงจะรักษาสมดุลของทุกฝ่ายเอาไว้ได้

“อย่าได้ดูถูกวังหลังไป เบื้องหลังสนมนางในเหล่านั้น ล้วนมีข้าหลวงรับราชการอยู่วังหน้า...”

ดูเผิน ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนเหมือนจะตั้งใจฟัง แต่ที่จริงแล้วจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแม้แต่น้อย

เข้าวังมาสองวันแล้ว นางไม่ได้ลืมความแค้นที่ต้องชำระ

คืนนี้นางตัดสินใจที่จะไปตรวจสอบที่ตำหนักหลิงเซียวซักหน่อย

ณ ตำหนักหลิงเซียว ในเวลาเดียวกัน

ห้องภูษาหลวงส่งเสื้อผ้าอาภรณ์ใหม่มา ผ้าแพรต่วนวาววับส่องประกาย

สาวใช้กล่าวอย่างประจบประแจง

“พระสนม ฝ่าบาทช่างโปรดปรานรักใคร่ท่านเหลือเกินเพคะ ผ้าไหมฝูกวง[1]ที่แคว้นปา[2]ส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ ล้วนแต่พระราชทานเป็นรางวัลให้ท่านทั้งหมด หากคืนนี้พระสนมสวมอาภรณ์เหล่านี้ไปร่วมบรรทมจะต้องทำให้ฝ่าบาทไม่อาจละสายตาได้เป็นแน่เพคะ!”

รอยยิ้มของหวงกุ้ยเฟยนั้นเป็นความงามที่ทำให้ผู้คนลุ่มหลงมัวเมา

แต่ทันใดนั้นเองรอยยิ้มของนางก็เลือนหาย นางจ้องตรงไปยังลายปักรูปดอกหลิงหลานบนอาภรณ์ตัวนั้น ใบหน้าแสดงความกรุ่นโกรธ

“นี่ปักลายอะไรกัน!”

“พระสนมโปรดระงับโทสะ...”

“โบยแปดสิบที ขับไล่ออกจากวัง” หวงกุ้ยเฟยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา รวมทั้งโยนอาภรณ์ตัวนั้นทิ้งโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง

แม้แต่เหล่าสาวใช้เองยังรู้สึกว่านี่ช่างโหดร้ายเหลือเกิน โบยแปดสิบที ย่อมเป็นการเอาชีวิตแล้ว

เพียงแค่วันเดียวช่างปักในห้องภูษาหลวงก็ตายไปสิบสามคน ผู้คนในวังล้วนหวาดผวา กลัวว่าจะไปทำให้หวงกุ้ยเฟยไม่พอใจเข้า

ยามค่ำ ฝ่าบาทเสด็จมาที่ตำหนักหลิงเซียว ในตำหนักมีเสียงอ่อนหวานดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ฝ่าบาทเพคะ ลายปักนั้นช่างน่าเกลียดเกินไปแล้ว หม่อมฉันจะสวมออกไปข้างนอกได้อย่างไรกัน ฝ่าบาทเองก็รู้สึกว่าหม่อมฉันทำผิดอย่างงั้นหรือเพคะ?”

ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานนางอย่างไร้ขอบเขต “ไม่ผิด สมควรฆ่าทิ้ง”

ทันใดนั้นเองเขาก็มองขึ้นไปบนขื่อของเรือน ชุดคลุมยาวสะบัดไหว อาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อชิ้นหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนหลังคา

อาวุธลับพุ่งทะลุแผ่นกระเบื้อง เห็นเงาร่างสีดำเคลื่อนไหวอยู่บนหลังคา

ยามนี้เองเหล่าองครักษ์เพิ่งจะรู้ตัวว่าตำหนักหลิงเซียวมีนักฆ่าลอบเข้ามา แต่ละคนต่างชักดาบออกจากฝักเตรียมที่จะสังหารนักฆ่า

พวกเขาบุกขึ้นไปบนหลังคา เกือบจะล้อมนักฆ่าเอาไว้ได้แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่านักฆ่าผู้นั้นจะมีฝีมือขนาดนี้ เพียงชั่วพริบตาก็หายตัวไปท่ามกลางหมอกควัน

เหล่าองครักษ์ไม่เคยพบเจอสถานการณ์ที่แปลกประหลาดขนาดนี้มาก่อน จึงได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก

ที่จริงแล้วนี่เป็นเพียงการวัดกันที่ความเร็วเท่านั้น

วิชาตัวเบาของเฟิ่งจิ่วเหยียน แม้แต่อาจารย์ของนางยังเคยชมว่านางเป็นอัจฉริยะยากที่จะพานพบ

คืนนี้นางลอบเข้าตำหนักหลิงเซียวสำเร็จ ทั้งยังหลบองครักษ์พวกนั้นและกลไกลับได้ กลับไม่อาจซ่อนตัวจากฮ่องเต้ทรราชนั่นได้

ดูเหมือนกำลังภายในของฮ่องเต้ทรราชนั่นจะลึกล้ำเป็นอย่างมาก จึงสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของนาง

เป็นนางที่ประเมินศัตรูต่ำไป

นางเกือบจะออกจากตำหนักหลิวเซียวอยู่แล้ว ทันใดนั้นด้านหน้าพลันมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบดบังทางหนีของนาง

คนผู้นั้นสยายผมสีดำขลับ ชุดคลุมดำด้านหน้าแง้มออกเล็กน้อย คอเสื้อเผยให้เห็นถึงลูกกระเดือกและเส้นเอ็นที่ขยายลงไปใต้อาภรณ์ ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายที่มืดมนและโหดเหี้ยม

เขาไม่ได้พกอาวุธใดติดตัวมา จึงอาศัยฝ่ามือต่างกระสวยพุ่งเข้าโจมตีไปที่นาง

เฟิ่งจิ่วเหยียนตระหนักได้ว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก

แต่นางเองก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน นางสวมชุดพรางตัวท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียว หลบหลีกจากการโจมตีของเขามาได้และยังตีลังกาข้ามมาข้างหลังเขาประหนึ่งปลากระโดดเข้าประตูมังกรอีกด้วย[3]

ขณะเดียวกันนางก็ยิงลูกธนูสั้นในแขนเสื้อออกไป...

เซียวอวี้หน้าตาเคร่งขรึม

นักฆ่าคนนี้ แข็งแกร่งมาก

แค่เรื่องความเร็วก็เหนือกว่าเขาแล้ว

แต่...ไม่ได้หมายความว่าไม่มีจุดอ่อน

เขาเอียงตัวหลบลูกธนูสั้น แล้วออกฝ่ามือไปที่บั้นเอวของนาง

เฟิ่งจิ่วเหยียนโงนเงนไปข้างหน้า นางรีบหยัดเท้าลงบนพื้นแล้วหันกายกลับมาอย่างรวดเร็ว

ผมของนางสยายออกมากลางอากาศ ตวัดเป็นเส้นโค้งที่งดงาม

ดวงตาทั้งสองข้างของเซียวอวี้หรี่ลงเล็กน้อย

สตรีงั้นหรือ

เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้ว

บั้นเอวของนางมีแผลเก่าอยู่

นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะมองออก ทั้งยังโจมตีมาที่แผลเก่านั้นของนาง

เขาเป็นใครกันแน่!

องครักษ์ลับข้างกายของฮ่องเต้ทรราชงั้นหรือ!

เหล่าองครักษ์ต่างมารวมตัวกันจากทุกสารทิศ

เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่อาจสู้ต่อไปได้ จึงปล่อยระเบิดควันออกมาอีกครั้ง แล้วใช้ความเร็วอันน่าเหลือเชื่อหลบหนีจากไป

แต่ทว่าเซียวอวี้มีพลังการมองเห็นที่แข็งแกร่ง สามารถมองตามเงาร่างที่เคลื่อนย้ายไปอย่างรวดเร็วได้ทัน

ณ ตำหนักหย่งเหอ

พอเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับมาเหลียนซวงก็ปรี่เข้ามาปรนนิบัตินางเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนำชุดพรางตัวที่ถอดออกมาไปเก็บซ่อนทันที

“ฮองเฮา ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่!”

“ข้าไม่เป็นไร” เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วแน่น

ฝ่ามือเมื่อครู่ของบุรุษผู้นั้นทำให้แผลเก่าของนางกำเริบแล้ว

เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้น้ำร้อนอาบน้ำ เหลียนซวงที่เพิ่งจะก้าวออกจากตำหนักมองเห็นคนผู้หนึ่ง

เขาก้าวเดินออกมาจากเงามืด รูปลักษณ์งามสง่า สวมเสื้อคลุมมังกรอันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถานะสูงสุดเหนือผู้ใด สวมกวานหยกม่วงรวบผมเอาไว้ ทุกย่างก้าวที่ย่ำเดินมั่นคงและน่าเกรงขาม

ดูเหมือนเขาจะเป็นฮ่องเต้

เหลียนซวงที่พบฮ่องเต้เป็นครั้งแรกตกตะลึงนิ่งอึ้งอยู่กับที่

นึกไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้ทรราชจะหน้าตาหล่อเหลางามสง่าเช่นนี้ รูปงามล่อลวงวิญญาณราวกับปีศาจในหนังสือภาพก็ไม่ปาน

ทว่ากลับน่ากลัว...ราวกับยมฑูตที่มาคร่าชีวิต!

“บ่าวคารวะฝ่าบาทเพคะ!”

เซียวอวี้ย่างก้าวตรงเข้าไปในตำหนัก

เมื่อครู่นักฆ่าผู้นั้นหายตัวไปในตำหนักหย่งเหอ

บั้นเอวของนางได้รับบาดเจ็บ แค่ตรวจดูก็รู้แล้ว

ระหว่างที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังแช่ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำ พลันมีบุรุษบุกเข้ามา

นางหันหลังให้กับเขาแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท โปรดประทานอภัยที่หม่อมฉันไม่อาจลุกขึ้นคารวะได้”

เซียวอวี้สายตาคมปลาบ

ดึกถึงเพียงนี้แล้ว เพิ่งจะอาบน้ำ?

“ฮองเฮา ลุกขึ้นมาซะ”

เฟิ่งจิ่วเหยียนกุมมือแน่น

ฮ่องเต้ทรราชสงสัยนางหรือ

“ฮองเฮา เจ้าไม่ได้ยินหรือไร!” บุรุษผู้น่าเกรงขามเดินเข้ามาใกล้

เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ บนร่างไม่ได้สวมอะไรซักชิ้น

นางสัมผัสได้ถึงสายตาโหดร้ายเย็นชาของเขาที่จ้องมองมายังแผ่นหลังของนาง

ราวกับมีลูกธนูอันแหลมคมทะลุผ่านร่างของนาง

หากนางลุกขึ้นตามที่ฮ่องเต้ทรราชกล่าว เช่นนั้นร่องรอยฝ่ามือที่บั้นเอวของนางจะต้องถูกพบเป็นแน่

ยามนี้สายตาของเซียวอวี้ยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ

ดูจากมุมนี้แล้วฮองเฮากับนักฆ่าผู้นั้นออกจะเหมือนกันอยู่บ้าง...

ทันใดนั้นเขาก็ก้าวไปด้านหน้าก้าวใหญ่ จับไหล่ของเฟิ่งจิ่วเหยียนแล้วใช้แรงดึงนางขึ้นมาจากน้ำ

ซ่า...

----------------------------------------------

[1] ผ้าไหมล้ำค่าในสมัยจีนโบราณ มีคุณสมบัติกันน้ำ

[2] ดินแดนของชนเผ่าปาในสมัยโบราณเรียกว่าแคว้นปาโดยพื้นที่นี้ปัจจุบันอยู่บริเวณเขตปกครองตนเองเอินซี ในมณฑลหูเป่ย

[3] สำนวนที่หมายถึงประสบความสำเร็จ หรือได้เลื่อนตำแหน่งในหน้าที่การงาน
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (100)
goodnovel comment avatar
อุไรลักษ์ บุตรโชติ
เลิกติดตามคะ
goodnovel comment avatar
อุไรลักษ์ บุตรโชติ
ถูกหลอกเฉยเลย
goodnovel comment avatar
Joom
The angry king is very smart and strong.
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทล่าสุด

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1346

    องครักษ์คุ้มกันองค์ชายทั้งสองเร่งเดินทางมาตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงตระกูลเมิ่งแห่งเมืองซางก่อนวันส่งท้ายปีเก่าหลังจากนั้นพวกเขาก็ส่งมอบองค์ชายทั้งสองให้กับฮูหยินเมิ่ง และตั้งใจคุ้มกันเรือนเดิมทีคิดว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว สามารถผ่อนคลายได้สักทีเพราะอย่างไรคืนนี้ก็เป็นวันส่งท้ายปีเก่าแต่ใครจะรู้ว่าองค์ชายทั้งสองซุกซนไม่เลิกแค่ได้ยินเสียงร้องไห้จากภายในห้อง ก็รู้แล้วว่าสองพี่น้องทะเลาะกันอีกแล้วฝ่าบาทกับฮองเฮาไม่อยู่ข้างกาย องค์ชายทั้งสองท่านยิ่งดื้อรั้นและเอาแต่ใจภายในห้องฮูหยินเมิ่งมาปลอบคนนี้ที ไปปลอบคนนั้นทีนางวิ่งจนหัวหมุน เกือบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครและยิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาชอบทะเลาะกันเช่นนี้ทั้งที่ก่อนหน้านี้เรียบร้อยมาก ไม่ค่อยซนเลยฮูหยินเมิ่งเผลอเพียงครู่เดียว น้องชายก็ยื่นมือไปข่วนหน้าพี่ชายแล้วส่วนพี่ชายก็ไหวตัวทัน ขณะที่แหงนหน้าหลบ ก็ยกเท้าจิ้มเข้าไปในปากน้องชายเต็ม ๆคราวนี้น้องชายที่เพิ่งหยุดร้องไห้ก็เริ่มอีกแล้ว“ฮือ…”ฮูหยินเมิ่งร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก รีบเอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดปากของคนเป็นน้อง“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะ”“อาหลิ่นเป็นเด็กดีที่สุด เมื่อ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1345

    สวีไท่ฉางให้ความสำคัญกับเรื่องของสำนักคุ้มภัยอย่างมากนี่ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของตระกูลเขา แต่ยังรวมถึงบรรดาผู้คุ้มกันกับคนงานด้วย“ถ้าพูดถึงความผิดปกติ มันก็ไม่มีอะไรเพียงแต่เสนอค่าจ้างสูงเช่นนี้ ข้าสงสัยจริง ๆ พวกเขาจ่ายเงินให้ผู้คุ้มกันสูงเช่นนั้น จะเหลือกำไรอะไรอีก?”สวีไท่กู่ก็เห็นด้วย“ข้าเคยคำนวณอย่างละเอียดแล้ว ตามค่าจ้างที่พวกเขาจ่าย แทบไม่เหลือกำไรเลย เช่นนั้นพวกเขาทำเพื่ออะไร?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้พูดอะไรมาก“ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของการค้านัก”สวีไท่ฉางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่อง“ข้าเลอะเลือนแล้ว“วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ควรรักษาช่วงเวลาที่มิตรสหายได้อยู่ร่วมกัน สลัดเรื่องเก่า ๆ ต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ และมองไปสู่อนาคต”หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องของสำนักคุ้มภัยอีกหลังอาหารเฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้กลับไปที่ห้องหลังจากนางปิดประตูก็พูดกับเซียวอวี้ “ออกเดินทางพรุ่งนี้เช้าเลย”เซียวอวี้จับมือของนางแล้วถาม“เหตุใดเจ้าไม่ช่วยสวีไท่ฉางสักหน่อย? เขาเป็นสหายของเจ้าไม่ใช่หรือ?”ถ้านางอยากช่วยเขา แค่เอ่ยปากคำเดียวก็ได้แล้ว

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1344

    หลังจากอู๋ไป๋กับเฉินจี๋ไปแล้ว เสียวอู่ศิษย์น้องของเซียวอวี้ที่ยืนอยู่ตรงหัวมุม ก็เดินกอดกระบี่เข้ามาถาม“ศิษย์พี่ จะกินข้าวเมื่อไร?”สวีไท่ฉางอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ถึงเวลากินข้าวแล้วจริง ๆ ข้าละเลยแล้ว”เซียวอวี้เหลือบมองเสียวอู่ด้วยสายตาเฉียบคมเจ้าตัวขายขี้หน้า ภูเขาหวูหยาไม่มีอะไรจะให้เขากินหรืออย่างไร?เสียวอู่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดเลยเขาต้องกินให้อิ่ม ถึงจะมีแรงปกป้องศิษย์พี่แม้ตลอดทางมานี้ เขาต้องพึ่งศิษย์พี่ใหญ่เลี้ยงปากท้องให้อิ่มมาโดยตลอดก็ตามวันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า สุราชั้นดีและอาหารชั้นเลิศย่อมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนเหม่อลอย เพราะเป็นห่วงลูกทั้งสองคนไม่รู้ว่าพวกเขาไปถึงเมืองซางอย่างปลอดภัยแล้วหรือยังสามพี่น้องตระกูลสวีล้วนเป็นคนตรงไปตรงมาสวีซวนคารวะเหล้าสองสามีภรรยาเฟิ่งจิ่วเหยียน“คุณชายเซียว ฮูหยินเซียว ไม่ทราบว่าอาหารของคืนนี้ถูกปากพวกท่านหรือไม่ มา ข้าขอคารวะพวกท่าน! หากวันข้างหน้าต้องการความช่วยเหลือ ไปสำนักคุ้มภัยตระกูลสวีของเราได้เลย!”สวีไท่กู่ล้อเลียนน้องสาวของตัวเอง“สำนักคุ้มภัยตระกูลสวีของเราอะไร สวีซวน

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1343

    เซียวอวี้มั่นใจว่าเรื่องที่เขาออกตรวจราชการอย่างลับ ๆ เคยสั่งกำชับกับขุนนางคนสนิทที่ไว้ใจเพียงไม่กี่คน ไม่ได้ประกาศออกไปเป็นวงกว้างแต่ทางการฝ่ายเหนือรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร และยังจัดระเบียบถนนโดยพลการ?สายตาของเขาหยุดอยู่ที่เฟิ่งจิ่วเหยียน เฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายหัวเบา ๆนางก็ไม่รู้เช่นกันว่าข่าวรั่วไหลออกไปได้อย่างไรแต่นางคาดการณ์ไว้แล้วว่า เรื่องนี้คงปิดได้อีกไม่นานฮ่องเต้ไม่อยู่ในวัง ก็แสดงว่าต้องออกตรวจราชการอย่างลับ ๆแต่เรื่องที่ทางการจัดระเบียบเส้นทางโดยพลการ จะเห็นได้ว่าพวกเขาได้รับข่าวล่วงหน้า อยากจัดระเบียบถนนให้เรียบร้อยก่อนขบวนเสด็จจะมาถึง พวกเขาอาจต้องการแสดงผลงาน หรือไม่ก็รีบร้อนซ่อนอะไรบางอย่างขณะนี้ ทั้งสองไม่มีใครพูดอะไรเลยสวีซวนน้องสาวของซวีไท่ฉางแสดงความไม่พอใจ“ฮ่องเต้ออกตรวจราชการ ทำให้ราษฎรต้องตกระกำลำบากเช่นนี้ ไหนบอกว่าตอนนี้ฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าว่านะ…”“แค่ก ๆ!” สวีไท่ฉางกระแอมขัดคำพูดของน้องสาวนางมีกี่ชีวิต ถึงกล้าพูดคำพูดเหล่านี้ต่อหน้าฝ่าบาท?สวีไท่ฉางรีบกลบเกลื่อนเพื่อให้น้องสาวพ้นผิด“ที่สุดแล้ว การที่ฝ่าบาทออกตรวจร

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1342

    “สวีไท่ฉาง” เป็นคนใจดีมีน้ำใจ ชอบต้อนรับแขก ยามค่ำคืนก็ไม่นอน ไปให้อาหารม้าของพวกเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยตนเองเสี่ยวอู่คำนึงเสมอว่าต้องปกป้องศิษย์พี่ จึงระมัดระวังตัวกับทุกคนอย่างมากเมื่อเห็นสวีไท่ฉางเข้าไปในโรงม้า ก็แอบจับตาดูจนแน่ใจว่าอาหารม้าไม่มีปัญหา เสี่ยวอู่ค่อยกลับห้องไปนอนวันรุ่งขึ้นเป็นวันส่งท้ายปีเก่า (ฉูซี)เดิมเฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้ตั้งใจจะพักแค่คืนเดียว แล้วออกเดินทางต่อในวันถัดไปแต่เพราะเป็นวันส่งท้ายปีเก่าซึ่งมีความหมายพิเศษ สวีไท่ฉางตั้งใจเชิญชวนอย่างกระตือรือร้นบวกกับในคืนวันส่งท้ายปีเก่า ประตูเมืองมักจะปิด ทำให้เข้าออกเมืองไม่สะดวกหลังจากไตร่ตรองแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจพักอีกวัน รอวันขึ้นปีใหม่ประตูเมืองเปิดแล้วค่อยออกเดินทางในวันส่งท้ายปี คนในครอบครัวของสวีไท่ฉางล้วนกลับมาอยู่พร้อมหน้า“พี่ชาย! พวกเรารับพี่สะใภ้กับหลานกลับมาแล้ว!” น้องชายสวีไท่กู่ เป็นคนแรกที่ก้าวเข้ามาในบ้าน อายุราวยี่สิบกว่า เพราะบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาไม่มีหนวดเคราเหมือนเซียวอวี้ แถมยังสวมชุดขาว ทำให้ดูมีความเป็นหนุ่มอยู่ไม่น้อยเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกในใจ ไม่แปลกที่คนอื่นเข้าใจผิด คิดว่า

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1341

    ทางตอนเหนือของแคว้นหนานฉี หิมะยิ่งตกยิ่งหนักปลายเดือนสิบสอง ชาวบ้านต่างยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวฉลองปีใหม่ โรงพักแรมจำนวนไม่น้อยได้ปิดให้บริการเฟิ่งจิ่วเหยียนมีสหายมากมาย ระหว่างทางจึงแวะพักที่บ้านของสหายสหายผู้นั้นชื่อ “สวีไท่ฉาง” ไว้เครารกรุงรัง รูปร่างกำยำ ผิวดำคล้ำเขาเปิดกิจการสำนักคุ้มภัยหลังจากแคว้นรอบด้านรุมโจมตีแคว้นหนานฉีแล้วพ่ายแพ้ ทำให้ต้องเปิดเส้นทางการค้าใหม่หลายสาย นั่นก็ทำให้สำนักคุ้มภัยของสกุลสวีมีงานเพิ่มขึ้นมากสวีไท่ฉางรู้สถานะของเฟิ่งจิ่วเหยียน ทว่าทั้งสองคนเป็นสหายในยุทธภพ อีกทั้งฮ่องเต้ฮองเฮาออกตรวจตราเป็นการส่วนตัว เขาจึงไม่เรียกขานด้วยคำยกย่องเฟิ่งจิ่วเหยียนแนะนำให้เซียวอวี้รู้จัก“พี่สวีออกเดินทางคุ้มภัยสินค้าตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ เขากับเจียงหลินเป็นสหายสนิทกันมาหลายชั่วคน มักช่วยเหลือคุ้มภัยสินค้าตระกูลเจียง”สวีไท่ฉางยกมือคำนับเซียวอวี้โดยอัตโนมัติเซียวอวี้กลับเป็นฝ่ายคำนับแบบชาวยุทธเสียก่อน “พี่สวี”เมื่อเดินทางอยู่ด้านนอก ต้องลืมฐานะของตัวเองไปเสียสวีไท่ฉางไม่กล้ารับคำนับนี้ รีบเบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างแนบเนียน“อย่ายืนอยู่หน

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status