"คุณ...คุณป้าพูดเรื่องอะไรคะ ฉันแค่เป็นห่วงอนาคตของเด็กที่กำพร้าพ่อคนหนึ่งก็เท่านั้น อย่าลืมสิคะว่าเด็กคนนี้พี่ชายฉันเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ ฉันเองก็รักเหมือนหลานสาวแท้ๆคนหนึ่ง"
เธอไม่ได้มานั่งสนใจหรอกว่าพี่ชายจะสนใจไยดีลูกเลี้ยงของตัวเองหรือเปล่า เพราะถ้าจะพูดไปแล้ว เธอแต่งงานก่อนพี่ชายเสียด้วยซ้ำ
“เลี้ยงงั้นเหรอ” ยายหลิวแสยะยิ้มแล้วพูดต่อว่า "ข้าวเม็ดไหนที่ที่เอามาป้อน ไม่ใช่ว่ามีแต่ยายแก่คนนี้เหรอที่หาเลี้ยงตัวคนเดียวมาตลอด" สายตาของท่านจ้องมองไปที่ลูกสาวเพียงคนเดียวที่เอาแต่เก่งกับคนในครอบครัว แต่กับคนอื่นกลับหงอเป็นไก่ หรือว่าแท้จริงแล้วท่านได้สูญเสียลูกสาวให้กับบ้านอื่นไปแล้ว
“เป็นห่วงอย่างนั้นเหรอ” ยายหลิวหัวเราะในลำคอเสียงเย็น "ที่ชาวบ้านเขานินทากันมันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ มีคนสติดีที่ไหนเขาทำเรื่องผิดศีลธรรมแบบนี้กัน ให้หลานแต่งกับอาตัวเอง ไม่รู้สึกว่ามันน่าขยะแขยงสักนิดบ้างเหรอ"
"แล้วยังไงล่ะ มันไม่ผิดกฎหมายนี่คะ อีกอย่างเจ้าสี่ก็เป็นคนดี ในบรรดาพี่น้องเรา เขาหน้าที่การงานดีที่สุด เป็นถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีชามข้าวเหล็กในมือ ต่อไปยังไงก็ไม่มีทางลำบากมีแต่จะก้าวหน้า" หลี่เซียนเถียงข้างๆ คูๆ แต่น้ำเสียงยังคงภูมิใจกับน้องชายเล็ก เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่เชิดหน้าชูตาให้กับบ้านหลี่มากที่สุด
"กฎหมายอาจจะไปไม่ถึง แต่ศีลธรรมในใจคนมันบอกได้" ยายหลิวก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหลี่เซียน
ท่านไม่ถือสาและไม่แปลกใจที่ผู้หญิงหน้าตาดีคนนึ่งมายืนเท้าสะเอวเถียงกับท่านอยู่ในตอนนี้ เพราะครอบครัวเป็นแบบไหน คนในครอบครัวก็จะเป็นแบบนั้น เรียกได้ว่าถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
"หล่อนกล้าพูดไหมว่าที่ทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อหาคนมาเป็นฉากบังหน้าให้ความลับของน้องชาย หล่อนกำลังจะเอาทั้งชีวิตของหลานสาวฉันไปสังเวยเพื่อรักษาหน้าตาจอมปลอมของชาย แล้วยังมีหน้ามาพูดเรื่องชื่อเสียงอีกเหรอ"
ท่านอาบน้ำร้อนมาก่อน เจอผู้คนมาก็เยอะ ถึงจะอยู่แต่ชนบทก็ใช่ว่าจะไม่เจอใครเลย ต้องมองออกเป็นธรรมดาว่าใครเป็นยังไง ถึงจะมาได้ไม่นานก็เถอะ คนเราสวมหน้ากากเข้าหากันได้ แต่ก็ต้องมีสักครั้งที่เผลอถอด เพราะไม่สบายเท่าใบหน้าที่แท้จริง
คำพูดของยายหลิวเปรียบเสมือนคมหอกที่พุ่งเข้าไปปักกลางใจของหลี่เซียนอย่างจัง เธออ้าปากค้าง พูดไม่ออก ใบหน้าซีดเผือดสลับกับแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย
ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าหญิงชราท่าทางซื่อ ๆ จากชนบทคนนี้จะกล้าพูดจาฉีกหน้าเธอได้อย่างเจ็บแสบถึงเพียงนี้
"แก...แก...นังแก่ปากเสีย" ในที่สุดหลี่เซียนก็หาเสียงตัวเองเจอ กรีดร้องออกมาเหมือนคนไร้สติ "พูดจาเหลวไหล ปากแบบนี้นี่เองถึงได้เลี้ยงหลานออกมาให้มันเลวทรามต่ำช้าแบบนี้"
แต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนอารมณืร้อนอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอคนที่ยั่วยุ ไม่ยอมลงให้ก็ยิ่งหัวร้อนเพิ่มขึ้นไปอีก จนกระทั่งลืมไปแล้วหญิงชราที่ตนหยาบคายใส่ตอนนี้คือแม่ยายองพี่ชายตัวเอง คนที่ต้องให้การเคารพไม่ต่างจากแม่คนหนึ่ง
"ปากของฉันพูดแต่ความจริง" ยายหลิวตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว "ต่างจากปากของบางคน เอาแต่พูดจาโกหกเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าการแต่งงานนี้มันดีจริง ทำไมไม่ไปทาบทามลูกสาวของผู้จัดการโรงงาน หรือลูกสาวของหัวหน้าแผนกล่ะ ทำไมต้องเจาะจงมาที่หลานสาวจนๆ ของยายแก่คนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะแกคิดว่าพวกเรายายหลานเป็นแค่เบี้ยที่ไร้ค่า จะหยิบไปทิ้งขว้างที่ไหนก็ได้"
"วันนี้ถ้าฉันไม่ได้สั่งสอนคนแก่ อย่าเรียกฉันว่า หลี่เซียนเลย" หลี่เซียนคลุ้มคลั่งจนขาดสติ ถกแขนเสื้อเชิ้ตของตัวเองขึ้น เงื้อมือขึ้นหมายจะพุ่งเข้ามาตบหน้ายายหลิว
แต่เสี่ยวเหลียนที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วขยับตัวเข้าขวางไว้ทันที เธอปัดมือนั้นออกอย่างแรงจนหลี่เซียนเซถลาไปสองสามก้าว จนเกิดเสียงดังโครมคราม
"พอได้แล้ว" เสี่ยวเหลียนตวาดขึ้นเป็นครั้งแรก น้ำเสียงของเธอทั้งเย็นชาและเด็ดขาด "ที่นี่ไม่ใช่ตลาดสดที่จะมาสาดโคลนใส่ใครก็ได้ตามใจชอบ"
หลี่เซียนที่ถูกหลานสาวนอกไส้ผลักจนเกือบล้มถึงกับตกตะลึง มองเสี่ยวเหลียนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นี่ใช่เด็กสาวขี้ขลาดหัวอ่อนที่เคยเจอเมื่อหลายวันก่อนหรือเปล่า
สายตาคู่นั้น...ทำไมถึงได้แข็งกร้าวและไม่ยอมคน ราวกับเป็นคนละคน
เป็นจังหวะเดียวกับที่ย่าหลี่และหลี่เจียงที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายรีบวิ่งเข้ามาในห้องพอดี
"เกิดอะไรขึ้น ลูกสาม" ย่าหลี่ร้องเสียงหลงขึ้น เมื่อเห็นลูกสาวตัวเองอยู่ในสภาพตกเป็นรองดวงตาแดงก่ำ ดูก็รู้ว่าถูกขัดใจจนถึงที่สุดแล้ว พร้อมจะร้องไห้โวยวายได้ทุกเมื่อ
หลี่เซียนพอเห็นแม่กับพี่ชายมาก็รีบเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ถูกกระทำทันที วิ่งเข้าไปฟ้องเสียงสั่นเครือ
"แม่ พี่ใหญ่ ดูพวกนี้สิ ลูกเลี้ยงของพี่ทำร้ายฉัน ฉันอุตส่าห์เป็นห่วงมาเยี่ยมแท้ๆ แต่กลับด่าทอใส่ร้ายฉัน แถมยังลงไม้ลงมืออีก"
ย่าหลี่พอได้ฟังดังนั้นก็หน้าเขียวทันที ท่านหันมาจ้องหน้ายายหลิวและเสี่ยวเหลียนอย่างกินเลือดกินเนื้อ “จริงเหรอ แม่เสี่ยวเฟิน” ท่านหันไปถามลูกสะใภ้ใหญ่ที่เอาแต่เงียบ และทึกทักเอาเองว่าความเงียบเพียงชั่วอึดใจของลูกสะใภ้คือคำตอบ
"จะเหิมเกริมกันมากเกินไปแล้ว นี่มันบ้านของฉันนะ" จากนั้นก็พูดเสียงลอดไรฟันออกมาเบาๆ
สงครามระลอกใหม่กำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้ง แต่เสี่ยวเหลียนไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เธอมองหน้าศัตรูทีละคน
อาสามที่ขี้ขลาดและเห็นแก่ตัว ย่าหลี่ที่งมงายในอำนาจ พ่อเลี้ยงที่หูเบาและยึดมั่นในศักดิ์ศรีของผู้ชาย และแม่ของเธอที่ยืนตัวสั่นอยู่มุมห้อง
เธอลุกออกจากเตียง ขยับไปยืนเคียงข้างยายหลิวอย่างเงียบๆ เป็นการประกาศจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจน
‘เส้นแบ่งได้ถูกขีดขึ้นแล้ว’ เธอบอกกับตัวเองในใจ ‘มันคือการต่อสู้ระหว่างเราสองคน...กับพวกเขา’
“เฮอะ กล้าดีนี่ หลายวันก่อนยังหงอเป็นไก่อยู่แล้ว ที่ผ่านมาแค่เสแสร้งสิคะ” ย่าหลี่เห็นท่าทางเป็นศัตรูของจ้าวเสี่ยวเหลียนแล้วก็ปักใจเชื่อว่าลูกสาวพูดความจริง
เพราะความจริงแล้วท่านเองก็ไม่ได้ล่วงรู้ความคิดสกปรกของลูกสาวคนโปรดมาก่อน เลยทึกทักเอาเองว่าจ้าวเสี่ยวเหลียนอาจจะไม่พอใจอะไรสักอย่าง เลยคิดจะทำร้ายตัวเองประท้วง และโยนความผิดมาที่บ้านหลี่ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“เสแสร้งอย่างนั้นเหรอ ใครกันแน่ที่เสแสร้ง” เสี่ยวเหลียนจะทนให้คนอื่นด่ายายของเธอได้ยังไงกันล่ะ ทั้งที่รู้แก่ใจว่าใครกันแน่ที่เสแสร้ง
“แม่ดูเอาเถอะค่ะ นี่ขนาดต่อหน้าแม่กับพี่ใหญ่นะคะ” หลี่เซียนเห็นว่าโอกาสมาถึงแล้วก็รีบขยี้ทันที
“เสี่ยวเหลียน” หลิวซือได้ยินเสียงของลูกสาวก็เงยหน้า มุ่นคิ้วไม่พอใจทันที
ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง ก็แค่ก้มหน้าเงียบ ให้พวกเขาตำหนิ เหนื่อยแล้วก็หยุดไปเอง เลี่ยงการปะทะน้ำลายได้เป็นอย่างดี
“แกจะไปตำหนิลูกทำไม เสี่ยวเหลียนพูดถูกแล้ว ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่เสแสร้ง” ยายหลิวพูดเสียงเข้ม
หลี่เจียงเห็นท่าไม่ดี ต่อให้เขาจะกล้ามากแค่ไหน ก็ไม่บ้าบิ่นถึงขั้นเอาเรื่องแม่ยาย เลยได้แต่กลืนความไม่พอใจลงท้อง และถามออกไปอย่างใจเย็นว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากได้ฟังเรื่องราวย่าหลี่ถึงกับยืนไม่อยู่ ท่านไม่ได้ตกใจเรื่องที่จะจับจ้าวเสี่ยวเหลียนแต่งงานกับลูกชายคนเล็ก แต่ตกใจว่าคนอื่นรู้ได้ยังไงว่าลูกชายเป็นพวกชอบตัดแขนเสื้อ
เช้าวันถัดมา เสี่ยวเหลียนก็รีบตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะมาช่วยยายหลิวจัดเตรียมของไหว้ ปล่อยให้สามีนอนอยู่บนเตียงเมื่อคืนทั้งเธอและเขาต่างเปิดประสบการณ์และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำแต่ไม่กล้า เรียกได้ว่าอิ่มเอมทั้งสองฝ่าย แต่ต้องมาเสียใจทีหลังเพราะปวดระบมไปทั้งร่าง“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ออกมานอกห้องก็เห็นตะเกียงถูกจุดอยู่“อรุณสวัสดิ์” ยายหลิวทักทายหลานสาว“ทำไมไม่เปิดไฟละค จะเปิดจุดตะเกียงอีกทำไม” ไม่พูดเปล่า แต่ยังเดินไปเปิดไฟในบ้านอีกด้วย“เห็นว่ายังเช้ามืดอยู่ กลัวว่าแสงไปจะเข้าไปในห้องรบกวนการนอนของผู้พัน”“เขาไม่เรื่องมากขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าให้กับความเอาใจใส่ของท่านที่มีต่อหลานเขย“แกน่ะไม่เคยคิดอะไรเผื่อใครต่างหากล่ะ ช่วงที่พวกเราเดินทางมาซูโจวผู้พันแทบไม่ได้พักผ่อนเลยเพราะมัวแต่เฝ้าของ กลับมาเหนื่อยๆ ก็มาเจอเรื่อง
หลังจากที่ซ่งเฉวียพาแม่ของเขากลับไปแล้ว จางเสวี่ยอวี้ก็ตัดสินใจคุยเรื่องนี้กับภรรยาอย่างจริงจัง เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็ไปรวมกับสหายยังจุดนัดพบเนื่องจากว่าเขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อนสหายหลายวัน คำนวณเวลาดูแล้วคงเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน สหายในกองทัพก็น่าจะเดินทางมาถึงยังจุดนัดพบ“วันนี้คุณใจร้อนเกินไปนะครับ” เขาพูดกับคนในอ้อมกอด ตอนนี้เธอกำลังอ้อนเขาเหมือนแมวน้อยก็ไม่ปาน“ฉันรู้ค่ะ แต่บอกตามตรงว่าพอรู้ว่าย่าซ่งถูกทุบตี ภายในใจฉันก็รู้สึกไม่ยินยอม” เธอตอบอย่างเอาแต่ใจ“อืม แค่รอยฟันเด็ก ไม่ได้เหมารวมว่าแม่ของเขาจะเป็นคนทำนะครับ”“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆนะคะ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนั้นด้วย ทั้งยังเป็นใต้ร่มผ้าที่คนอื่นไม่สังเกตเห็นอีกด้วย ถ้าวันนี้เราไม่เห็นหรือเรากลับมาช้ากว่านี้ ท่านจะมีชีรอดจนถึงสิ้นปีหรือเปล่า คนเต็มบ้านทำไมไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ถ้าท่านจะความจำเสื่อมฉันว่าก็
ตอนนี้เวลาหกโมงเย็น คนที่ออกไปหาปลาก็ทยอยกลับเข้าบ้าน รวมถึงคนบ้านซ่งด้วยเหมือนกัน ผู้นำหมู่บ้านกลับเข้าบ้านมาก่อนลูกชายไม่นาน วันนี้ท่านมีประชุมในตัวเมืองเลยกลับถึงบ้านช้ากว่าทุกวัน“แค่คนแก่คนเดียวทำไมคุณถึงดูแลไม่ได้ คนอื่นต้องลงเรือหาปลากันทั้งวัน ตากแดดตากลม นี่ให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลแม่แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้” พี่ใหญ่ซ่งด่ากราด เนื่องจากกลับมาถึงบ้านแล้วภรรยาบอกข่าวร้ายว่าแม่เขาหนีออกจากบ้านอีกแล้ว“ใจเย็นๆ น่าพี่ใหญ่” ซ่งเฉวียน ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ผิวคล้ำเพราะออกเรือหาปลาทุกวันตบไหล่พี่ชาย ด้วยกลัวว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับพี่สะใภ้ใหญ่“แกจะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้ยังไงเจ้าสาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนทำพลาด เดือนนี้กี่ครั้งแล้วที่แม่หายตัวไป”“เอาน่า ลองแยกกันหาดูอีกทีแล้วกันครับ พ่อเอาปลาไปขายให้ส่วนกลางก่อนที่ปลาจะตายแล้วไม่มีราคา” ซ่งเฉวียนบอกกับผู้เป็นพ่อ
ข่าวเรื่องสองยายหลานกลับบ้านมาตอนนี้ดังไปทั่วทั้งหมู่บ้านสายน้ำแล้ว เสี่ยวเหลียนไม่มีเวลาสนทนากับใคร เธอวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน หน้าที่รับแขกเลยเป็นของยายหลิวและหลานเขย“ไอหยา…วาสนาเสี่ยวเหลียนนี่ดีจริงๆ เลยนะ ได้สามีเป็นคนเมือง”“นั่นน่ะสิ แล้วนี่จะกลับมาอยู่ที่นี่กันแล้วเหรอ”“จะเป็นไปได้ยังไง มีผู้ชายที่ไหนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงบ้างล่ะ”“แกลืมไปหรือเปล่า ก็ลูกสาวนางหลิวไง แม่เสี่ยวเหลียนก็แต่งพ่อเสี่ยวเหลียนเข้าบ้านมาไม่ใช่เหรอ”“ฮ่าๆ จริงสิเนอะ เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย”แต่แล้วรองเท้าจากที่ไหนไม่รู้ลอยมากลางวงสนทนา จางเสวี่ยอวี้ปฏิกิริยาเร็ว เขาใช้ถาดขึ้นมากันเอาไว้ ไม่ให้ยายหลิวถูกลูกหลง กลายเป็นว่ารองเท้ากระทบกับถาด ลอยไปฟาดปากคนที่หัวเราะอย่าพอเหมาะพอเจาะจนหุบปากไม่ทัน
ยายหลิวพอรู้ว่าหลานสาวและหลานเขยจะไปส่งที่ซูโจวก็ทั้งดีใจและเกรงใจ ดีใจที่จะได้พาหลานสาวกลับไปไหว้ บอกกล่าวบรรพบุรุษตระกูลหลิว และเกรงใจหลานเขย เพิ่งกลับมาจากทำงานต่างเมืองแท้ๆ ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยก็ต้องออกเดินทางอีกแล้ว“ลำบากหลานเขยแล้ว” ยายหลิวพูดขึ้น ขณะที่หลานเขยช่วยท่านยกกระเป๋าขึ้นไปบนรถไฟ“ไม่เป็นไรครับ”จางเสวี่ยอวี้ยิ้มรับ วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคืนได้ปลดปล่อยเต็มที่หลังจากที่กักเก็บลูกๆ มานาน ต่างจากจ้าวเสี่ยวเหลียนที่แทบไม่อยากจะขยับตัว“ของีบหน่อยนะคะ” ขึ้นบนรถไฟได้ เธอก็หลับมาตลอดทางยายหลิวส่ายหน้าให้กับความขี้เซาของหลานสาว แต่เพราะเธอเป็นคนเมารถ ท่านเลยเข้าใจปว่าหลานสาวน่าจะเมารถไฟด้วยเหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเมาอย่างอื่นที่สามีมอบให้ต่างหากล่ะตลอดการเดินทาง จางเสวี่ยอวี้ดูแลสองยายหลานเป็นอย่างดี จองตั๋วนอนให้จะได้โดยสารสะดวก ทั้งยังเป็นคนดูแลความเรียบร้อย เรียกได้ว่ามีเขาอยู่ ยายหลิวสบายตลอดทั้งทางใช้เวลาเดินทางห้าวันก็มาถึงซูโจว ชายหนุ่มมองไปรอบๆ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ เนื่องจากมีคลองขนส่งตลอดทั้งเส้นทาง ผู้คนสัญจรทางเรือมากกว
จ้าวเสี่ยวเหลียนยื้อให้ยายอยู่ด้วยกันจนกระทั่งถึงเดือนกันยายน อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย ถึงเวลาที่ท่านจะต้องกลับซูโจวแล้วจริงๆ“ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยละคะ รอให้ถึงวันชาติฉันกับพี่เสวี่ยอวี้จะได้ไปส่งยายได้” หญิงสาวต่อรอง“กลับวันนี้หรือวันไหนก็เหมือนกัน จะยื้อต่อไปอีกทำไม” ยายหลิวส่ายหน้า มือก็สาละวนอยู่กับการจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางช่วงหลังแต่งงานเธอไม่ได้กลับบ้านเพื่อไปไหว้ครอบครัวเดิม เพราะครอบครัวของเธอก็คือยายหลิว ในเมื่อยายอยู่กับตัวเองที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องกลับส่วนหลิวซือเองก็ได้ติดอะไร ด้วยรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวเลือกอยู่ข้างใคร และเธอเองก็ถือว่าตัวเองทำหน้าที่แม่ได้อย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวขึ้นเรือลำเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วเรียบร้อยจะว่าไปจ้าวเสี่ยวเหลียนเองก็ถือว่าโชคดีกว่ามาก แม้ว่าแรกเริ่มจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่หลังจากเลือกที่จะตกลงปลงใจกับจางเสวี่ยอวี้แล้ว ชีวิตของเธอเรียกได้ว่าเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขณะที่สองยายหลานคุยกันอยู่นั้น จางเสวี่ยอวี้ก็กลับมาจากปฏิบัติงานนอกพื้นที่พอดี ที่ยายหลิวยอมใจอ่อนอยู่ต่อนานนับเดือนขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนหลานสาว