ในขณะที่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของบ้านหลี่กำลังคุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันและคำตำหนิ บนถนนอีกฟากหนึ่งของหมู่บ้านพักคนงาน บรรยากาศกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ยายหลิวพาหลานสาวเดินตรงไปยังร้านอาหารเล็กๆ ตรงหัวมุมถนน ซึ่งเป็นร้านเดียวในละแวกนี้ที่เปิดขายอาหารเช้าให้กับเหล่ากรรมกรที่ไม่สะดวกทำอาหารเอง กลิ่นหอมของซาลาเปานึ่งร้อนๆ และน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวที่เคี่ยวจนได้ที่ลอยมา ชวนให้น้ำลายสอ
"เอาบะหมี่น้ำสองชาม แล้วก็ซาลาเปาไส้หมูอีกสองลูก" ยายหลิวสั่งอาหารกับเถ้าแก่เนี้ยอ ก่อนจะหันมาพูดกับหลานสาวด้วยรอยยิ้ม "ไปหาที่นั่งกันเถอะ"
เสี่ยวเหลียนมองรอยยิ้มที่อ่อนโยนของยาย ในใจก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมาอีกครั้ง ท่านเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ เงินทุกเฟินทุกเหมาล้วนมีค่า แต่เพื่อปลอบขวัญเธอ ท่านกลับยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อความสุขเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ให้เสมอ
ไม่นานนัก บะหมี่ร้อนๆ ในชามกระเบื้องลายครามก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เส้นบะหมี่สีเหลืองนวลเหนียวนุ่มในน้ำซุปกระดูกหมูใสแจ๋ว โรยหน้าด้วยต้นหอมซอยและหมูสามชั้นตุ๋นชิ้นบางๆ สองสามชิ้น มันเป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่สำหรับยุคสมัยที่วัตถุดิบทุกอย่างหาได้ยากลำบากเช่นนี้ มันคืออาหารมื้อพิเศษอย่างแท้จริง
"หยา...อร่อยมากค่ะ" เสี่ยวเหลียนพูดขึ้นหลังจากซดน้ำซุปเข้าไปคำแรก ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ทำให้เรี่ยวแรงที่หายไปเพราะพิษไข้ค่อยๆ กลับคืนมา
"กินเยอะๆ" ยายหลิวยิ้มพอใจ ท่านคีบหมูสามชั้นจากชามของตัวเองใส่ลงในชามของหลานสาว "แกไม่สบาย ต้องบำรุงเยอะๆ"
เสี่ยวเหลียนไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจนั้น เธอกินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย ขณะเดียวกันสายตาก็สอดส่ายมองไปรอบๆ ร้าน สังเกตผู้คนที่เข้ามากินอาหาร ส่วนใหญ่เป็นชายฉกรรจ์ในชุดทำงานโรงงานที่มอมแมม พวกเขากินเร็วและพูดคุยกันเสียงดังถึงเรื่องสัพเพเหระในโรงงาน นี่คือภาพชีวิตจริงของผู้คนในยุคนี้...ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน
"ยายคะ...ของที่นี่แพงไหม" เธอเอ่ยถามขึ้นทำลายความเงียบ
ยายหลิวเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำถามของหลานสาว "ก็ไม่ถูกไม่แพงหรอก บะหมี่ชามนี้ก็ 1 เหมา ซาลาเปาลูกละ 5 เฟิน คนหาเช้ากินค่ำอย่างเรา นานๆ จะกินได้สักที"
1 เหมามี 10 เฟิน เสี่ยวเหลียนคำนวณในใจ เงิน 15 หยวนที่ยายให้บ้านหลี่มันคือเงินจำนวนมหาศาลที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายและความประหยัดอดออมอย่างยิ่งยวด
"แล้วนอกจากทำงานในโรงงาน คนที่นี่เขามีวิธีหาเงินทางอื่นอีกไหมคะ" เธอถามต่อ ความคิดแบบนักธุรกิจจากโลกอนาคตเริ่มทำงาน
"หาเงินทางอื่นเหรอ" ท่านยายหลิวครุ่นคิด "ก็มีบ้าง...บางคนก็รับจ้างเย็บปักผ้า บางคนก็เข้าป่าไปหาของป่ามาขายที่ตลาดเล็กๆ ท้ายหมู่บ้าน แต่ก็ได้เงินไม่มากนักหรอก ส่วนใหญ่ก็ต้องพึ่งพางานในโรงงานกับการปันส่วนจากทางการนั่นแหละ"
การปันส่วน...ใช่แล้ว ยุคนี้ยังมีการใช้คูปองปันส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคอยู่ ทั้งคูปองข้าวสาร คูปองน้ำมันพืช คูปองเนื้อสัตว์ การมีเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีคูปองด้วยถึงจะซื้อของบางอย่างได้ มันคือระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนที่จำกัดทุกสิ่งอย่าง
หลังจากกินมื้อเช้าแล้ว สองยายหลานก็เดินต่อไปยังบ้านของหมอพื้นบ้านที่อยู่ลึกเข้าไปในตัวเมืองเล็กน้อย ระหว่างทาง เสี่ยวเหลียนถือโอกาสสำรวจบ้านเมืองนี้อย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก ถนนหนทางยังไม่ลาดยางเรียบร้อยดีนัก สองข้างทางเต็มไปด้วยอาคารอิฐสีเทาชั้นเดียวหรือสองชั้นที่ดูคล้ายกันไปหมด บนกำแพงมีโปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อสีแดงสดที่ซีดจางไปตามกาลเวลาติดอยู่เป็นระยะ ผู้คนส่วนใหญ่สัญจรไปมาด้วยจักรยานหรือการเดินเท้า นานๆ ครั้งถึงจะมีรถยนต์ของหน่วยงานราชการวิ่งผ่านไปสักคัน
พวกเขาเดินผ่านตลาดเช้าที่มีผู้คนกำลังเดินขวักไขว่ บนแผงไม้เก่าๆ มีผักสดวางขายอยู่ไม่กี่ชนิด เนื้อหมูดูเป็นของหายากและมีราคาแพง มีแผงขายไก่ และปลาจากแม่น้ำที่ยังดิ้นอยู่ในกะละมัง
สายตาของเสี่ยวเหลียนพลันไปสะดุดเข้ากับแผงเล็กๆ ของหญิงชราคนหนึ่งที่วางขายสมุนไพรและเห็ดป่าหน้าตาแปลกๆ น่าจะเก็บมาจากบนภูเขา
"ยายคะ...นั่นคืออะไรเหรอคะ" เธอชี้ไปที่สมุนไพรชนิดหนึ่ง
ยายหลิวซึ่งเติบโตมาจากชนบทมองปราดเดียวก็รู้ทันที "ไหนขอยายดูหน่อย นั่นน่ะต้น 'สือหู' หรือว่านหางจระเข้ภูเขา เป็นยาบำรุงชั้นดีเลยนะ ตากแห้งแล้วเอาไปต้มซุปบำรุงร่างกายได้ดีเลย แต่หาเก็บยาก ต้องปีนขึ้นไปบนหน้าผาสูงๆ ถึงจะเจอ"
เสี่ยวเหลียนพยักหน้ารับช้าๆ ในใจกลับคิดไปอีกเรื่อง ‘ของป่า สมุนไพร ในยุคของเธอ ของพวกนี้ถูกเรียกว่า 'ออร์แกนิก' และมีราคาสูงลิบลิ่ว ความรู้ของยายนี่แหละคืออีกหนึ่งขุมทรัพย์’
เธอเริ่มมองเห็นลู่ทาง...เส้นทางที่จะสร้างอนาคตด้วยสองมือของเธอและยาย มันเป็นภาพที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในความคิดของเธอ
ไม่นานนัก พวกเธอก็มาถึงคลินิกของหมอหลี่ หมอพื้นบ้านชราผมขาวโพลนที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ ภายในคลินิกอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดที่เก็บไว้ในลิ้นชักไม้และโหลกระเบื้องนับร้อย
หมอหลี่ให้เสี่ยวเหลียนนั่งลง ก่อนจะใช้นิ้วมือที่เหี่ยวย่นแต่ยังคงมั่นคงจับชีพจรที่ข้อมือของเธอ เขานั่งหลับตาฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะให้เธอลองแลบลิ้นให้ดู
"อืม" หมอพื้นบ้านลูบเคราสีขาวของตัวเองช้าๆ "ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ร่างกายของเด็กคนนี้แข็งแรงดีมาก ที่ป่วยไปก็เป็นเพราะได้รับความตกใจอย่างรุนแรงจนขวัญหนีดีฝ่อ กอปรกับเจออากาศเย็นและลงน้ำ ทำให้เป็นไข้หวัดลมหนาวเท่านั้นเอง"
คำวินิจฉัยของหมอทำให้ยายหลิวถอนหายใจอย่างโล่งอก
"เดี๋ยวจะจัดยาต้มให้สักสองสามห่อ เอาไปต้มดื่มอีกสักสองวันก็หายแล้วล่ะ ไม่ต้องกังวลไป" หมอหลี่พูดพลางหันไปหยิบเทียบยา
หลังจากจ่ายเงินค่ายาและกล่าวขอบคุณหมอหลี่ว์แล้ว สองยายหลานก็เดินทางกลับบ้านหลี่ ถึงแม้ปากจะบอกว่าไม่กลับไปเหยียบแล้ว แต่เพราะยังไม่มีที่ไป อย่างน้อยก็ต้องกลับไปตั้งหลักก่อน
เมื่อพวกเธอกลับมาถึงบ้านในตอนใกล้เที่ยง บรรยากาศภายในบ้านก็เงียบสงัด คนอื่นคงออกไปทำงานกันหมดแล้ว
ทางด้านหลิวซือหลังจากไปทำงาน ช่วงพักกลางวันก็ถูกหัวหน้าเรียกตัวไปถามเรื่องที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าเธเองก็เตรียมคำพูดเอาไว้แล้วเหมือนกัน
“ตกลงว่า เพราะลูกสาวของเธอคิดถึงบ้าน เลยอยากจะลงไปเล่นน้ำ” หัวหหน้าทวนคำ
“ค่ะ แต่อาจจะเพราะว่ายังเช้าเกินไป กอปรกับแกรีบวิ่งออกจากบ้าน คงะกลัวคนที่บ้านเห็นก็เลยเป็นตะคริวเข้าน่ะค่ะ หัวหน้าก็รู้นี่คะว่าพวกฉันน่ะโตมากับคลองขนส่ง”
“รู้สิ อย่าลืมว่าสามีฉันก็คนบ้านเดียวกันเธอ” หัวหน้าหญิงพยักหน้า เชื่อหมดใจว่าคำพูดของหลิวซือเป็นเรื่องจริง
“แต่ว่าแม่เสี่ยวเฟิน ใครเป็นคนช่วยลูกสาวเธอขึ้นมาจากน้ำเหรอ”
หลิวซือสะดุดกับคำถามนี้ จำได้ว่ามคนไปตามเธอที่บ้าน “ฉันก็จำไม่ค่อยได้ แต่เหมือนว่าจะเป็นคนที่ทำงานกะกลางคืนนะคะ”
“อืม นั่นป้าจาง แกแค่ไปตามเพราะจำได้ว่าเป็นเสี่ยวเหลียน แต่ว่าผู้ชายที่ช่วยลูกสาวของเธอขึ้นมาจากน้ำต่างหากล่ะ คือใคร”
หลิวซือขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเธอะลืมเลือนเหตุการณืนี้ไปเสียสนิท “จริงด้วยค่ะ ฉันก็ไม่ทันได้มองหน้าของเขาชัดๆ” เธอตอบตามความจริง
“หลิวซือเอ๋ย เห็นทีว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆแล้วล่ะ” หัวหน้าหญิงส่าหน้า ถอนหายใจระคนเห็นใจ
หลิวซือได้ยินแล้วก็มีสีหน้าไม่สู้ดี หรือว่าก่อนที่เธอจะไปถึงตัวลูกสาว มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น “ให้ตายเถอะ จ้าวเสี่ยวเหลียน แกจะสร้างปัญหาไปถึงเมื่อไหร่กันนะ”
เธอตำหนิลูกสาวอยู่ในใจ เห็นทีว่ากลับบ้านไปคงมีเรื่องให้คุยกันอีกยาว
เช้าวันถัดมา เสี่ยวเหลียนก็รีบตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะมาช่วยยายหลิวจัดเตรียมของไหว้ ปล่อยให้สามีนอนอยู่บนเตียงเมื่อคืนทั้งเธอและเขาต่างเปิดประสบการณ์และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำแต่ไม่กล้า เรียกได้ว่าอิ่มเอมทั้งสองฝ่าย แต่ต้องมาเสียใจทีหลังเพราะปวดระบมไปทั้งร่าง“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ออกมานอกห้องก็เห็นตะเกียงถูกจุดอยู่“อรุณสวัสดิ์” ยายหลิวทักทายหลานสาว“ทำไมไม่เปิดไฟละค จะเปิดจุดตะเกียงอีกทำไม” ไม่พูดเปล่า แต่ยังเดินไปเปิดไฟในบ้านอีกด้วย“เห็นว่ายังเช้ามืดอยู่ กลัวว่าแสงไปจะเข้าไปในห้องรบกวนการนอนของผู้พัน”“เขาไม่เรื่องมากขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าให้กับความเอาใจใส่ของท่านที่มีต่อหลานเขย“แกน่ะไม่เคยคิดอะไรเผื่อใครต่างหากล่ะ ช่วงที่พวกเราเดินทางมาซูโจวผู้พันแทบไม่ได้พักผ่อนเลยเพราะมัวแต่เฝ้าของ กลับมาเหนื่อยๆ ก็มาเจอเรื่อง
หลังจากที่ซ่งเฉวียพาแม่ของเขากลับไปแล้ว จางเสวี่ยอวี้ก็ตัดสินใจคุยเรื่องนี้กับภรรยาอย่างจริงจัง เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็ไปรวมกับสหายยังจุดนัดพบเนื่องจากว่าเขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อนสหายหลายวัน คำนวณเวลาดูแล้วคงเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน สหายในกองทัพก็น่าจะเดินทางมาถึงยังจุดนัดพบ“วันนี้คุณใจร้อนเกินไปนะครับ” เขาพูดกับคนในอ้อมกอด ตอนนี้เธอกำลังอ้อนเขาเหมือนแมวน้อยก็ไม่ปาน“ฉันรู้ค่ะ แต่บอกตามตรงว่าพอรู้ว่าย่าซ่งถูกทุบตี ภายในใจฉันก็รู้สึกไม่ยินยอม” เธอตอบอย่างเอาแต่ใจ“อืม แค่รอยฟันเด็ก ไม่ได้เหมารวมว่าแม่ของเขาจะเป็นคนทำนะครับ”“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆนะคะ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนั้นด้วย ทั้งยังเป็นใต้ร่มผ้าที่คนอื่นไม่สังเกตเห็นอีกด้วย ถ้าวันนี้เราไม่เห็นหรือเรากลับมาช้ากว่านี้ ท่านจะมีชีรอดจนถึงสิ้นปีหรือเปล่า คนเต็มบ้านทำไมไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ถ้าท่านจะความจำเสื่อมฉันว่าก็
ตอนนี้เวลาหกโมงเย็น คนที่ออกไปหาปลาก็ทยอยกลับเข้าบ้าน รวมถึงคนบ้านซ่งด้วยเหมือนกัน ผู้นำหมู่บ้านกลับเข้าบ้านมาก่อนลูกชายไม่นาน วันนี้ท่านมีประชุมในตัวเมืองเลยกลับถึงบ้านช้ากว่าทุกวัน“แค่คนแก่คนเดียวทำไมคุณถึงดูแลไม่ได้ คนอื่นต้องลงเรือหาปลากันทั้งวัน ตากแดดตากลม นี่ให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลแม่แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้” พี่ใหญ่ซ่งด่ากราด เนื่องจากกลับมาถึงบ้านแล้วภรรยาบอกข่าวร้ายว่าแม่เขาหนีออกจากบ้านอีกแล้ว“ใจเย็นๆ น่าพี่ใหญ่” ซ่งเฉวียน ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ผิวคล้ำเพราะออกเรือหาปลาทุกวันตบไหล่พี่ชาย ด้วยกลัวว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับพี่สะใภ้ใหญ่“แกจะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้ยังไงเจ้าสาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนทำพลาด เดือนนี้กี่ครั้งแล้วที่แม่หายตัวไป”“เอาน่า ลองแยกกันหาดูอีกทีแล้วกันครับ พ่อเอาปลาไปขายให้ส่วนกลางก่อนที่ปลาจะตายแล้วไม่มีราคา” ซ่งเฉวียนบอกกับผู้เป็นพ่อ
ข่าวเรื่องสองยายหลานกลับบ้านมาตอนนี้ดังไปทั่วทั้งหมู่บ้านสายน้ำแล้ว เสี่ยวเหลียนไม่มีเวลาสนทนากับใคร เธอวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน หน้าที่รับแขกเลยเป็นของยายหลิวและหลานเขย“ไอหยา…วาสนาเสี่ยวเหลียนนี่ดีจริงๆ เลยนะ ได้สามีเป็นคนเมือง”“นั่นน่ะสิ แล้วนี่จะกลับมาอยู่ที่นี่กันแล้วเหรอ”“จะเป็นไปได้ยังไง มีผู้ชายที่ไหนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงบ้างล่ะ”“แกลืมไปหรือเปล่า ก็ลูกสาวนางหลิวไง แม่เสี่ยวเหลียนก็แต่งพ่อเสี่ยวเหลียนเข้าบ้านมาไม่ใช่เหรอ”“ฮ่าๆ จริงสิเนอะ เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย”แต่แล้วรองเท้าจากที่ไหนไม่รู้ลอยมากลางวงสนทนา จางเสวี่ยอวี้ปฏิกิริยาเร็ว เขาใช้ถาดขึ้นมากันเอาไว้ ไม่ให้ยายหลิวถูกลูกหลง กลายเป็นว่ารองเท้ากระทบกับถาด ลอยไปฟาดปากคนที่หัวเราะอย่าพอเหมาะพอเจาะจนหุบปากไม่ทัน
ยายหลิวพอรู้ว่าหลานสาวและหลานเขยจะไปส่งที่ซูโจวก็ทั้งดีใจและเกรงใจ ดีใจที่จะได้พาหลานสาวกลับไปไหว้ บอกกล่าวบรรพบุรุษตระกูลหลิว และเกรงใจหลานเขย เพิ่งกลับมาจากทำงานต่างเมืองแท้ๆ ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยก็ต้องออกเดินทางอีกแล้ว“ลำบากหลานเขยแล้ว” ยายหลิวพูดขึ้น ขณะที่หลานเขยช่วยท่านยกกระเป๋าขึ้นไปบนรถไฟ“ไม่เป็นไรครับ”จางเสวี่ยอวี้ยิ้มรับ วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคืนได้ปลดปล่อยเต็มที่หลังจากที่กักเก็บลูกๆ มานาน ต่างจากจ้าวเสี่ยวเหลียนที่แทบไม่อยากจะขยับตัว“ของีบหน่อยนะคะ” ขึ้นบนรถไฟได้ เธอก็หลับมาตลอดทางยายหลิวส่ายหน้าให้กับความขี้เซาของหลานสาว แต่เพราะเธอเป็นคนเมารถ ท่านเลยเข้าใจปว่าหลานสาวน่าจะเมารถไฟด้วยเหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเมาอย่างอื่นที่สามีมอบให้ต่างหากล่ะตลอดการเดินทาง จางเสวี่ยอวี้ดูแลสองยายหลานเป็นอย่างดี จองตั๋วนอนให้จะได้โดยสารสะดวก ทั้งยังเป็นคนดูแลความเรียบร้อย เรียกได้ว่ามีเขาอยู่ ยายหลิวสบายตลอดทั้งทางใช้เวลาเดินทางห้าวันก็มาถึงซูโจว ชายหนุ่มมองไปรอบๆ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ เนื่องจากมีคลองขนส่งตลอดทั้งเส้นทาง ผู้คนสัญจรทางเรือมากกว
จ้าวเสี่ยวเหลียนยื้อให้ยายอยู่ด้วยกันจนกระทั่งถึงเดือนกันยายน อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย ถึงเวลาที่ท่านจะต้องกลับซูโจวแล้วจริงๆ“ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยละคะ รอให้ถึงวันชาติฉันกับพี่เสวี่ยอวี้จะได้ไปส่งยายได้” หญิงสาวต่อรอง“กลับวันนี้หรือวันไหนก็เหมือนกัน จะยื้อต่อไปอีกทำไม” ยายหลิวส่ายหน้า มือก็สาละวนอยู่กับการจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางช่วงหลังแต่งงานเธอไม่ได้กลับบ้านเพื่อไปไหว้ครอบครัวเดิม เพราะครอบครัวของเธอก็คือยายหลิว ในเมื่อยายอยู่กับตัวเองที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องกลับส่วนหลิวซือเองก็ได้ติดอะไร ด้วยรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวเลือกอยู่ข้างใคร และเธอเองก็ถือว่าตัวเองทำหน้าที่แม่ได้อย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวขึ้นเรือลำเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วเรียบร้อยจะว่าไปจ้าวเสี่ยวเหลียนเองก็ถือว่าโชคดีกว่ามาก แม้ว่าแรกเริ่มจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่หลังจากเลือกที่จะตกลงปลงใจกับจางเสวี่ยอวี้แล้ว ชีวิตของเธอเรียกได้ว่าเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขณะที่สองยายหลานคุยกันอยู่นั้น จางเสวี่ยอวี้ก็กลับมาจากปฏิบัติงานนอกพื้นที่พอดี ที่ยายหลิวยอมใจอ่อนอยู่ต่อนานนับเดือนขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนหลานสาว