“ทางตำหนักฉือหนิงเกิดอะไรขึ้น?” เฟิ่งจิ่วเหยียนนึกถึงองค์หญิงใหญ่สีหน้าของเซียวอวี้เคร่งขรึม“วันนี้เซียวฉีไปอธิบายกับไทเฮา ไทเฮาทนแรงกระทบเทือนมิได้ โมโหจนเกือบหมดสติไป”“เราจึง รีบออกจากวังมาบอกเรื่องนี้กับเจ้า”เฟิ่งจิ่วเหยียน: ...หากไทเฮามีเรื่องอะไรจริง ๆ ส่งคนมาแจ้งก็พอแล้ว ไฉนจำเป็นต้องให้เขามาเองเช่นนี้ดูเหมือนว่าน่าจะไม่มีอะไรมากแล้วเซียวอวี้เห็นนางไม่ตอบ ทั้งยังไม่แสดงท่าทีใด ๆ จึงทำเป็นถามอย่างกังวล“พวกเราควรจะไปเยี่ยมไทเฮาหรือไม่? แม้นคนจะไม่ได้ไป ก็ควรจะส่งของไปหน่อยก็ยังดี เพื่อปลอบใจคนแก่ชราอย่างนาง เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนปรายตามองเขา“ท่านยังคิดว่าวุ่นวายไม่พออีกหรือ?”เซียวอวี้โอบเอวของนาง วางคางลงบนไหล่ของนางอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต่างอะไรกับหมาป่ากำลังส่ายหางออดอ้อน“นั่นสินะ ทำไมเราคิดไม่ได้ เรื่องของสองแม่ลูกอย่างไทเฮากับเซียวฉี ให้พวกนางจัดการเองก็พอ”เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเขาออกด้วยสีหน้าจริงจัง“เมื่อวานก็ได้มีฏีกาค้างเป็นกองแล้วกระมัง“แล้ว วันนี้ยังคิดจะเกียจคร้านต่อหรือ?”แม้นสามีภรรยาจะรักกันมากเพียงใด ก็ไม่ควรปล่อยให้งานสำคัญ
จื้อจ้ายจวีเซียวอวี้อยู่ที่นี่ไม่ยอมไป เฟิ่งจิ่วเหยียนจะไล่อย่างไรก็ไร้ประโยชน์เขายังใช้ลูกมาเป็นไม้กันหมา“อาหลิ่นกับอาลี่ไม่อยากให้เสด็จพ่อไป”ใช่ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนใจไม้ไส้ระกำ นางเป็นห่วงว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องบ้านเมืองยามค่ำ เซียวอวี้ค้างแรมที่จื้อจ้ายจวีเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นเขาแล้วรำคาญ“ในฐานะฮ่องเต้ผู้นำแคว้น จะเอาแต่ใจเช่นนี้ได้อย่างไร?”เซียวอวี้โน้มเข้ามาใกล้ อุ้มนางเอาไว้บนตัก“ข้าเองก็เป็นเพียงชายทั่วไป ต้องการภรรยาและลูกอยู่เคียงข้าง เล่าเรื่องเมื่อกลางวันมาสิ เซียวฉีพูดอะไรกับเจ้า? สีหน้าเจ้าตอนกลับมาไม่สู้ดีนัก?”เฟิ่งจิ่วเหยียนครุ่นคิดแล้วกล่าว“เรื่องของจั่วเฟิงไม่แน่นอนสักที หม่อมฉันกลัวจะมีการเปลี่ยนแปลง”เซียวอวี้ทำหน้าไม่ใส่ใจ“แต่งตั้งรองหัวหน้าไว้ล่วงหน้า เมื่อใดที่จั่วเฟิงไม่อาจไปหนานเจียง ก็เลื่อนตำแหน่งรองหัวหน้า”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้า“นี่เป็นวิธีที่ดี”“แต่น่าเสียดายจั่วเฟิง”สุดท้ายแล้ว นางก็ยังทำใจไม่ได้ใช่ว่าใครก็เป็นนักรบอัจฉริยะเซียวอวี้เห็นนางขมวดคิ้ว จึงถามอย่างห่วงใย“หากเจ้าอยากเก็บจั่วเฟิงไว้จริง พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปตำหนักฉื
องค์หญิงใหญ่มีสนมชายมากมาย แต่กลับไม่มีสักคนที่นางรักอย่างแท้จริงแต่นางไม่สนใจสิ่งที่นางต้องการคือไม่รู้สึกผิดต่อตัวเอง“ข้าอยากดีกับตัวเอง” องค์หญิงใหญ่ดื่มน้ำชาหนึ่งคำ ในแววตาเผยความโศกเศร้าเล็กน้อยเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่พูดแทรก ฟังอยู่เงียบ ๆ“ตอนนั้น ฮ่องเต้เพิ่งขึ้นครองราชย์ ศัตรูมารุกราน ข้าทำเพื่อแคว้นหนานฉี อภิเษกเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นต้าเซี่ย”“หลายปีที่อยู่ในแคว้นต้าเซี่ย ข้าราวกับศพเดินได้”“จนกระทั่งข้าได้พบท่าน นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าหวั่นไหวเพราะชายหนุ่มคนหนึ่ง”องค์หญิงใหญ่จ้องมองฮองเฮาตรงหน้า สายตาราวกับทะลุผ่านมิติเวลา กลับไปตอนที่เพิ่งพบกันครั้งแรกสายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนซื่อตรง“เรื่องนี้เป็นความผิดของข้า”มุมปากองค์หญิงใหญ่ยกขึ้น“ท่านไม่ต้องรู้สึกผิด ข้าปล่อยวางนานแล้ว”“ตั้งแต่รู้ว่าท่านเป็นสตรี ข้าก็ไม่เคยคิดเกินเลย”“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนแรกที่ได้พบกัน เกิดขึ้นภายใต้ความตื่นตระหนกของข้า แล้วท่านปรากฏตัวพอดี จึงทำให้เกิดความสับสน”“ตอนนี้เมื่อคิดดู ความจริงหากเปลี่ยนเป็นใครสักคน บางทีข้าก็อาจหวั่นไหวเหมือนกัน”เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นด้วยกับคำพูดนี้“เป็นเช่นน
หลังเซียวอวี้เข้ามา ฮูหยินเมิ่งขอตัวออกไปเฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองเซียวอวี้แวบหนึ่ง“ข้ากับท่านแม่กำลังคุยกัน ทำไมฝ่าบาทจึงมากะทันหัน?”ต่อมานางถามสีหน้าจริงจัง “หรือเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ?”เซียวอวี้กลับโอบนางเข้ามากอดอย่างทนไม่ไหว“ในวังว่างเปล่า ในใจข้าเองก็ว่างเปล่า จึงอยากมาเยี่ยมพวกเจ้า”บนเตียงเล็ก เด็กน้อยสองคนยื่นหัวออกมา จ้องมองเสด็จพ่อเซียวอวี้ใจอ่อนยวบ รีบไปอุ้มพวกเขาทันที“อาหลิ่น อาลี่ คิดถึงเสด็จพ่อหรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองดูภาพนี้ ราวกับเด็กสองคนได้กลายเป็นยาวิเศษของเขาไปแล้ว“ฝ่าบาทควรรีบกลับวังก่อน” นางเอ่ยเตือนเซียวอวี้อุ้มเด็กน้อยสองคนเอาไว้ ทำเหมือนไม่ได้ยิน“ฎีกาจัดการเสร็จหมดแล้ว ในวังไม่มีธุระใด”เขากำลังโกหกเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็รู้อยู่แก่ใจเมื่อเห็นเขาคิดถึงลูกมากขนาดนี้ จึงอนุญาตให้เขาอยู่ต่ออีกสักครู่เพียงไม่นาน นอกเรือนมีคนรายงาน“พระนาง ในวังมีคนมาแจ้งข่าว องค์หญิงใหญ่มีธุระกับท่านเพคะ”เซียวอวี้ที่กำลังกล่อมลูกชะงัก หันมองเฟิ่งจิ่วเหยียน“เซียวฉีหาเจ้า น่าจะเป็นเรื่องของจั่วเฟิง”หลังเฟิ่งจิ่วเหยียนออกจากวัง โดยไม่รู้เรื่องราวหลังจ
“เจ้ามีหญิงที่พึงใจอยู่หรือไม่ ไม่มีความจำเป็นต้องบอกข้า” องค์หญิงใหญ่หันหลังเดินไปอุทยานหลวงต่อจั่วเฟิงตามอยู่ด้านหลังนาง เหยียบเงาของนางเป็นบางครั้งเขาพูดโกหกไปเพราะเขาได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่มักมากในกาม เขากลัวถูกนางหมายตาเมื่อถึงอุทยานหลวง องค์หญิงใหญ่นั่งลงภายในศาลา“ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ดอกไม้ร่วงไปนานแล้ว ช่างน่าเบื่อสิ้นดี”ในสายตาของนาง จั่วเฟิงผู้นี้ก็เหมือนดอกไม้ที่โรยราส่วนพวกที่อยู่ในจวนของนาง บางคนเป็นดอกตูมยังไม่บาน บางคนงดงามเย้ายวน มีผู้ใดที่สู้เขาไม่ได้?เสด็จแม่เองก็เหลือเกิน คำโกหกที่ชัดเจนเช่นนี้ก็แยกแยะไม่ออกขอเพียงเสด็จแม่ใส่ใจสายตาในการเลือกชายหนุ่มของนาง คงไม่คิดว่านางจะชอบจั่วเฟิงจริงๆจั่วเฟิงยืนอยู่นอกศาลา ไม่คิดจะลามปามเขายืนอยู่ข้างนอก ดูเหมือนองครักษ์ขององค์หญิงขณะนี้ ภายในตำหนักฉือหนิงวันนี้เชิญคนตระกูลจั่วเข้าวัง เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงใหญ่และจั่วเฟิงตั้งแต่เข้าวังมาเมื่อวาน คนของตระกูลจั่วก็คิดตกแล้วพวกเขามีจั่วเฟิงเป็นลูกชายเพียงคนเดียว เมื่อก่อนไม่อยากให้เขาเป็นทหาร แต่เขาก็เป็นแล้วต่อมา ฮูหยินจั่วข่มขู่ด้วยชีวิต
ภายในตำหนักฉือหนิง คนที่ควรมาล้วนมาถึงแล้วใบหน้าไทเฮามีแต่รอยยิ้ม หันมององค์หญิงใหญ่“ฉีเอ๋อร์ รีบนั่งลง”เด็กคนนี้ ดีใจจนอึ้งไปแล้วหรือช่างไม่รู้เลย องค์หญิงใหญ่ตกใจจนอึ้งต่างหากนี่เสด็จแม่บังคับให้แต่งงานหรือ?นางหันมองจั่วเฟิง จั่วเฟิงสวมชุดลำลอง สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใด สายตามองอิฐเบื้องหน้า ไม่มองนางสักนิดทำราวกับนางไม่มีตัวตนองค์หญิงใหญ่ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นอย่าเห็นว่าอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางดูสูงส่ง แต่อยู่ต่อหน้าเสด็จแม่ นางคือเด็กคนหนึ่งตลอดไปเป็นเด็กที่ทำความผิดแล้วร้อนตัวปฏิกิริยาตอบโต้ของนาง คือการหนี!“เสด็จแม่ หม่อมฉันไปตำหนักหย่งเหอก่อนเพคะ!”พูดจบ ไม่รอให้ไทเฮาคัดค้าน รีบก้าวจากไปทันที……เดิมองค์หญิงใหญ่คิดจะไปหลบที่ตำหนักหย่งเหอเมื่อไปถึงกลับถูกแจ้งว่าฮองเฮาไม่อยู่ตำหนักหย่งเหอ วันนี้พาองค์ชายทั้งสองออกจากวังไปตั้งแต่เช้านางกำนัลคนนั้นสนิทกับองค์หญิงใหญ่ จึงพูดให้ฟังอีก“ฮ่องเต้อยู่ด้านใน องค์หญิงใหญ่จะพบฮ่องเต้หรือไม่เพคะ?”ในหัวองค์หญิงใหญ่มีคำพูดหลายคำผุดขึ้น รักษาม้าตายเหมือนม้าเป็นไม่ต้องสงสัย เซียวอวี้คือม้าตายตัวนั้นนางไม่หวังให้