Share

10

Penulis: Scince
last update Terakhir Diperbarui: 2025-08-09 22:47:35

ในขณะที่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของบ้านหลี่กำลังคุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันและคำตำหนิ บนถนนอีกฟากหนึ่งของหมู่บ้านพักคนงาน บรรยากาศกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ยายหลิวพาหลานสาวเดินตรงไปยังร้านอาหารเล็กๆ ตรงหัวมุมถนน ซึ่งเป็นร้านเดียวในละแวกนี้ที่เปิดขายอาหารเช้าให้กับเหล่ากรรมกรที่ไม่สะดวกทำอาหารเอง กลิ่นหอมของซาลาเปานึ่งร้อนๆ และน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวที่เคี่ยวจนได้ที่ลอยมา ชวนให้น้ำลายสอ

"เอาบะหมี่น้ำสองชาม แล้วก็ซาลาเปาไส้หมูอีกสองลูก" ยายหลิวสั่งอาหารกับเถ้าแก่เนี้ยอ ก่อนจะหันมาพูดกับหลานสาวด้วยรอยยิ้ม "ไปหาที่นั่งกันเถอะ"

เสี่ยวเหลียนมองรอยยิ้มที่อ่อนโยนของยาย ในใจก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมาอีกครั้ง ท่านเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ เงินทุกเฟินทุกเหมาล้วนมีค่า แต่เพื่อปลอบขวัญเธอ ท่านกลับยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อความสุขเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ให้เสมอ

ไม่นานนัก บะหมี่ร้อนๆ ในชามกระเบื้องลายครามก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เส้นบะหมี่สีเหลืองนวลเหนียวนุ่มในน้ำซุปกระดูกหมูใสแจ๋ว โรยหน้าด้วยต้นหอมซอยและหมูสามชั้นตุ๋นชิ้นบางๆ สองสามชิ้น มันเป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่สำหรับยุคสมัยที่วัตถุดิบทุกอย่างหาได้ยากลำบากเช่นนี้ มันคืออาหารมื้อพิเศษอย่างแท้จริง

"หยา...อร่อยมากค่ะ" เสี่ยวเหลียนพูดขึ้นหลังจากซดน้ำซุปเข้าไปคำแรก ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ทำให้เรี่ยวแรงที่หายไปเพราะพิษไข้ค่อยๆ กลับคืนมา

"กินเยอะๆ" ยายหลิวยิ้มพอใจ ท่านคีบหมูสามชั้นจากชามของตัวเองใส่ลงในชามของหลานสาว "แกไม่สบาย ต้องบำรุงเยอะๆ"

เสี่ยวเหลียนไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจนั้น เธอกินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย ขณะเดียวกันสายตาก็สอดส่ายมองไปรอบๆ ร้าน สังเกตผู้คนที่เข้ามากินอาหาร ส่วนใหญ่เป็นชายฉกรรจ์ในชุดทำงานโรงงานที่มอมแมม พวกเขากินเร็วและพูดคุยกันเสียงดังถึงเรื่องสัพเพเหระในโรงงาน นี่คือภาพชีวิตจริงของผู้คนในยุคนี้...ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน

"ยายคะ...ของที่นี่แพงไหม" เธอเอ่ยถามขึ้นทำลายความเงียบ

ยายหลิวเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำถามของหลานสาว "ก็ไม่ถูกไม่แพงหรอก บะหมี่ชามนี้ก็ 1 เหมา ซาลาเปาลูกละ  5 เฟิน คนหาเช้ากินค่ำอย่างเรา นานๆ จะกินได้สักที"

1 เหมามี 10 เฟิน เสี่ยวเหลียนคำนวณในใจ เงิน 15 หยวนที่ยายให้บ้านหลี่มันคือเงินจำนวนมหาศาลที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายและความประหยัดอดออมอย่างยิ่งยวด

"แล้วนอกจากทำงานในโรงงาน คนที่นี่เขามีวิธีหาเงินทางอื่นอีกไหมคะ" เธอถามต่อ ความคิดแบบนักธุรกิจจากโลกอนาคตเริ่มทำงาน

"หาเงินทางอื่นเหรอ" ท่านยายหลิวครุ่นคิด "ก็มีบ้าง...บางคนก็รับจ้างเย็บปักผ้า บางคนก็เข้าป่าไปหาของป่ามาขายที่ตลาดเล็กๆ ท้ายหมู่บ้าน แต่ก็ได้เงินไม่มากนักหรอก ส่วนใหญ่ก็ต้องพึ่งพางานในโรงงานกับการปันส่วนจากทางการนั่นแหละ"

การปันส่วน...ใช่แล้ว ยุคนี้ยังมีการใช้คูปองปันส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคอยู่ ทั้งคูปองข้าวสาร คูปองน้ำมันพืช คูปองเนื้อสัตว์ การมีเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีคูปองด้วยถึงจะซื้อของบางอย่างได้ มันคือระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนที่จำกัดทุกสิ่งอย่าง

หลังจากกินมื้อเช้าแล้ว สองยายหลานก็เดินต่อไปยังบ้านของหมอพื้นบ้านที่อยู่ลึกเข้าไปในตัวเมืองเล็กน้อย ระหว่างทาง เสี่ยวเหลียนถือโอกาสสำรวจบ้านเมืองนี้อย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก ถนนหนทางยังไม่ลาดยางเรียบร้อยดีนัก สองข้างทางเต็มไปด้วยอาคารอิฐสีเทาชั้นเดียวหรือสองชั้นที่ดูคล้ายกันไปหมด บนกำแพงมีโปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อสีแดงสดที่ซีดจางไปตามกาลเวลาติดอยู่เป็นระยะ ผู้คนส่วนใหญ่สัญจรไปมาด้วยจักรยานหรือการเดินเท้า นานๆ ครั้งถึงจะมีรถยนต์ของหน่วยงานราชการวิ่งผ่านไปสักคัน

พวกเขาเดินผ่านตลาดเช้าที่มีผู้คนกำลังเดินขวักไขว่ บนแผงไม้เก่าๆ มีผักสดวางขายอยู่ไม่กี่ชนิด เนื้อหมูดูเป็นของหายากและมีราคาแพง มีแผงขายไก่ และปลาจากแม่น้ำที่ยังดิ้นอยู่ในกะละมัง

สายตาของเสี่ยวเหลียนพลันไปสะดุดเข้ากับแผงเล็กๆ ของหญิงชราคนหนึ่งที่วางขายสมุนไพรและเห็ดป่าหน้าตาแปลกๆ น่าจะเก็บมาจากบนภูเขา

"ยายคะ...นั่นคืออะไรเหรอคะ" เธอชี้ไปที่สมุนไพรชนิดหนึ่ง

ยายหลิวซึ่งเติบโตมาจากชนบทมองปราดเดียวก็รู้ทันที "ไหนขอยายดูหน่อย นั่นน่ะต้น 'สือหู' หรือว่านหางจระเข้ภูเขา เป็นยาบำรุงชั้นดีเลยนะ ตากแห้งแล้วเอาไปต้มซุปบำรุงร่างกายได้ดีเลย แต่หาเก็บยาก ต้องปีนขึ้นไปบนหน้าผาสูงๆ ถึงจะเจอ"

เสี่ยวเหลียนพยักหน้ารับช้าๆ ในใจกลับคิดไปอีกเรื่อง ‘ของป่า สมุนไพร ในยุคของเธอ ของพวกนี้ถูกเรียกว่า 'ออร์แกนิก' และมีราคาสูงลิบลิ่ว ความรู้ของยายนี่แหละคืออีกหนึ่งขุมทรัพย์’

เธอเริ่มมองเห็นลู่ทาง...เส้นทางที่จะสร้างอนาคตด้วยสองมือของเธอและยาย มันเป็นภาพที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในความคิดของเธอ

ไม่นานนัก พวกเธอก็มาถึงคลินิกของหมอหลี่ หมอพื้นบ้านชราผมขาวโพลนที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ ภายในคลินิกอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดที่เก็บไว้ในลิ้นชักไม้และโหลกระเบื้องนับร้อย

หมอหลี่ให้เสี่ยวเหลียนนั่งลง ก่อนจะใช้นิ้วมือที่เหี่ยวย่นแต่ยังคงมั่นคงจับชีพจรที่ข้อมือของเธอ เขานั่งหลับตาฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะให้เธอลองแลบลิ้นให้ดู

"อืม" หมอพื้นบ้านลูบเคราสีขาวของตัวเองช้าๆ "ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ร่างกายของเด็กคนนี้แข็งแรงดีมาก ที่ป่วยไปก็เป็นเพราะได้รับความตกใจอย่างรุนแรงจนขวัญหนีดีฝ่อ กอปรกับเจออากาศเย็นและลงน้ำ ทำให้เป็นไข้หวัดลมหนาวเท่านั้นเอง"

คำวินิจฉัยของหมอทำให้ยายหลิวถอนหายใจอย่างโล่งอก

"เดี๋ยวจะจัดยาต้มให้สักสองสามห่อ เอาไปต้มดื่มอีกสักสองวันก็หายแล้วล่ะ ไม่ต้องกังวลไป" หมอหลี่พูดพลางหันไปหยิบเทียบยา

หลังจากจ่ายเงินค่ายาและกล่าวขอบคุณหมอหลี่ว์แล้ว สองยายหลานก็เดินทางกลับบ้านหลี่ ถึงแม้ปากจะบอกว่าไม่กลับไปเหยียบแล้ว แต่เพราะยังไม่มีที่ไป อย่างน้อยก็ต้องกลับไปตั้งหลักก่อน

เมื่อพวกเธอกลับมาถึงบ้านในตอนใกล้เที่ยง บรรยากาศภายในบ้านก็เงียบสงัด คนอื่นคงออกไปทำงานกันหมดแล้ว 

ทางด้านหลิวซือหลังจากไปทำงาน ช่วงพักกลางวันก็ถูกหัวหน้าเรียกตัวไปถามเรื่องที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าเธเองก็เตรียมคำพูดเอาไว้แล้วเหมือนกัน

“ตกลงว่า เพราะลูกสาวของเธอคิดถึงบ้าน เลยอยากจะลงไปเล่นน้ำ” หัวหหน้าทวนคำ

“ค่ะ แต่อาจจะเพราะว่ายังเช้าเกินไป กอปรกับแกรีบวิ่งออกจากบ้าน คงะกลัวคนที่บ้านเห็นก็เลยเป็นตะคริวเข้าน่ะค่ะ หัวหน้าก็รู้นี่คะว่าพวกฉันน่ะโตมากับคลองขนส่ง”

“รู้สิ อย่าลืมว่าสามีฉันก็คนบ้านเดียวกันเธอ” หัวหน้าหญิงพยักหน้า เชื่อหมดใจว่าคำพูดของหลิวซือเป็นเรื่องจริง

“แต่ว่าแม่เสี่ยวเฟิน ใครเป็นคนช่วยลูกสาวเธอขึ้นมาจากน้ำเหรอ”

หลิวซือสะดุดกับคำถามนี้ จำได้ว่ามคนไปตามเธอที่บ้าน “ฉันก็จำไม่ค่อยได้ แต่เหมือนว่าจะเป็นคนที่ทำงานกะกลางคืนนะคะ”

“อืม นั่นป้าจาง แกแค่ไปตามเพราะจำได้ว่าเป็นเสี่ยวเหลียน แต่ว่าผู้ชายที่ช่วยลูกสาวของเธอขึ้นมาจากน้ำต่างหากล่ะ คือใคร”

หลิวซือขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเธอะลืมเลือนเหตุการณืนี้ไปเสียสนิท “จริงด้วยค่ะ ฉันก็ไม่ทันได้มองหน้าของเขาชัดๆ” เธอตอบตามความจริง

“หลิวซือเอ๋ย เห็นทีว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆแล้วล่ะ” หัวหน้าหญิงส่าหน้า ถอนหายใจระคนเห็นใจ

หลิวซือได้ยินแล้วก็มีสีหน้าไม่สู้ดี หรือว่าก่อนที่เธอจะไปถึงตัวลูกสาว มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น “ให้ตายเถอะ จ้าวเสี่ยวเหลียน แกจะสร้างปัญหาไปถึงเมื่อไหร่กันนะ” 

เธอตำหนิลูกสาวอยู่ในใจ เห็นทีว่ากลับบ้านไปคงมีเรื่องให้คุยกันอีกยาว

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   120

    ช่วงดึกวันเดียวกันนั้น พ่อจางสังเกตเห็นความผิดปกติของภรรยา อยู่กินมานานเกือบสามสิบปี แค่อ้าปากก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร“มีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้หรือเปล่าครับ” พ่อจางกอดภรรยาจากทางด้านหลัง มั่นใจว่าคนข้างๆ ยังไม่นอน“…." มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา“วันนี้เจ้าลูกชายตัวดีมาคุยกับผม เรื่องที่ขอยืดเวลาให้กวงเอ๋อร์อยู่ที่นี่ก่อน ทางผมไม่ติดอะไรนะถ้าคุณจะอยู่กับหลานต่อ”“ฉันจะกลับบ้านค่ะ ถ้าพวกเขาไม่ยอมให้ฉันเอาหลานกลับ ก็ให้พวกเขาเลี้ยงกันเอง ฉันจะไม่ยุ่งแล้ว” แม่จางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงน้อยใจ“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ถ้าคุณอยากจะกลับเพราะคิดถึงผมก็แล้วไปเถอะ แต่อย่ากลับเพียงเพราะอยากประชดลูกเลย เสวี่ยอวี้อาจจะไม่เป็นไร แต่อย่าทำให้ลูกสะใภ้ลำบากใจ ได้ยินว่าเธอยินดีที่ให้กวงเอ๋อร์ไปชิงเต่า แต่เจ้าลูกชายตัวดีไม่ยอม” พ่อจางรับหน้าที่เป็นคนกลา

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   119

    สิงหาคม 1980ครบกำหนดที่จางเหยากวงต้องกลับไปชิงเต่ากับคุณย่าของเขาแล้ว เจ้าอ้วนยังไม่รู้ชะตากรรมว่าต่อไปตัวเองจะต้องอยู่ห่างจากพ่อแม่ ตอนนี้สองพ่่อลูกกำลังเล่นของเล่นบนเตียงกันอยู่“ผมจำได้ว่าเครื่องบินของกวงเอ๋อร์มีเยอะกว่านี้ไม่ใช่เหรอครับ” สองพ่อลูกชอบเล่นเครื่องบิน ก่อนนอนทุกคืนเขาจะต้องได้เล่นเครื่องบินกับพ่อก่อน แล้วค่อยให้ย่าจางพาไปนอน“ฉันเก็บลงกล่องบางส่วนแล้วละค่ะ” พูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็รู้สึกจุกที่ลำคอทุกทีจางเสวี่ยอวี้ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจ ให้ลูกชายเล่นเครื่องบินไปก่อน แล้วหันมาปลอบแม่ของลูกแทน “ถ้าอย่างนั้นไม่สู้เราคุยกับแม่ให้ท่านกลับไปชิงเต่าก่อนดีหรือเปล่าครับ ผมจะจ้างพี่เลี้ยงมาอยู่ประจำ คุณยายท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเกินไป”ตอนนี้แม้ว่าที่บ้านของเขาจะมีแม่บ้าน แต่ทำงานเช้าเย็นก็กลับ หน้าที่เลี้ยงหลานเป็นของยายทวดและคุณย่า เขารู้ดีว่าพวกท

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   118

    จ้าวเสี่ยวเหลียนยุ่งอยู่กับการเลี้ยงลูกและเรียน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมใส่ใจน้องสาว ตอนนี้หลี่เฟินสอบเข้ามหาวิทยาลัยมณฑลได้แล้ว เดิมทีแม่หลิวอยากให้มาอยู่กับพี่สาว จะช่วยเลี้ยงหลาน แต่เพราะมหาวิทยาลัยกับค่ายทหารอยู่ไกลกันเดินทางลำบาก เสี่ยวเหลียนเลยเลือกให้น้องสาวอยู่หอพักแทน วันหยุดถึงมาหลานสาว“ไอหยา…ตัวหนักกว่าครั้งที่แล้วอีกนะ” น้าสาวยิ้มกว้างเมื่อได้อุ้มหลานชายวัยสี่เดือน ตอนนี้เขาใส่เสื้อผ้าของเด็กหนึ่งขวบไปแล้วเรียบร้อย“เขาห้ามทักว่าเด็กอ้วนเดี๋ยวจะป่วย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” ยายหลิวดุหลานสาว“จริงเหรอคะ เสี่ยวกวงของเราไม่อ้วนเลย ออกจะผอมไปด้วยซ้ำ ต้องกินเยอะๆ นะ” พอรู้ว่าหลานชายจะป่วยเพราะคำพูดของตัวเอง น้าสาวก็กลับคำเสียอย่างนั้นเสี่ยวเหลียนได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า “เด็กคนหนึ่งจะป่วยก็คงไม่เกี่ยวกับคำพูดหรอก เป็นเพราะสภาพแวดล้อมแล้วก็สิ่งที่เขากินเข้าไปมากกว่า เจ็บป

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   117

    จ้าวเสี่ยวเหลียนอยู่โรงพยาบาล 3 วัน ถ้าเป็นคนอื่นคงออกตั้งแต่สองวันแรก แต่เพราะเป็นภรรยาของท่านนายพล เขาอยากมั่นใจก่อนว่าภรรยาและลูกปลอดภัย พ่อจางกับแม่จางมาถึงวันที่เสี่ยวเหลียนออกจากโรงพยาบาลพอดี จางเสวี่ยอวี้ตั้งชื่อลูกชายา จางเหยากวง“ไอหยา…เพิ่งคุยกันไม่กี่วันก่อนแท้ๆ หลานย่าก็รีบออกมาเสียแล้ว ไม่รอย่าเลย” ตอนนี้คุณแม่จางกำลังอุ้มหลายชายตัวอ้วนของท่านอยู่รีบอะไรกันละคะ ความจริงต้องออกตั้นแต่ช่วงต้นเดือนเสียด้วยซ้ำ อีกสองสัปดาห์ก้จะเปิดเทอมแล้ว ม่านม่านจะพักฟื้นทันหรือเปล่า" แม่หลิวมองหน้าลูกสาวที่กำลังอยู่เดือนด้วยความเป็นห่วง“นั่นสิ แล้วเรื่องอยู่เดือนจะทำยังไง” แม่จางถาม“สัปดาห์แรกน่าจะยังไม่มีอะไรหรอกค่ะ ยังไม่ต้องไปก็ได้ แต่หลังจากนั้นยังไงก็ต้องไปเพราะขึ้นปีสามแล้ว เนื้อหาเฉพาะมากขึ้น”“ไม่สู้ให้แม่พากวงเอ๋อร์กลับชิงเต่า พวกลูกจะไ

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   116

    จางเสวี่ยอวี้ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาเห็นของเหลวกำลังไหลออกมาจากร่างกายของภรรยา ก่อนหน้านี้เธอมีอาการเจ็บท้องอยู่หลายครั้ง แต่พอเกิดขึ้นจริงเขากลับทำอะไรไม่ถูก“จางเสวี่ยอวี้ เอาของที่เตรียมไว้ไปใส่รถเร็วเข้า” ในจิตสำนึกของเธอแล้ว ตัวเองอายุเท่ากันกับสามี พอน้ำคร่ำแตก อาการเจ็บท้องคลอดของเธอก็ถี่ขึ้น จนเหงื่อท่วมตัวว่าที่คุณพ่อมือใหม่สะดุ้งกับคำสั่งของภรรยา “ได้” เขารีบเดินไปหิ้วกระเป๋าที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้นานแล้วขึ้นรถ ไม่นานก็กลับเข้ามาอุ้มภรรยาไปโรงพยาบาล“ไม่ต้องกลัวนะ ทำใจให้สบาย” ยายหลิวจับมือปลอบใจหลานสาวตลอดทาง โชคดีที่บ้านพักกับโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลกันมาก ใช้เวลาเดินทางแค่ 5 นาทีก็มาถึงโรงพยาบาลตอนนี้เสี่ยวเหลียนถูกเข็นไปยังห้องคลอด จางเสวี่ยอวี้เดินไปตามหวังหว่านอินที่ห้องตรวจด้วยตัวเอง ทำเอาคนไข้แตกตื่นไปตามๆ กัน“นายใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้เธอ

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   115

    กุมภาพันธ์ 1980ปิดเทอมฤดูหนาวเสี่ยวเหลียนไม่ได้กลับชิงเต่า เพราะจางเสวี่ยอวี้ไม่อยากให้เธอต้องเดินทางไกลช่วงที่หิมะตกหนัก“เข้าใจแล้วค่ะ วางแล้วนะคะ”“ใครโทรมาครับ” จางเสวี่ยอวี้เดินเข้ามาโอบเอวของภรรยา มือหนาลูบหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมานิดๆ ของภรรยา“แม่น่ะค่ะ โทรมากำชับ บอกว่าปิดเทอมนี้ไม่ต้องกลับบ้าน” เธอยิ้มตอบสามี รู้สึกดีทุกครั้งที่เขาลูบท้องลูกของพวกเธอ“ผมทำเรื่องขอย้ายไปอยู่บ้านเป็นหลังแล้ว คิดว่าสะดวกกว่าอยู่บนอาคาร”“ทำไมละคะ” เธอคิดว่าอยู่บนอาคารก็สะดวกดี ฤดูหนาวไม่ต้องคอยมากวาดหิมะบนหลังคา ติดแค่พื้นที่แคบไปสักหน่อยก็เท่านั้น“อยู่บ้านเป็นหลังดีกว่า อีกหน่อยคุณยายก็ต้องมาช่วยดูแลคุณ ท่านจะได้ไม่อึดอัดที่อยู่แต่บนอาคารอย่างเดียว”

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status