หลังจากออกมาจากธนาคาร เชิญขวัญก็พาดาริกามาไหว้พระขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
“ทำบุญไหว้พระแล้ว ต่อไปชีวิตของเธอก็จะเจริญรุ่งเรือง พ้นทุกข์ พ้นเคราะห์เสียทีนะยายดาว”
“ฉันก็หวังว่าต่อไป ชีวิตของฉันจะได้พบสิ่งดีๆ บ้าง อย่างน้อยก็ขอให้ได้พบหนทางแก้ปัญหา”
ดาริกาพนมมือกราบพระประทานในโบสถ์ ใบหน้ามีร่องรอยแจ่มใสไม่อมทุกข์เหมือนที่ผ่านมา ภาวนาให้ชีวิตข้างหน้าได้พบเจอสิ่งดีๆ หลุดพ้นจากคนชั่วร้ายอย่างแขไข
“อีกชั่วโมงกว่าเรือเที่ยวต่อไปจะออก ฉันว่าเราไปเดินเล่นแถวๆ นี้กันดีไหม”
เชิญขวัญเห็นว่ามีเวลาเหลือ จึงชวนเพื่อนเดินเล่น ก่อนที่จะพาไปกันไปยังท่าเรือ สองสาวเดินชมเมืองเก่าและแวะเดินดูของที่ระลึก ดาริกาไปติดใจกระเป๋าถัก
“ป้าคะ ใบนี้ราคาเท่าไหร่คะ” ดาริกาถามแม่ค้า
“ใบละสองร้อยค่ะ เอ... เหมือนเมื่อกี้คุณเพิ่งซื้อไปไม่ใช่หรือคะ”
แม่ค้าบอก ก่อนจะทักขึ้นอย่างกังขา ว่าลูกค้าคนนี้เพิ่งซื้อกระเป๋าถักไปเมื่อครู่นี้เอง
“เราเพิ่งมาค่ะป้า ป้าจำคนผิดแล้วค่ะ”
เชิญขวัญท้วงขึ้น ยิ้มขำเมื่อนึกว่า ป้าแม่ค้าคงจำคนผิด
“อ้อ สงสัยป้าจำคนผิดจริงๆ เอาใบนี้นะคะเดี๋ยวป้าใส่ถุงให้นะคะ”
แม่ค้ายิ้มเก้อๆ เสไปหยิบถุงมาใส่กระเป๋าให้ ดาริกาหยิบเงินจ่ายให้แล้วพากันเดินออกมาจากร้าน
“สงสัยฉันจะหน้าโหล มีคนจำผิดด้วย”
ดาริกาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก หยิบกระเป๋าใบเดิมมาแล้วเอาข้าวของย้ายมาใส่ใบใหม่
“ขี้เห่อจริง ซื้อปุ๊บเปลี่ยนปั๊บ”
เชิญขวัญมองเพื่อนสะพายกระเป๋าใบใหม่ แล้วอดยิ้มไม่ได้ ดาริกาเป็นคนประหยัดของใช้จนพังถึงจะยอมเปลี่ยนใหม่ กระเป๋าใบเดิมก็สภาพเก่าแก่เกินทน ดีแล้วที่ซื้อใบใหม่
“ก็ใบเดิมมันเก่ามากแล้วนี้ ใบนี้น่ารักดี ใส่ของกำลังพอดี”
ดาริกาลูบกระเป๋าใบใหม่ด้วยรอยยิ้ม นานๆ ทีถึงจะมีของใหม่สักชิ้น ปกติเธอแทบไม่มีเงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือย จึงต้องประหยัดจนเป็นนิสัย
“หิวน้ำจัง ไปหากาแฟเย็นกินกันเถอะ ตรงนู้นเหมือนมีร้านกาแฟน่านั่ง”
เชิญขวัญลากแขนเพื่อนพาไปยังร้านกาแฟ สองสาวพากันหาที่นั่ง ได้ที่นั่งมุมระเบียงติดกับบึงบัว สั่งกาแฟเย็นคนละแก้วกับขนมเค้กมานั่งกินเล่น
“ที่นี่บรรยากาศดีจัง มีบึงบัวด้วย”
ดาริกามองไปรอบๆ อย่างชอบใจ เธอไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอก ยิ่งนั่งกินกาแฟในร้านแบบนี้ ยิ่งแทบไม่เคยได้มา การออกจากบ้านครั้งนี้เหมือนเปิดโลกใบใหม่ให้ตัวเอง
“ต่อไปถ้าเธอทำงานในเรือ จะเห็นแต่ฟ้ากับทะเล ถ้าขึ้นฝั่งเมื่อไหร่ ถึงจะเห็นอะไรแปลกตาบ้าง แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีนะ ได้ท่องเที่ยวไปหลายประเทศน่าสนุกดี”
เชิญขวัญเปิดมือถือให้เพื่อนดูภาพจากเวปท่องเที่ยว ให้ดูเรือสำราญและอ่านประสบการณ์การท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญ
“เธอมั่นใจใช่ไหมว่าเขาจะรับฉันทำงาน”
ดาริกายังนึกหวั่น เกรงว่าจะไม่มีได้รับการคัดเลือก
“ฉันมีเส้นก๋วยจั๊บย่ะ ฉันส่งใบสมัครให้เธอแล้ว แค่ไปสัมภาษณ์พอเป็นพิธีก็เริ่มงานได้เลย ไม่ต้องห่วงเธอได้งานแน่”
เชิญขวัญรับประกัน เธอติดต่อเรื่องสมัครงานให้เพื่อนเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่พาตัวดาริกาไปส่งที่เรือเท่านั้นเอง
“ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ”
ดาริกาบอกเพื่อน ขณะลุกไปเข้าห้องน้ำ หญิงสาวเดินหายไปยังทางไปห้องน้ำ
ในขณะเดียวกันโต๊ะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของร้าน นทีกับบรรเจิดนั่งดื่มกาแฟอยู่ ดารินทร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ดาวขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
ดารินทร์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ นทีจึงเรียกพนักงานมาเก็บเงิน ระหว่างรอคู่หมั้นสาว
“คุณหนูดาวน่ารักดีนะครับ ตอนแรกผมคิดว่าเธอค่อยข้างถือตัว วันนี้ได้เห็นว่าเธอน่ารักมาก ไม่ได้วางท่าเชิดหยิ่งเหมือนคุณหนูคนอื่นๆ”
บรรเจิดเอ่ยชมคู่หมั้นของเจ้านาย ดารินทร์มีมุมน่ารักให้น่าชื่นชม เมื่อไม่ได้ตั้งท่าทำตัวห่างเหินกับนทีเหมือนตอนแรกๆ ก็ทำให้คนที่เห็นเริ่มมองเธอเปลี่ยนไป
“ใช่ น้องดาวน่ารักมาก”
นทียิ้มรับ ดวงตามีรอยวิบไหว เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เขาและดารินทร์ได้ใกล้ชิดกัน ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างขึ้น หัวใจเริ่มเปิดกว้างให้ความรู้สึกดีๆ หลั่งรินเข้ามาทีละน้อย
บริเวณลานจอดรถหน้าร้านกาแฟ นายเพิกยืนรอแขไขอยู่ เมื่อรถของเจ้านายแล่นมาจอดเขาก็รีบเข้าไปหาทันที
“คุณดาวเพิ่งเข้าไปในร้านเมื่อครู่นี้ครับ ผมเฝ้าไว้ตลอดยังไม่เห็นออกมา” นายเพิกรายงาน
“นังดาว แกนึกหรือว่าจะหนีฉันพ้น นายเพิกแกเอายาสลบมาหรือเปล่า”
แขไขถามลูกสมุน การจะลากตัวดาริกาออกมาท่ามกลางคนมากมายเป็นเรื่องยาก จำเป็นต้องทำให้หมดฤทธิ์เสียก่อน
“คนในร้านเยอะ ผมว่าถ้าเราไปเอาตัวออกมา คงจะมีคนขัดขวาง”
นายเพิกไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม เขาเคยติดคุกมีคดีมาก่อน ไม่อยากกลับไปกินข้าวแดงอีก
“ใครว่าฉันจะไปลากคอมันในร้านล่ะ รอมันออกมาออกมาก่อนสิ”
แขไขส่ายหน้ากับความโง่ของลูกน้อง เธอไม่ได้มีอิทธิพลคับฟ้า จนทำอะไรตามใจตัวเองได้ การลากคอลูกเลี้ยงกลับไปยังต้องรอโอกาสเหมาะๆ
ดาริกาเข้าห้องน้ำเสร็จก็เดินกลับมาที่โต๊ะ พบว่าเชิญขวัญจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว
“ฉันเลี้ยงเอง ไว้คราวหน้าเธอค่อยจ่าย ไปกันเถอะใกล้เวลาเรือจะออกแล้ว”
เชิญขวัญบอกเพื่อนสาว ก่อนจะชวนดาริกาออกจากร้าน สองสาวเดินมาถึงลานจอดรถ ไม่ทันจะเดินไปยังรถ เชิญขวัญก็เห็นแขไขเสียก่อน รีบฉุดแขนเพื่อนลากพาเข้าร้าน
“ยายแม่เลี้ยง มาดักจับเธอหน้าร้าน มันรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่”
“แล้วเราจะทำยังไงดี”
ดาริกาจับแขนเพื่อนไว้แน่น เธอไม่ยอมถูกแขไขลากตัวกลับบ้านแน่
“ฉันจะออกไปก่อน จะขับรถไปรออยู่ข้างๆ ซอย เธอแอบหลบไปหลังร้านนะ ยายแม่เลี้ยงจะได้ไม่เห็น”
“ถ้าอย่างนั้นเธอออกไปก่อนนะ ฉันจะตามไป”
ดาริกาพยักหน้ารับรู้แผนการของเชิญขวัญ ก่อนจะแยกย้ายกันไป
ดารินทร์กลับมาที่โต๊ะแล้ว บรรเจิดก็ชวนกลับ
“ใกล้เวลาเรือจะออกแล้วครับ เรารีบไปที่ท่าเรือกันเถอะครับ เดี๋ยวจะพลาดเที่ยวเรือ” บรรเจิดบอกทุกคน
“น้องดาวอยากได้อะไรอีกหรือเปล่าครับ” นทีถามคู่หมั้นสาว
“ไม่ค่ะ อยากกลับไปพักแล้วค่ะ วันนี้เดินเที่ยวจนเมื่อยขาไปหมด” ดารินทร์ส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเลย”
นทีผายมือให้ดารินทร์เดินนำ เขากับบรรเจิดเดินตามหญิงสาวออกไป ไม่ทันจะถึงหน้าร้าน ดารินก็นึกได้ว่าลืมถุงใส่กระเป๋าไว้ที่โต๊ะ
“ดาวลืมถุงกระเป๋าค่ะ วางไว้ที่เก้าอี้ ลืมหยิบมาด้วย”
“เดี่ยวพี่ไปเอามาให้เอง รอที่นี่นะ” นทีอาสาไปเอามาให้
“ผมว่าเจ้านายพาคุณหนูดาวไปรอที่รถดีกว่า เดี๋ยวผมไปเอาให้เอง”
บรรเจิดท้วงขึ้น ก่อนจะรีบหมุนกายเดินกลับไป ทันใดนั้นก็มีคนเดินสวนมา คนคนนั้นอุ้มเด็กน้อยมาด้วย และเหมือนฟ้าแกล้งเด็กทำแก้วน้ำหวานหลุดมือตกใส่แขนของนที ทำให้แขนเสื้อเลอะไปด้วยคราบน้ำหวานเหนียวๆ
“ขอโทษนะคะ ทำคุณเลอะหมดเลย”
แม่ของเด็กรีบขอโทษ พยายามจะช่วยเช็ดให้ นทีส่ายหน้าไม่ถือสา
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปล้างเอง พาน้องขึ้นรถเถอะครับอากาศร้อนเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ขอโทษด้วยนะคะ”
แม่ของเด็กเอ่ยขอโทษอีกครั้ง ก่อนจะพาลูกไปขึ้นรถ
“พี่น้ำเข้าไปล้างที่ห้องน้ำเถอะค่ะ ดาวจะรอที่รถนะคะ”
ดารินทร์เห็นว่านทีเปื้อนคราบน้ำหวาน จึงให้เขาไปทำความสะอาดก่อน
“รอพี่แป้บนึงนะ เดี๋ยวพี่กลับมา”
นทีรีบเดินกลับเข้าไปข้างในทันที ปล่อยให้คู่หมั้นสาวเดินออกไปเพียงลำพัง
“ร้อนจัง ไปรอในรถดีกว่า”
ดารินทร์เดินไปยังรถที่จอดอยู่ ไม่ทันจะได้เปิดประตูรถ ก็มีใครบางคนมาจากด้านหลัง รัดคอเธอไว้แน่น หญิงสาวดิ้นหนีอย่างตกใจ
“ว้าย ช่วยด้วย ช่วย... อุ๊บ!”
ยังไม่ทันจะร้องขอความช่วยเหลือ ก็ถูกผ้าที่มีกลิ่นเหม็นเอียนโปะลงบนจมูก ดารินทร์พยายามดิ้นรนขัดขืน ก่อนจะหมดแรงพร้อมกับอนุสติสุดท้ายได้หลุดลอยไป
“นังตัวดี คิดหรือว่าจะหนีพ้น”
แขไขมองร่างอ่อนปวกเปียกของหญิงสาว ที่ถูกนายเพิกพยุงไว้อย่างสะใจ ลูกเลี้ยงของเธอกลายเป็นลูกไก่ในกำมืออีกครั้ง และครั้งนี้เธอจะไม่มีวันยอมปล่อยให้หลุดมือไปเด็ดขาด
หลายเดือนผ่านไปนับจากงานแต่งงานที่เกาะร้อยดาว ชีวิตของบรรเจิดเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ช่อดอกไม้ในมือวันนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ดอกไม้ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่จุดประกายความคิดบางอย่างในใจเขา ตั้งแต่วันนั้นภาพของเจนจรัส หญิงสาวผู้แข็งกร้าวแต่ก็เปี่ยมด้วยเสน่ห์ ก็วนเวียนอยู่ในความคิดเขาตลอดเวลา เขาตามสืบจนรู้ว่าเธอกับนลินรัตน์ น้องสาว มาเปิดร้านขายข้าวแกงเล็กๆ อยู่ในตลาดแห่งหนึ่งในตัวเมืองวันนั้นบรรเจิดเดินทางมาถึงหน้าร้านข้าวแกงของเจนจรัสในช่วงบ่าย ลูกค้าเริ่มซาลงแล้ว เขากวาดสายตามองไปรอบๆ และแล้วสายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับร่างของเจนจรัสที่กำลังยืนหันหลังจัดร้านอยู่ ร่างของเธอไม่เหมือนเดิม... เธอสวมชุดคลุมท้องที่เห็นได้ชัดว่าท้องของเธอนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับมีชีวิตน้อยๆ กำลังเติบโตอยู่ภายในบรรเจิดถึงกับตะลึง ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ อึ้งไปชั่วขณะ หัวใจของเขากระตุกวูบ ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามา ทั้งความประหลาดใจ ความสับสน และความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ถูก เขาก้าวเท้าเข้าไปหาเธอช้าๆ"คุณเจนจรัส!" เขาเรียกชื่อเธอเสียงพร่าเจนจรัสสะดุ้งเล็กน้อย เธอหันมามองต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นบรรเจิด สีหน้าข
หน้าห้องรอคลอดของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง อัคคี และ นที สองหนุ่มที่ปกติสุขุม เยือกเย็น ตอนนี้กลับนั่งไม่ติดที่พากันเดินสวนกันไปมาหน้าห้องคลอด ด้วยสีหน้ากังวลสุดขีด มือทั้งสองข้างประสานกันแน่น ราวกับภาวนาขอพรให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีนายอนันต์ และ คุณมาเรีย พ่อแม่ของอัคคี รวมถึง ท่านทูตอรรถ และ คุณหญิงแม้นเดือน รวมถึงคุณภัทรกับคุณนุชนารถพ่อแม่ของนที ต่างก็มารวมตัวกันให้กำลังใจ น้องพียืนอยู่ข้างๆ ผู้เป็นปู่กับย่า แววตาใสซื่อจ้องมองประตูห้องคลอดอย่างสนใจ ไม่เข้าใจความตึงเครียดของผู้ใหญ่ แต่ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่สำคัญสีหน้าของแต่ละคน เต็มไปด้วยความลุ้นระทึกไม่แพ้กัน ส่วนนายพิพัฒน์ ที่นั่งอยู่บนรถเข็น มีนางแก้วคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ได่แต่มองไปยังประตูห้องคลอดด้วยแววตาเป็นห่วงไม่ต่างกันเวลาผ่านไปเนิ่นนานจนทุกคนแทบจะหยุดหายใจ ไม่นานนัก ประตูก็เปิดออก พยาบาลสาวเดินออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง ใบหน้าเปื้อนเหงื่อแต่แววตาเต็มไปด้วยความยินดี สองหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือก หันขวับไปที่ประตูพร้อมกันด้วยความตื่นเต้นสุดขีด"ยินดีด้วยค่ะคุณอัคคี คุณดารินทร์คลอดแล้วนะคะ" พยาบาลเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่อบอุ่นอัคคีรีบเ
ในขณะเดียวกัน ที่ห้องพักหรูอีกห้องหนึ่งไม่ไกลกันนัก ห้องหอของนทีและดาริกา ก็ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่โรแมนติกไม่แพ้กัน แสงเทียนหอมอ่อนๆ ส่องสว่าง สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลาย ต่างจากห้องหอของอัคคีและดารินทร์ที่เน้นความร้อนแรง ห้องนี้กลับเต็มไปด้วยความละมุนละไมนทีในชุดนอนผ้าไหมสีเข้ม ยืนอยู่ริมระเบียงห้องที่เปิดโล่งออกสู่ทะเล มองดูแสงจันทร์ที่ทอประกายบนผิวน้ำ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสุขสงบที่เพิ่งค้นพบในชีวิต ใบหน้าของเขาดูผ่อนคลายและเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ แขนแกร่งทั้งสองข้างวางพาดบนราวระเบียง เขาสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืนเข้าเต็มปอด กลิ่นไอทะเลบริสุทธิ์ช่วยให้จิตใจเขาผ่อนคลายและเตรียมพร้อมสำหรับค่ำคืนอันแสนพิเศษดาริกาเดินเข้ามาหาเขาจากด้านหลังอย่างเงียบเชียบ เธอสวมชุดนอนผ้าไหมเนื้ออ่อนสีชมพูอ่อนที่ขับให้ผิวขาวผ่องของเธอดูโดดเด่นและงดงาม เธอโอบแขนเรียวรอบเอวของนทีจากด้านหลังแล้วซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างของเขาอย่างออดอ้อน สัมผัสอบอุ่นจากร่างกายของเธอทำให้หัวใจของนทีเต้นระรัวอย่างมีความสุข"พี่น้ำยืนมองอะไรคะ" ดาริกาเอ่ยถามเสียงหวานแผ่วเบานทีพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับดาร
หลังจากงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะจบลง ดวงจันทร์ดวงกลมลอยเด่นอยู่เหนือท้องฟ้าสีครามเข้ม แสงจันทร์นวลผ่องทอประกายลงมายังผืนน้ำทะเลที่ทอดยาวจรดขอบฟ้า สายลมยามค่ำคืนพัดเอื่อยพากลิ่นไอเค็มเคล้ากลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ที่ประดับอยู่ในห้องพักสุดหรูบนเกาะร้อยดาวห้องหอของอัคคีและดารินทร์ถูกตกแต่งอย่างพิถีพิถัน เตียงกว้างใหญ่ปูด้วยผ้าปูที่นอนเนื้อดีสีขาวสะอาดตา มีกลีบกุหลาบสีแดงสดโปรยปรายอยู่ทั่วราวกับพรมสีแดงแห่งความรัก ผ้าโปร่งบางเบาถูกคลุมอยู่เหนือเตียงพลิ้วไหวตามแรงลมจากเครื่องปรับอากาศ สร้างบรรยากาศที่อ่อนหวานและโรแมนติกเกินคำบรรยาย แสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียงส่องให้เห็นภาพของอัคคียืนรออยู่ข้างเตียงในชุดเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีขาวที่ปลดกระดุมเม็ดบนออกสองสามเม็ด เผยให้เห็นแผงอกแข็งแกร่งและรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ใบหน้าคมคายของเขาเต็มไปด้วยความเสน่หาและความรอคอย ดวงตาคมกริบเปล่งประกายร้อนแรงเมื่อประตูห้องเปิดออกดารินทร์ ก้าวเข้ามาในห้องช้าๆ ในชุดนอนผ้าไหมเนื้อบางเบาสีขาวราวกับปุยเมฆที่โอบรัดเรือนร่างอรชร ทรวงอกอวบอิ่มภายใต้ชุดนอนพลิ้วไหวตามจังหวะการเดิน ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อด้วยควา
ต่อมา บาทหลวงก็ทำพิธีและเอ่ยถามคู่ของนทีและดาริกา“นที คุณยินดีที่จะรับดาริกาเป็นภรรยาของคุณ จะรักและดูแลเธอทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ทั้งในยามร่ำรวยและยากจน ทั้งในยามเจ็บป่วยและสบาย ตราบชั่วชีวิตของคุณหรือไม่" บาทหลวงเอ่ยถาม"ผมยินดีครับท่าน" นทีตอบรับ พลางหันมาสบตากับดาริกาอย่างอบอุ่น"ดาริกา คุณยินดีที่จะรับนทีเป็นสามีของคุณ จะรักและดูแลเขาทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ทั้งในยามร่ำรวยและยากจน ทั้งในยามเจ็บป่วยและสบาย ตราบชั่วชีวิตของคุณหรือไม่""ฉันยินดีค่ะท่าน"ดาริกาตอบรับด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นเล็กน้อย เมื่อรู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาจะไหลพิธีดำเนินต่อไปด้วยการแลกแหวน แหวนวงเล็กแต่เปี่ยมด้วยความหมายถูกสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของทั้งคู่ เป็นสัญลักษณ์ของคำมั่นสัญญาแห่งรักนิรันดร์ เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วบริเวณเมื่อบาทหลวงประกาศให้ทั้งสองคู่เป็นสามีภรรยาอย่างสมบูรณ์ อัคคีและนทีต่างก้มลงจุมพิตเจ้าสาวของตนอย่างอ่อนโยนและลึกซึ้ง สร้างความประทับใจและความปลาบปลื้มใจให้กับแขกผู้มาร่วมงานเป็นอย่างมากหลังจากพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้นลง ก็ถึงเวลาสำหรับช่วงเวลาที่สนุกสนานและเป็นที่รอคอยของเหล่าสาวโสดแล
แสงอาทิตย์ยามเย็นทอประกายสีทองอ่อนๆ แต้มฟ้าจรดน้ำทะเลสีครามที่เกาะร้อยดาว หาดทรายสีขาวนวลทอดยาวเป็นผืนผ้าต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ สายลมทะเลพัดเอื่อยพากลิ่นไอเค็มปะทะผิวกายเคล้ากลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้สดที่ประดับประดาอยู่ทั่วบริเวณงานแต่งงานที่ถูกเนรมิตขึ้นอย่างงดงามตระการตา ซุ้มดอกไม้สีขาวสะอาดตาที่ทอดเป็นทางเดินยาวสู่แท่นประกอบพิธีซึ่งตั้งอยู่ริมผาหินที่ยื่นออกไปในทะเล ถูกตกแต่งด้วยผ้าโปร่งสีขาวพลิ้วไหวสะท้อนแสงอาทิตย์ยามอัสดง สร้างบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยความศักดิ์สิทธิ์และความโรแมนติกเกินคำบรรยาย สัมผัสได้ถึงความรื่นเริงและปีติยินดีที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งงานแขกเหรื่อทยอยเดินทางมาถึง บ้างก็เป็นคนใกล้ชิดที่คุ้นเคย บ้างก็เป็นบุคคลสำคัญจากวงสังคมชั้นสูง ทุกคนต่างแต่งกายด้วยชุดที่งดงามนทีสวมชุดสูทสีขาวบนหน้าอกติดดอกกุหลาบสีขาว ข้างๆ นั้นเอง อัคคีในชุดทักซิโด้สีขาวสง่างาม ทั้งสองยืนรอรับเจ้าสาวอยู่ที่ปลายทางเดินข้างแท่นพิธี ดวงตาคมกริบของเขาทอประกายแห่งความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนข้างกายเขามีน้องพี ลูกชายตัวน้อยสวมชุดทักซิโด้สีขาวขนาดจิ๋ว ยืนอยู่ด้วยท่าทางน่ารัก น่าเอ็นดู แววตาของเด็กน้อยเต็มไ