นายหญิงเฟิ่งพาเฟิ่งเหยียนเฉินมาที่แคว้นซีหนี่ว์ เพื่อทำให้เขาร่าเริงขึ้นนี่เป็นการมาเยือนแคว้นซีหนี่ว์ครั้งแรกของเฟิ่งเหยียนเฉินทุกสิ่งที่ได้เห็นระหว่างทาง ล้วนทำให้เขาประหลาดใจ และยากที่จะเข้าใจได้ยินมาว่า แคว้นซีหนี่ว์เคารพนับถือสตรี ส่วนบุรุษเป็นบริวารของสตรีทว่าต้องประสบกับตัวเองเท่านั้น ถึงจะสามารถสัมผัสความแปลกใหม่นี้ได้ครั้นมาถึงเขตแดนของแคว้นซีหนี่ว์ ก็เห็นผู้หญิงรูปร่างบึกบึนกำยำทั่วทุกที่พวกนางไม่ได้บอบบางเหมือนผู้หญิงที่แคว้นหนานฉี เฝ้าเมืองได้ ทั้งยังลากของหนักได้ถึงขนาดที่ว่า เขาเห็นสตรีคนหนึ่งแบกหาม อยู่บนท่าเรือ ทั้งยังเย้ยหยันผู้ชายร่างกายบอบบางว่าไม่มีประโยชน์ละแวกพระราชวัง มีสตรีใส่เครื่องแบบของพระราชวังพวกนางพูดคุยกันอย่างสบายใจ หัวเราะเสียงดังกังวาน ไม่สนใจว่าการกระทำจะดูไม่สง่า และไม่เรียบร้อยความมั่นใจแบบนั้น ไม่ค่อยเห็นในตัวสตรีแคว้นหนานฉีนายหญิงเฟิ่งเคยมาอยู่แคว้นซีหนี่ว์ระยะหนึ่ง จึงถือว่าคุ้นเคยกับที่นี่นางยังเกิดความรู้สึกเป็นมิตร จึงกำชับเฟิ่งเหยียนเฉิน“พวกเราเข้าวังไปคารวะน้องสาวเจ้าก่อน จากนั้นค่อยไปเซ่นไหว้ป้าของเจ้าที่สุสาน”เฟ
เซียวอวี้รู้มาโดยตลอด เฟิ่งจิ่วเหยียนทำอะไรอย่างเคร่งครัดเสมอ โดยเฉพาะเรื่องในกองทัพ ไม่มีการลำเอียงเด็ดขาดเรื่องของจั่วเฟิง ไม่มีโอกาสย้อนคืนแล้วใครจะไปคาดคิด เพียงเพราะคำโกหกของเซียวฉี จะสร้างเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ทว่าจะโทษนางทั้งหมดก็ไม่ได้คนตระกูลจั่ว ตั้งใจแน่วแน่ไม่ยอมให้จั่วเฟิงมีโอกาสลงสนามรบชีวิตของจั่วเฟิงจึงถูกกำหนดให้มีชะตากรรมเช่นนี้เซียวอวี้ดูออกว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนอารมณ์ไม่ดี จึงป้อนผลไม้แช่อิ่มเข้าปากของนางรสชาติหวานปานน้ำผึ้งของมัน ช่วยปลอบประโลมรอยขมวดระหว่างคิ้วของนางปมคิ้วของนางคลายออกหลายส่วน หันไปมองทางถุงผลไม้แช่อิ่มบนโต๊ะ“ซื้อมาตั้งแต่เมื่อไร?”“ให้เฉินจี๋ไปซื้อมาโดยเฉพาะ ประเดี๋ยวจะมีของโปรดของเจ้าอีกด้วย”เขาจงใจเก็บไว้ไม่ยอมพูดทว่า ปิดบังเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้อยู่ดี“ขนมเกาลัดสินะ” นางมีสีหน้าราบเรียบเซียวอวี้ไม่รู้ว่าต้องต่อบทสนทนาอย่างไรขึ้นมาชั่วขณะ“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”เฟิ่งจิ่วเหยียนแตะที่จมูก“ได้กลิ่น”ริมฝีปากของเซียวอวี้ยกโค้งเป็นรอยยิ้ม“เดิมคิดว่าจะทำให้เจ้าแปลกใจ ใครเล่าจะรู้ว่าเจ้าเก่งถึงเพียงนี้”พูดจบพลางล้วงขนมเกาล
หลังจากที่หมอหลวงตรวจบาดแผลของจั่วเฟิงเสร็จ ก็ขมวดคิ้ว“แผลสาหัสมาก ชักช้าไม่ได้”องค์หญิงใหญ่เองก็มา นางได้ยินคำพูดนี้ ในใจเกิดวุ่นวาย“รีบรักษาให้เขา!”“รับทราบ องค์หญิง”หมอหลวงรักษาแผลให้จั่วเฟิงในห้อง ส่วนสองผู้เฒ่าตระกูลจั่วเดินวนไปวนมาอยู่นอกห้ององค์หญิงใหญ่เห็นพวกเขา ก็รู้สึกเจ็บใจนางเจ็บใจแทนจั่วเฟิงเป็นผู้มีความสามารถทางการทหารอยู่ดี ๆ ต้องมาถูกทำลายด้วยน้ำมือของพ่อแม่แท้ ๆ บาปกรรมยิ่งนัก!นางหวังเพียงว่า อาการบาดเจ็บของจั่วเฟิงจะหายดีผ่านไปครึ่งชั่วยาม หมอหลวงก็ออกมาองค์หญิงใหญ่กับสองผู้เฒ่าตระกูลจั่วต่างจ้องมาที่เขา ต่างคนต่างคิดไปมากมายหลายอย่างหมอหลวงโค้งคารวะองค์หญิงใหญ่“องค์หญิง กระดูกของคุณชายจั่วเชื่อมต่อกันแล้ว ตอนนี้ไม่เป็นอะไรมาก”องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินหมอหลวงกล่าวอีกว่า“ทว่า กล้ามเนื้อของเขาถูกทำลาย ต่อไปจะไม่สามารถยกของหนักได้อีกแล้ว”นายท่านจั่วรีบสอบถาม“ส่งผลต่อการฝึกในค่ายทหารของเขาหรือไม่?”หมอหลวงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา“ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปแล้ว”ได้ยินเช่นนั้น นายท่านเฟิ่งพลันรู้สึกโล่งอก
องค์หญิงใหญ่ไปหาสองผู้เฒ่าแห่งตระกูลจั่ว บอกให้พวกเขาปล่อยตัวจั่วเฟิง ไฉนเลยจะรู้ว่าพวกเขาดื้อด้าน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมส่งบุตรชายไปตายครั้นได้รู้ว่าพวกเขาลงมือทำร้ายจั่วเฟิงเองกับมือ องค์หญิงใหญ่ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“ใต้หล้านี้ไยจึงมีพ่อแม่จิตใจอำมหิตเช่นพวกเจ้าอยู่ด้วย!”นายหญิงจั่วน้ำตาไหลพร้อมอธิบาย “องค์หญิง พวกข้าเองก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้ แต่พวกข้าทนเห็นลูกชายเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้”องค์หญิงใหญ่นั่งลงบนที่นั่ง สีหน้าเครียดเกร็ง“ข้าได้บอกแล้ว ว่าจะไม่ให้เขาเป็นราชบุตรเขย พวกเจ้า…พวกเจ้ากลับไม่สนใจความเป็นความตายของลูก เพื่อบังคับเขาแต่งงาน คิดจะขายลูกแลกเกียรติยศหรืออย่างไร!”นายหญิงจั่วรีบปฏิเสธ“ไม่ใช่ องค์หญิง ไม่ใช่เพื่อบีบบังคับให้แต่งงาน พวกเรา พวกเราไม่อยากให้เขาลงสนามรบต่างหาก”องค์หญิงใหญ่ระเบิดอารมณ์ทันที“อะไรนะ? เหตุผลนี้เองหรือ?“หากทุกคนต่างรักตัวกลัวตายเหมือนพวกเจ้ากันหมด แล้วผู้ใดจะไปสู้รบ?”นายท่านจั่วยังคงดื้อดึงยิ่งนัก“แคว้นหนานฉีมีกำลังพลทหารมากมายถึงเพียงนั้น ขาดลูกข้าไปเพียงคนเดียวย่อมไม่ใช่ปัญหา“แต่ตระกูลจั่วของพวกเรามีทายาทเพียงคนเดี
“ทางตำหนักฉือหนิงเกิดอะไรขึ้น?” เฟิ่งจิ่วเหยียนนึกถึงองค์หญิงใหญ่สีหน้าของเซียวอวี้เคร่งขรึม“วันนี้เซียวฉีไปอธิบายกับไทเฮา ไทเฮาทนแรงกระทบเทือนมิได้ โมโหจนเกือบหมดสติไป”“เราจึง รีบออกจากวังมาบอกเรื่องนี้กับเจ้า”เฟิ่งจิ่วเหยียน: ...หากไทเฮามีเรื่องอะไรจริง ๆ ส่งคนมาแจ้งก็พอแล้ว ไฉนจำเป็นต้องให้เขามาเองเช่นนี้ดูเหมือนว่าน่าจะไม่มีอะไรมากแล้วเซียวอวี้เห็นนางไม่ตอบ ทั้งยังไม่แสดงท่าทีใด ๆ จึงทำเป็นถามอย่างกังวล“พวกเราควรจะไปเยี่ยมไทเฮาหรือไม่? แม้นคนจะไม่ได้ไป ก็ควรจะส่งของไปหน่อยก็ยังดี เพื่อปลอบใจคนแก่ชราอย่างนาง เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนปรายตามองเขา“ท่านยังคิดว่าวุ่นวายไม่พออีกหรือ?”เซียวอวี้โอบเอวของนาง วางคางลงบนไหล่ของนางอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต่างอะไรกับหมาป่ากำลังส่ายหางออดอ้อน“นั่นสินะ ทำไมเราคิดไม่ได้ เรื่องของสองแม่ลูกอย่างไทเฮากับเซียวฉี ให้พวกนางจัดการเองก็พอ”เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเขาออกด้วยสีหน้าจริงจัง“เมื่อวานก็ได้มีฏีกาค้างเป็นกองแล้วกระมัง“แล้ว วันนี้ยังคิดจะเกียจคร้านต่อหรือ?”แม้นสามีภรรยาจะรักกันมากเพียงใด ก็ไม่ควรปล่อยให้งานสำคัญ
จื้อจ้ายจวีเซียวอวี้อยู่ที่นี่ไม่ยอมไป เฟิ่งจิ่วเหยียนจะไล่อย่างไรก็ไร้ประโยชน์เขายังใช้ลูกมาเป็นไม้กันหมา“อาหลิ่นกับอาลี่ไม่อยากให้เสด็จพ่อไป”ใช่ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนใจไม้ไส้ระกำ นางเป็นห่วงว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องบ้านเมืองยามค่ำ เซียวอวี้ค้างแรมที่จื้อจ้ายจวีเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นเขาแล้วรำคาญ“ในฐานะฮ่องเต้ผู้นำแคว้น จะเอาแต่ใจเช่นนี้ได้อย่างไร?”เซียวอวี้โน้มเข้ามาใกล้ อุ้มนางเอาไว้บนตัก“ข้าเองก็เป็นเพียงชายทั่วไป ต้องการภรรยาและลูกอยู่เคียงข้าง เล่าเรื่องเมื่อกลางวันมาสิ เซียวฉีพูดอะไรกับเจ้า? สีหน้าเจ้าตอนกลับมาไม่สู้ดีนัก?”เฟิ่งจิ่วเหยียนครุ่นคิดแล้วกล่าว“เรื่องของจั่วเฟิงไม่แน่นอนสักที หม่อมฉันกลัวจะมีการเปลี่ยนแปลง”เซียวอวี้ทำหน้าไม่ใส่ใจ“แต่งตั้งรองหัวหน้าไว้ล่วงหน้า เมื่อใดที่จั่วเฟิงไม่อาจไปหนานเจียง ก็เลื่อนตำแหน่งรองหัวหน้า”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้า“นี่เป็นวิธีที่ดี”“แต่น่าเสียดายจั่วเฟิง”สุดท้ายแล้ว นางก็ยังทำใจไม่ได้ใช่ว่าใครก็เป็นนักรบอัจฉริยะเซียวอวี้เห็นนางขมวดคิ้ว จึงถามอย่างห่วงใย“หากเจ้าอยากเก็บจั่วเฟิงไว้จริง พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปตำหนักฉื