Share

9

Author: Scince
last update Last Updated: 2025-08-09 22:47:29

คืนนั้นหลังจากที่หลับใหลไปเพราะความเหนื่อย กอปรกับเหมือนว่าจะมีไข้ จ้าวเสี่ยวเหลียนได้ค้นพบสิ่งหนึ่ง ซึ่งก็คือ ปานสีแดงเล็กตรงข้อมือข้างซ้าย แต่พอแตะดูกลับพบว่ามันคือมิติ

ภายในเป็นเหมือนห้องสี่เหลี่ยมขนาด 30 ตารางวา แต่ข้างในนั้นกลับไม่มีอะไรเลย ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยอ่านนิยายเกี่ยวกับมิติหรือระบบ แรกๆ ก็รู้สึกว่ามันออกจะเหนือธรรมชาติไปสักหน่อย แต่ถ้าหากคนทั้งคนสามารถย้อนเวลากลับมาได้ แล้วทำไมกับแค่มิติจะเป็นไปไม่ได้

หญิงสาวลองทำตามนิยาย เพราะถ้าเป็นมิติเหมือนในนิยายจริงๆ จะต้องเอาของเข้าไปในนั้นและสามารถเอาออกมาได้

คิดได้แบบนั้นเธอเลยหยิบเอาหวีไม้เก่าๆ ขึ้นมา จากนั้นก็เอามาแตะที่ตรงปานเล็กๆ ที่ข้อมือข้างซ้าย ทันใดนั้นพบว่าหวีไม้ที่ตอนแรกอยู่ในมือ มันกลับหายเข้าไปในมิติแล้วเรียบร้อย

“เยี่ยม” หญิงสาวเผลอพูดออกมาเบาๆ

“อือ เสี่ยวเหลียน เป็นอะไรหรือเปล่า” ยายหลิวที่นอนอยู่ข้างๆ งัวเงียขึ้นมาถาม

ท่านเป็นคนรู้สึกตัวเร็ว แล้วยิ่งหลานสาวไม่สบายอยู่แบบนี้ทำให้ข่มตาหลับได้ไม่เต็มตาเท่าไหร่ พอได้ยินเสียงขยับตัวของหลานสาวเลยรู้สึกตัวตื่น

ตัวต้นเรื่องกลับนอนหลับตานิ่ง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้ยายเข้าใจผิดไปเอง หรือคิดว่าเธออาจจะละเมอพูดคนเดียวมากกว่า

เช้าวันถัดมา ถ้าเป็นปกติแล้วยายหลิวและหลานสาว จะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำข้าวเช้าให้กับทุกคน แต่วันนี้กลับต่างออกไป เพราะท่านยังคงหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง

จ้าวเสี่ยวเหลี่ยนตื่นนานแล้ว อีกทั้งไข้ของเธอก็ลดลงแล้วเหมือนกัน ตอนนี้เหลือแค่ตัวอุ่นๆ กินยาต้มอีกสักหม้อก็น่าจะหายเป็นปลิดทิ้ง

ยุคนี้คนยังนิยมกินยาต้ม มากกว่ายาเม็ดของโรงพยาบาล ถ้าอาการไม่หนักจริงๆ ก็จะไปหาหมอพื้นบ้าน เพราะไว้ใจมากกว่าหมอแผนปัจจุบัน

“ตื่นแล้วก็ลุกมาล้างหน้าล้างตา” ยายหลิวพูดทั้งที่ยังหลับตาอยู่

“ยาย ทำไมไม่ลุกละคะ” เสี่ยวเหลียนถามเสียงแหบ

“ขี้เกียจ นานๆ จะตื่นสายสักวันคงไม่เป็นไรหรอก แกน่ะรีบลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา วันนี้ยายจะพาไปตรวจกับหมอสักหน่อยจะได้วางใจ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ กินยาต้มอีกสักหม้อก็หายแล้ว” เสี่ยวเหลียนปฏิเสธ รู้สึกว่าร่างนี้ก็แข็งแรง อาจเพราะเป็นคนชนบท ร่างกายไม่ได้อ่อนแอเหมือนคนในเมือง แต่อาจจะดูมอมแมมไปสักหน่อยก็เถอะ

“ไปตรวจก่อน เป็นหรือไม่เป็นเดี๋ยวหมอก็จะบอกเอง” ยายหลิวลืมตาขึ้นมาช้าๆ ใต้ตาที่เหี่ยวย่นมีรอยคล้ำนิดๆ บ่งบอกว่าอีกฝ่ายนอนหลับไม่เต็มที่

แต่ยังไม่ทันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนจะลุกออกจากเตียง ก็มีเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ตามมาด้วยร่างบางที่เปิดเข้ามา ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นแม่ของเสี่ยวเหลียนนั่นเอง

“ตื่นกันแล้วเหรอ วันนี้เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง” หลิวซือถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง

“ค่ะ” เสี่ยวเหลียนพยักหน้าตอบ

ยายหลิวได้ยินเสียงลูกสาวก็หลับตานอนต่อ พร้อมทั้งนอนหันหลังให้ หลิวซือเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้ถือสา เพราะแม่จะโกรธก็คงไม่แปลก

“ลุกไหวหรือเปล่า วันนี้ไม่เห็นแกตื่นไปทำมื้อเช้าก็เลยเข้ามาดู ถ้าไม่ไหวช่วงนี้ก็พักก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะทำให้ก่อน”

ความจริงเธออยากจะบอกกับลูกสาวว่า ถ้าไหวก็ให้ลุกขึ้นมาทำงานบ้าน ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วง ลูกใครก็รักอยู่แล้ว แต่ที่ให้ทำแบบนี้เป็นเพราะอยากปกป้องลูกจากพวกที่จ้องจะหาเรื่อง อย่างบ้านรอง เป็นต้น

“ค่ะ”

“อืม ตื่นแล้วก็ลุกไปล้างหน้าล้างตาเถอะ อีกหน่อยก็จะได้เวลากินมื้อเช้าแล้ว อย่าลืมปลุกยายด้วยล่ะ”

ความจริงเธอรู้ว่าผู้เป็นแม่ตื่นแล้ว แต่แค่แกล้งไม่อยากคุยกับตัวเองเท่านั้น แต่ก็ไม่คิดจะเปิดโปง ทำได้เพียงเดินออกจากห้องไป

“ลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า” ทันทีที่ได้ยินเสียงปิดประตู ยายหลิวก็ลืมตาขึ้น พร้อมทั้งสั่งหลานสาว

“รีบขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

“แกอยากกินมื้อเช้าที่ร้านตรงหัวมุมมาตลอดไม่ใช่เหรอ เงินน่ะถ้าไม่ใช้เดี๋ยวมันจะบูดเสียก่อน ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า” ยายหลิวพูดเอาใจ

ทุกครั้งที่หลานสาวไม่สบาย ท่านก็มักจะปลอบขวัญของเธอด้วยการพาไปกินของอร่อย ทั้งที่ความจริงท่านเป็นคนที่ประหยัดมาก

“งั้นไปกันเลยค่ะ ฉันพร้อมแล้ว”

เสี่ยวเหลียนรีบจัดการกับตัวเอง จากนั้นสองยายหลานก็ออกจากบ้าน ไม่อยู่กินมื้อเช้ากับคนที่บ้าน นั่นทำให้หลิวซือถูกพี่น้องสามีหาช่องโหว่พูดจาถากถาง

“ได้ข่าวว่าแม่ยายแกออกไปกินข้างข้างนอกเหรอ” ย่าหลี่ถามลูกชาย แต่กลับมองหน้าลูกสะใภ้

“ครับ เห็นว่าจะพาเสี่ยวเหลียนไปให้หมอตรวจด้วยน่ะ” หลี่เจียงพยักหน้าตอบ พูดแทนภรรยา

“แปลกนะคะ ทั้งที่เกิดและโตกับน้ำแท้ๆ แบบนี้เสียชาติเกิดจริงๆ” โจวเยว่ สะใภ้รองพูดขึ้น

“น่าเสียดายที่ผมอ่านหนังสืออยู่ในห้องเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นคงไปช่วยเสี่ยวเหลียงได้ทัน” หลี่เทียนยืดอกพูดอย่างหน้าด้านๆ ทั้งที่ความจริงเขาไปขลุกอยู่ข้างนอกทั้งวัน

“ให้มันจริงเถอะ อย่าให้รู้แล้วกันว่าแกไปที่นั่น” อารองมองหน้าลูกชายตาขวาง

เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวแว่วเข้าหูเขาอยู่บ่อยครั้ง ว่าลูกชายมักจะไปขลุกตัวอยู่ที่โต๊ะสนุ๊ก สถานที่แบบนั้นคนดีที่ไหนไปกัน มีแต่พวกไม่ทำการทำงานทั้งนั้นไปรวมอยู่ที่นั่น

“คุณคะ ลูกก็รับปากแล้วว่าจะไม่ไปอีก อีกอย่างลูกก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นที่แบบนั้น คุณก็อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยค่ะ” สะใภ้รองรีบห้ามสามี เพราะเรื่องนี้เป็นรอยด่างในใจของเธอมาตลอด

“เอาล่ะๆ อย่าทะเลาะกันเลยน่ะ เทียนเอ๋อร์ไม่ได้ไปไหนหรอก มีแวะไปบ้านเพื่อนตามประสา ช่วงนี้ก็ปิดเทอมอยู่ไม่ต้องเคร่งมากก็ได้ ให้แกได้ผ่อนคลายบ้าง” ย่าหลี่ช่วยพูด เพราะถ้าบอกว่าหลานชายอยู่แต่ในห้องก็จะดูเกินไปสักหน่อย

แต่เรื่องที่เขาออกไปบ้านเพื่อนนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะเจ้าตัวมาขออนุญาตกับท่านโดยตรง และท่านก็เป็นคนอนุญาตเอง

“แม่ก็เอาแต่เข้าข้าง คนอื่นปิดเทอมผมก็ยังเห็นไปที่ห้องสมุด มันน่ะเคยไปเหยียบบ้างหรือเปล่า อย่าคิดว่าสอบเข้าโรงเรียนอันดับหนึ่งได้แล้วจะแล้วกันไปนะ ในนั้นมีแต่คนเก่งๆ ถ้าไม่ปรับตัวก็อยู่ยาก ดูอย่างเฟินเอ๋อร์ยังไปอ่านหนังสือทุกวัน วันนี้ไปห้องสมุดกับน้อง เข้าใจหรือเปล่า” อารองสั่งลูกชายเสียงเข้ม

ความฝันสูงสุดของเขาคืออยากเข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เพราะทางบ้านฐานะยากจน อีกทั้งแม่ยังทำงานหาเลี้ยงทั้งครอบครัว เรียนจบชั้นประถมก็ออกแล้วมาช่วยพี่ชายคนโตหางานทำ ส่งน้องสาวน้องชายเรียนต่อ

น้องสาววาสนาดีกว่าใครๆ เพราะทุกคนต่างลงความเห็นว่าเป็นลูกผู้หญิงต้องเรียบจบสูงๆ เพื่อที่ว่าครอบครัวสามีจะได้ไม่ดูถูกเอาได้

แต่กลายเป็นว่าไปหลงรักคนมีอายุเข้า เรียนไม่ทันจบมัธยมต้น ก็ลาออกมาแต่งงานเสียก่อน โอกาสจึงไปตกที่น้องชายคนเล็ก ที่เรียนจบถึงชั้นมัธยมปลาย ทางการจึงจัดสรรให้มาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ มีชามข้าวเหล็กในมือ

“ครับ” หลี่เทียนก้มหน้ารับคำสั่ง

ในบรรดาคนในบ้าน เขากลัวพ่อมากที่สุด พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น แต่เขากลับชอบลุงใหญ่มากที่สุด เพราะลุงใหญ่ใจดี แถมยังแอบให้ค่าขนมเขาอยู่บ่อยๆ

“ยังมีอีกเรื่อง วันนี้เตรียมตัวไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับฝ่ายสวัสดิการทราบด้วยนะครับ เมื่อวานเรื่องของลูกสาวพี่สะใภ้ดังไปทั่วโรงงาน” อารองพูดเสียงเรียบแต่ฟังก็รู้ว่ากำลังตำหนิ

“จ้ะ ฉันจะจัดการเอง” หลิวซือยิ้มรับ ลูกของเธอ เธอก็ต้องจัดการเองอยู่แล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   19

    5 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันประกาศผลคัดเลือกห้อง จ้าวเสี่ยวเหลียนยังไม่ทันได้ไปดูประกาศด้วยซ้ำ ก็มีผู้หวังดีมาบอกถึงบ้านว่าเธอได้อยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องเด็กนักเรียนระดับหัวกะทิ ส่วนหวังหลินนั้นอยู่ห้องห้า“ความจริงหลินหลินน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่วันนั้นแกบอกว่าอ่านหนังสือดึกเกินไปเลยปวดหัว สงสัยจะตื่นเต้นน่ะค่ะ” อาสามพูดขึ้น“ดีแล้วๆ ห้องไหนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก” ย่าหลี่พยักหน้ายิ้มๆ แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เพราะหลานชายอย่างหลี่เทียนก็อยู่ห้องเดียวกันกับเสี่ยวเหลียน เพราะเขาได้รับโควตามา หรือแม้แต่หลี่เฟินเองก็ได้อยู่ห้องหนึ่งแม้จะเป็นมัธยมต้นก็เถอะ“ขอบคุณอาสามนะคะที่อุตส่าห์มาบอก” เสี่ยวเหลียนพูดขอบคุณ เพราะเธอก็เตรียมที่จะไปดูประกาศเหมือนกัน“ไม่เป็นไร” อาสามฝืนยิ้มความจริงที่มาเพราะต้องการมาแก้ต่างให้ลูก

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   18

    ทางด้านเสี่ยวเหลียนเองก็ยิ้มมุมปากขณะที่เดินออกมาจากอาคารสอบ เธอไม่คิดว่าหวังหลินจะหลงตัวเองถึงขั้นเข้าใจผิด คิดว่าผู้ชายรอหน้าห้อง ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนไปถึงจุดนัดหมายก็เห็นว่าอาสามนั่งคุยกับคุณนายจางอยู่ ทันทีที่เห็นหน้าหลานสาวอาสามก็รีบเดินเข้ามาจับแขนแสดงความห่วงใยทันที“เป็นยังไงบ้าง เสี่ยวเหลียนทำได้หรือเปล่า ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ ก็แค่สอบเลือกห้องเท่านั้น รอให้หลานเรียนไปสักพัก พอขึ้นปีสองก็จะมีการคัดเลือกห้องใหม่ ไว้ค่อยไปสู้เอาตอนนั้นก็ยังไม่สายหรอก”คำพูดของอาสาม ทำเอาป้าหลานมองหน้ากันไปมา ในขณะที่เสี่ยวเหลียนทำเพียงยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องโอ้อวดตัวเอง รอวัดกันที่ผลสอบจะดีกว่า“ไหนๆ ก็มากันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ อ่อแล้วก็ขอยืมตัวหนูเสี่ยวเหลียนสักพัก เอาไว้ฉันจะไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง” คุณนายจางพูดก่อนหน้าที่เจอกันรู้สึกไม่ถูกชะตาทั้งคำพูดและการกระทำ แต่ครั้งนี้ท่านั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ชอบลูกสะใภ้ของท่านเป็นแน่ แต่ก็คงจะไม่แปลกอะไรเพราะเป็นแค่ลูกเลี้ยง ถึงยังไงก็ต้องถูกมองว่าเป็นคนนอก ยิ่งเห็นแบบนี้ท่านก็ยิ่งเอ็นดูจ้าวเสี่

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   17

    1 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่งผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชายเรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   16

    ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง“เข้ามาสิ”“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอนเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   15

    หลังจากที่แยกกับหยางเถาฮวา อาสามก็ไม่ได้รีบกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับไปบ้านหลี่แทน อยู่รอจนกระทั่งย่าหลี่กลับจากทำงานถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้กับผู้เป็นแม่ฟัง“โชคดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ย่าหลี่ไม่อยากจะเชื่อ ผู้พันที่ไหนจะมาแต่งงานกับชนชั้นแรงงาน อย่างน้อยก็ต้องแต่งกับลูกหลานทหารด้วยกัน หรือไม่ก็ลูกสาวนายพลถึงจะเหมาะสม“นั่นสิคะ ทีแรกที่ติดต่อมาฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานขอคนแถวนี้เสียอีก แม่คะเราจะทำยังไงกันดีละคะ” อาสามถามผู้เป็นแม่ด้วยความกลัดกลุ้ม“จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เรียกสินสอดให้คุ้มกับที่เจ้าใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ” ย่าหลี่นึกถึงสินสอดที่จะได้รับแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ได้ยังไงละคะแม่ อย่าเห็นแก่เงินน้อยนิดสิคะ นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นระยะยาว แค่นี้พี่สะใภ้ก็คอยื่นคอยาว ถ้าเกิดว่าหล่อนได้เป็นแม่ยายผู้พันจริงๆ คิดเหรอว่าต่อไปหล่อนจะยอมก้มหัวให้กับพวกเรา”“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล” ย่าหลี่คิดตามคำพูดของลูกสาวที่ผ่านมาท่านพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก พูดง่าย แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องให้ลำบากใจ เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ไม่มีปากมีเสียง ลูกชายของท่านตาถ

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   14

    อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้นเธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องส

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status