ในขณะที่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของบ้านหลี่กำลังคุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันและคำตำหนิ บนถนนอีกฟากหนึ่งของหมู่บ้านพักคนงาน บรรยากาศกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ยายหลิวพาหลานสาวเดินตรงไปยังร้านอาหารเล็กๆ ตรงหัวมุมถนน ซึ่งเป็นร้านเดียวในละแวกนี้ที่เปิดขายอาหารเช้าให้กับเหล่ากรรมกรที่ไม่สะดวกทำอาหารเอง กลิ่นหอมของซาลาเปานึ่งร้อนๆ และน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวที่เคี่ยวจนได้ที่ลอยมา ชวนให้น้ำลายสอ
"เอาบะหมี่น้ำสองชาม แล้วก็ซาลาเปาไส้หมูอีกสองลูก" ยายหลิวสั่งอาหารกับเถ้าแก่เนี้ยอ ก่อนจะหันมาพูดกับหลานสาวด้วยรอยยิ้ม "ไปหาที่นั่งกันเถอะ"
เสี่ยวเหลียนมองรอยยิ้มที่อ่อนโยนของยาย ในใจก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมาอีกครั้ง ท่านเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ เงินทุกเฟินทุกเหมาล้วนมีค่า แต่เพื่อปลอบขวัญเธอ ท่านกลับยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อความสุขเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ให้เสมอ
ไม่นานนัก บะหมี่ร้อนๆ ในชามกระเบื้องลายครามก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เส้นบะหมี่สีเหลืองนวลเหนียวนุ่มในน้ำซุปกระดูกหมูใสแจ๋ว โรยหน้าด้วยต้นหอมซอยและหมูสามชั้นตุ๋นชิ้นบางๆ สองสามชิ้น มันเป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่สำหรับยุคสมัยที่วัตถุดิบทุกอย่างหาได้ยากลำบากเช่นนี้ มันคืออาหารมื้อพิเศษอย่างแท้จริง
"หยา...อร่อยมากค่ะ" เสี่ยวเหลียนพูดขึ้นหลังจากซดน้ำซุปเข้าไปคำแรก ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ทำให้เรี่ยวแรงที่หายไปเพราะพิษไข้ค่อยๆ กลับคืนมา
"กินเยอะๆ" ยายหลิวยิ้มพอใจ ท่านคีบหมูสามชั้นจากชามของตัวเองใส่ลงในชามของหลานสาว "แกไม่สบาย ต้องบำรุงเยอะๆ"
เสี่ยวเหลียนไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจนั้น เธอกินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย ขณะเดียวกันสายตาก็สอดส่ายมองไปรอบๆ ร้าน สังเกตผู้คนที่เข้ามากินอาหาร ส่วนใหญ่เป็นชายฉกรรจ์ในชุดทำงานโรงงานที่มอมแมม พวกเขากินเร็วและพูดคุยกันเสียงดังถึงเรื่องสัพเพเหระในโรงงาน นี่คือภาพชีวิตจริงของผู้คนในยุคนี้...ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน
"ยายคะ...ของที่นี่แพงไหม" เธอเอ่ยถามขึ้นทำลายความเงียบ
ยายหลิวเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำถามของหลานสาว "ก็ไม่ถูกไม่แพงหรอก บะหมี่ชามนี้ก็ 1 เหมา ซาลาเปาลูกละ 5 เฟิน คนหาเช้ากินค่ำอย่างเรา นานๆ จะกินได้สักที"
1 เหมามี 10 เฟิน เสี่ยวเหลียนคำนวณในใจ เงิน 15 หยวนที่ยายให้บ้านหลี่มันคือเงินจำนวนมหาศาลที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายและความประหยัดอดออมอย่างยิ่งยวด
"แล้วนอกจากทำงานในโรงงาน คนที่นี่เขามีวิธีหาเงินทางอื่นอีกไหมคะ" เธอถามต่อ ความคิดแบบนักธุรกิจจากโลกอนาคตเริ่มทำงาน
"หาเงินทางอื่นเหรอ" ท่านยายหลิวครุ่นคิด "ก็มีบ้าง...บางคนก็รับจ้างเย็บปักผ้า บางคนก็เข้าป่าไปหาของป่ามาขายที่ตลาดเล็กๆ ท้ายหมู่บ้าน แต่ก็ได้เงินไม่มากนักหรอก ส่วนใหญ่ก็ต้องพึ่งพางานในโรงงานกับการปันส่วนจากทางการนั่นแหละ"
การปันส่วน...ใช่แล้ว ยุคนี้ยังมีการใช้คูปองปันส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคอยู่ ทั้งคูปองข้าวสาร คูปองน้ำมันพืช คูปองเนื้อสัตว์ การมีเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีคูปองด้วยถึงจะซื้อของบางอย่างได้ มันคือระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนที่จำกัดทุกสิ่งอย่าง
หลังจากกินมื้อเช้าแล้ว สองยายหลานก็เดินต่อไปยังบ้านของหมอพื้นบ้านที่อยู่ลึกเข้าไปในตัวเมืองเล็กน้อย ระหว่างทาง เสี่ยวเหลียนถือโอกาสสำรวจบ้านเมืองนี้อย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก ถนนหนทางยังไม่ลาดยางเรียบร้อยดีนัก สองข้างทางเต็มไปด้วยอาคารอิฐสีเทาชั้นเดียวหรือสองชั้นที่ดูคล้ายกันไปหมด บนกำแพงมีโปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อสีแดงสดที่ซีดจางไปตามกาลเวลาติดอยู่เป็นระยะ ผู้คนส่วนใหญ่สัญจรไปมาด้วยจักรยานหรือการเดินเท้า นานๆ ครั้งถึงจะมีรถยนต์ของหน่วยงานราชการวิ่งผ่านไปสักคัน
พวกเขาเดินผ่านตลาดเช้าที่มีผู้คนกำลังเดินขวักไขว่ บนแผงไม้เก่าๆ มีผักสดวางขายอยู่ไม่กี่ชนิด เนื้อหมูดูเป็นของหายากและมีราคาแพง มีแผงขายไก่ และปลาจากแม่น้ำที่ยังดิ้นอยู่ในกะละมัง
สายตาของเสี่ยวเหลียนพลันไปสะดุดเข้ากับแผงเล็กๆ ของหญิงชราคนหนึ่งที่วางขายสมุนไพรและเห็ดป่าหน้าตาแปลกๆ น่าจะเก็บมาจากบนภูเขา
"ยายคะ...นั่นคืออะไรเหรอคะ" เธอชี้ไปที่สมุนไพรชนิดหนึ่ง
ยายหลิวซึ่งเติบโตมาจากชนบทมองปราดเดียวก็รู้ทันที "ไหนขอยายดูหน่อย นั่นน่ะต้น 'สือหู' หรือว่านหางจระเข้ภูเขา เป็นยาบำรุงชั้นดีเลยนะ ตากแห้งแล้วเอาไปต้มซุปบำรุงร่างกายได้ดีเลย แต่หาเก็บยาก ต้องปีนขึ้นไปบนหน้าผาสูงๆ ถึงจะเจอ"
เสี่ยวเหลียนพยักหน้ารับช้าๆ ในใจกลับคิดไปอีกเรื่อง ‘ของป่า สมุนไพร ในยุคของเธอ ของพวกนี้ถูกเรียกว่า 'ออร์แกนิก' และมีราคาสูงลิบลิ่ว ความรู้ของยายนี่แหละคืออีกหนึ่งขุมทรัพย์’
เธอเริ่มมองเห็นลู่ทาง...เส้นทางที่จะสร้างอนาคตด้วยสองมือของเธอและยาย มันเป็นภาพที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในความคิดของเธอ
ไม่นานนัก พวกเธอก็มาถึงคลินิกของหมอหลี่ หมอพื้นบ้านชราผมขาวโพลนที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ ภายในคลินิกอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดที่เก็บไว้ในลิ้นชักไม้และโหลกระเบื้องนับร้อย
หมอหลี่ให้เสี่ยวเหลียนนั่งลง ก่อนจะใช้นิ้วมือที่เหี่ยวย่นแต่ยังคงมั่นคงจับชีพจรที่ข้อมือของเธอ เขานั่งหลับตาฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะให้เธอลองแลบลิ้นให้ดู
"อืม" หมอพื้นบ้านลูบเคราสีขาวของตัวเองช้าๆ "ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ร่างกายของเด็กคนนี้แข็งแรงดีมาก ที่ป่วยไปก็เป็นเพราะได้รับความตกใจอย่างรุนแรงจนขวัญหนีดีฝ่อ กอปรกับเจออากาศเย็นและลงน้ำ ทำให้เป็นไข้หวัดลมหนาวเท่านั้นเอง"
คำวินิจฉัยของหมอทำให้ยายหลิวถอนหายใจอย่างโล่งอก
"เดี๋ยวจะจัดยาต้มให้สักสองสามห่อ เอาไปต้มดื่มอีกสักสองวันก็หายแล้วล่ะ ไม่ต้องกังวลไป" หมอหลี่พูดพลางหันไปหยิบเทียบยา
หลังจากจ่ายเงินค่ายาและกล่าวขอบคุณหมอหลี่ว์แล้ว สองยายหลานก็เดินทางกลับบ้านหลี่ ถึงแม้ปากจะบอกว่าไม่กลับไปเหยียบแล้ว แต่เพราะยังไม่มีที่ไป อย่างน้อยก็ต้องกลับไปตั้งหลักก่อน
เมื่อพวกเธอกลับมาถึงบ้านในตอนใกล้เที่ยง บรรยากาศภายในบ้านก็เงียบสงัด คนอื่นคงออกไปทำงานกันหมดแล้ว
ทางด้านหลิวซือหลังจากไปทำงาน ช่วงพักกลางวันก็ถูกหัวหน้าเรียกตัวไปถามเรื่องที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าเธเองก็เตรียมคำพูดเอาไว้แล้วเหมือนกัน
“ตกลงว่า เพราะลูกสาวของเธอคิดถึงบ้าน เลยอยากจะลงไปเล่นน้ำ” หัวหหน้าทวนคำ
“ค่ะ แต่อาจจะเพราะว่ายังเช้าเกินไป กอปรกับแกรีบวิ่งออกจากบ้าน คงะกลัวคนที่บ้านเห็นก็เลยเป็นตะคริวเข้าน่ะค่ะ หัวหน้าก็รู้นี่คะว่าพวกฉันน่ะโตมากับคลองขนส่ง”
“รู้สิ อย่าลืมว่าสามีฉันก็คนบ้านเดียวกันเธอ” หัวหน้าหญิงพยักหน้า เชื่อหมดใจว่าคำพูดของหลิวซือเป็นเรื่องจริง
“แต่ว่าแม่เสี่ยวเฟิน ใครเป็นคนช่วยลูกสาวเธอขึ้นมาจากน้ำเหรอ”
หลิวซือสะดุดกับคำถามนี้ จำได้ว่ามคนไปตามเธอที่บ้าน “ฉันก็จำไม่ค่อยได้ แต่เหมือนว่าจะเป็นคนที่ทำงานกะกลางคืนนะคะ”
“อืม นั่นป้าจาง แกแค่ไปตามเพราะจำได้ว่าเป็นเสี่ยวเหลียน แต่ว่าผู้ชายที่ช่วยลูกสาวของเธอขึ้นมาจากน้ำต่างหากล่ะ คือใคร”
หลิวซือขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเธอะลืมเลือนเหตุการณืนี้ไปเสียสนิท “จริงด้วยค่ะ ฉันก็ไม่ทันได้มองหน้าของเขาชัดๆ” เธอตอบตามความจริง
“หลิวซือเอ๋ย เห็นทีว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆแล้วล่ะ” หัวหน้าหญิงส่าหน้า ถอนหายใจระคนเห็นใจ
หลิวซือได้ยินแล้วก็มีสีหน้าไม่สู้ดี หรือว่าก่อนที่เธอจะไปถึงตัวลูกสาว มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น “ให้ตายเถอะ จ้าวเสี่ยวเหลียน แกจะสร้างปัญหาไปถึงเมื่อไหร่กันนะ”
เธอตำหนิลูกสาวอยู่ในใจ เห็นทีว่ากลับบ้านไปคงมีเรื่องให้คุยกันอีกยาว
ทางด้านเสี่ยวเหลียนเองก็ยิ้มมุมปากขณะที่เดินออกมาจากอาคารสอบ เธอไม่คิดว่าหวังหลินจะหลงตัวเองถึงขั้นเข้าใจผิด คิดว่าผู้ชายรอหน้าห้อง ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนไปถึงจุดนัดหมายก็เห็นว่าอาสามนั่งคุยกับคุณนายจางอยู่ ทันทีที่เห็นหน้าหลานสาวอาสามก็รีบเดินเข้ามาจับแขนแสดงความห่วงใยทันที“เป็นยังไงบ้าง เสี่ยวเหลียนทำได้หรือเปล่า ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ ก็แค่สอบเลือกห้องเท่านั้น รอให้หลานเรียนไปสักพัก พอขึ้นปีสองก็จะมีการคัดเลือกห้องใหม่ ไว้ค่อยไปสู้เอาตอนนั้นก็ยังไม่สายหรอก”คำพูดของอาสาม ทำเอาป้าหลานมองหน้ากันไปมา ในขณะที่เสี่ยวเหลียนทำเพียงยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องโอ้อวดตัวเอง รอวัดกันที่ผลสอบจะดีกว่า“ไหนๆ ก็มากันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ อ่อแล้วก็ขอยืมตัวหนูเสี่ยวเหลียนสักพัก เอาไว้ฉันจะไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง” คุณนายจางพูดก่อนหน้าที่เจอกันรู้สึกไม่ถูกชะตาทั้งคำพูดและการกระทำ แต่ครั้งนี้ท่านั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ชอบลูกสะใภ้ของท่านเป็นแน่ แต่ก็คงจะไม่แปลกอะไรเพราะเป็นแค่ลูกเลี้ยง ถึงยังไงก็ต้องถูกมองว่าเป็นคนนอก ยิ่งเห็นแบบนี้ท่านก็ยิ่งเอ็นดูจ้าวเสี่
1 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่งผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชายเรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี
ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง“เข้ามาสิ”“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอนเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว
หลังจากที่แยกกับหยางเถาฮวา อาสามก็ไม่ได้รีบกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับไปบ้านหลี่แทน อยู่รอจนกระทั่งย่าหลี่กลับจากทำงานถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้กับผู้เป็นแม่ฟัง“โชคดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ย่าหลี่ไม่อยากจะเชื่อ ผู้พันที่ไหนจะมาแต่งงานกับชนชั้นแรงงาน อย่างน้อยก็ต้องแต่งกับลูกหลานทหารด้วยกัน หรือไม่ก็ลูกสาวนายพลถึงจะเหมาะสม“นั่นสิคะ ทีแรกที่ติดต่อมาฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานขอคนแถวนี้เสียอีก แม่คะเราจะทำยังไงกันดีละคะ” อาสามถามผู้เป็นแม่ด้วยความกลัดกลุ้ม“จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เรียกสินสอดให้คุ้มกับที่เจ้าใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ” ย่าหลี่นึกถึงสินสอดที่จะได้รับแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ได้ยังไงละคะแม่ อย่าเห็นแก่เงินน้อยนิดสิคะ นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นระยะยาว แค่นี้พี่สะใภ้ก็คอยื่นคอยาว ถ้าเกิดว่าหล่อนได้เป็นแม่ยายผู้พันจริงๆ คิดเหรอว่าต่อไปหล่อนจะยอมก้มหัวให้กับพวกเรา”“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล” ย่าหลี่คิดตามคำพูดของลูกสาวที่ผ่านมาท่านพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก พูดง่าย แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องให้ลำบากใจ เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ไม่มีปากมีเสียง ลูกชายของท่านตาถ
อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้นเธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องส
ก่อนที่สองยายหลานจะออกจากบ้าน หลิวซือก็เดินมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน เธอรู้สึกว่าครั้งนี้ผู้เป็นแม่ทำเกินกว่าเหตุไปสักหน่อย“จะไปไหนกันแต่เช้าคะ”“ไปเดินเล่นน่ะ” ยายหลิวตอบ“ฉันนึกว่าแม่จะไปซื้อตั๋วรถไฟเตรียมกลับบ้านเสียอีก” หลิวซือเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเรียบเฉย คิดว่าเรื่องที่ท่านเตรียมจะกลับบ้านคงไม่บอกให้ตนรู้เป็นแน่ เลยพูดเรื่องนี้ออกไปเสียเลย เพราะเธอก็รู้สึกอึดอัด“รู้แล้วจะถามทำไม” ยายหลิวไม่แปลกใจที่ลูกสาวรู้ เพราะคิดว่าเจ้าของร้านค้าที่มาตามท่านไปรับโทรศัพท์น่าจะเป็นคนบอก“แม่ ถ้าแม่เป็นคนอื่นฉันก็ไม่สนใจหรอกนะ แต่นี่แม่เป็นแม่ของฉัน ฉันถามเพราะเป็นห่วง”“แกห่วงอะไรล่ะ ห่วงฉันกับลูก หรือว่าห่วงจะไม่ได้เงิน” ยายหลิวถามเสียงเรียบตั้งแต่ท่านมาถึงลูกสาวก็ถามถึงเงินเยียวยา หลังจากนั้นก็ถามแทบจะทุกวันเกี่ยวกับเงินเยียวยา ทั้งพูดทำนองว่าต้องการจะขอยืมเงินเพื่อไปวางมัดจำบ้าน เนื่องจากว่าบ้านที่อยู่มันค่อนข้างจะคับแคบ อยากเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ทว่าเท่าที่ท่านสัมผัส มันกลับไม่ง่ายเหมือนคำที่ลูกสาวพูด เพราะทุกอย่างล้วนรวมเป็นกองกลาง นั่นหมายความว่าหากครอบครัวของลูกสาวอยากจะย้ายออก พวกหล่อนจะ