"คุณ...คุณป้าพูดเรื่องอะไรคะ ฉันแค่เป็นห่วงอนาคตของเด็กที่กำพร้าพ่อคนหนึ่งก็เท่านั้น อย่าลืมสิคะว่าเด็กคนนี้พี่ชายฉันเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ ฉันเองก็รักเหมือนหลานสาวแท้ๆคนหนึ่ง"
เธอไม่ได้มานั่งสนใจหรอกว่าพี่ชายจะสนใจไยดีลูกเลี้ยงของตัวเองหรือเปล่า เพราะถ้าจะพูดไปแล้ว เธอแต่งงานก่อนพี่ชายเสียด้วยซ้ำ
“เลี้ยงงั้นเหรอ” ยายหลิวแสยะยิ้มแล้วพูดต่อว่า "ข้าวเม็ดไหนที่ที่เอามาป้อน ไม่ใช่ว่ามีแต่ยายแก่คนนี้เหรอที่หาเลี้ยงตัวคนเดียวมาตลอด" สายตาของท่านจ้องมองไปที่ลูกสาวเพียงคนเดียวที่เอาแต่เก่งกับคนในครอบครัว แต่กับคนอื่นกลับหงอเป็นไก่ หรือว่าแท้จริงแล้วท่านได้สูญเสียลูกสาวให้กับบ้านอื่นไปแล้ว
“เป็นห่วงอย่างนั้นเหรอ” ยายหลิวหัวเราะในลำคอเสียงเย็น "ที่ชาวบ้านเขานินทากันมันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ มีคนสติดีที่ไหนเขาทำเรื่องผิดศีลธรรมแบบนี้กัน ให้หลานแต่งกับอาตัวเอง ไม่รู้สึกว่ามันน่าขยะแขยงสักนิดบ้างเหรอ"
"แล้วยังไงล่ะ มันไม่ผิดกฎหมายนี่คะ อีกอย่างเจ้าสี่ก็เป็นคนดี ในบรรดาพี่น้องเรา เขาหน้าที่การงานดีที่สุด เป็นถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีชามข้าวเหล็กในมือ ต่อไปยังไงก็ไม่มีทางลำบากมีแต่จะก้าวหน้า" หลี่เซียนเถียงข้างๆ คูๆ แต่น้ำเสียงยังคงภูมิใจกับน้องชายเล็ก เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่เชิดหน้าชูตาให้กับบ้านหลี่มากที่สุด
"กฎหมายอาจจะไปไม่ถึง แต่ศีลธรรมในใจคนมันบอกได้" ยายหลิวก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหลี่เซียน
ท่านไม่ถือสาและไม่แปลกใจที่ผู้หญิงหน้าตาดีคนนึ่งมายืนเท้าสะเอวเถียงกับท่านอยู่ในตอนนี้ เพราะครอบครัวเป็นแบบไหน คนในครอบครัวก็จะเป็นแบบนั้น เรียกได้ว่าถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
"หล่อนกล้าพูดไหมว่าที่ทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อหาคนมาเป็นฉากบังหน้าให้ความลับของน้องชาย หล่อนกำลังจะเอาทั้งชีวิตของหลานสาวฉันไปสังเวยเพื่อรักษาหน้าตาจอมปลอมของชาย แล้วยังมีหน้ามาพูดเรื่องชื่อเสียงอีกเหรอ"
ท่านอาบน้ำร้อนมาก่อน เจอผู้คนมาก็เยอะ ถึงจะอยู่แต่ชนบทก็ใช่ว่าจะไม่เจอใครเลย ต้องมองออกเป็นธรรมดาว่าใครเป็นยังไง ถึงจะมาได้ไม่นานก็เถอะ คนเราสวมหน้ากากเข้าหากันได้ แต่ก็ต้องมีสักครั้งที่เผลอถอด เพราะไม่สบายเท่าใบหน้าที่แท้จริง
คำพูดของยายหลิวเปรียบเสมือนคมหอกที่พุ่งเข้าไปปักกลางใจของหลี่เซียนอย่างจัง เธออ้าปากค้าง พูดไม่ออก ใบหน้าซีดเผือดสลับกับแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย
ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าหญิงชราท่าทางซื่อ ๆ จากชนบทคนนี้จะกล้าพูดจาฉีกหน้าเธอได้อย่างเจ็บแสบถึงเพียงนี้
"แก...แก...นังแก่ปากเสีย" ในที่สุดหลี่เซียนก็หาเสียงตัวเองเจอ กรีดร้องออกมาเหมือนคนไร้สติ "พูดจาเหลวไหล ปากแบบนี้นี่เองถึงได้เลี้ยงหลานออกมาให้มันเลวทรามต่ำช้าแบบนี้"
แต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนอารมณืร้อนอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอคนที่ยั่วยุ ไม่ยอมลงให้ก็ยิ่งหัวร้อนเพิ่มขึ้นไปอีก จนกระทั่งลืมไปแล้วหญิงชราที่ตนหยาบคายใส่ตอนนี้คือแม่ยายองพี่ชายตัวเอง คนที่ต้องให้การเคารพไม่ต่างจากแม่คนหนึ่ง
"ปากของฉันพูดแต่ความจริง" ยายหลิวตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว "ต่างจากปากของบางคน เอาแต่พูดจาโกหกเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าการแต่งงานนี้มันดีจริง ทำไมไม่ไปทาบทามลูกสาวของผู้จัดการโรงงาน หรือลูกสาวของหัวหน้าแผนกล่ะ ทำไมต้องเจาะจงมาที่หลานสาวจนๆ ของยายแก่คนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะแกคิดว่าพวกเรายายหลานเป็นแค่เบี้ยที่ไร้ค่า จะหยิบไปทิ้งขว้างที่ไหนก็ได้"
"วันนี้ถ้าฉันไม่ได้สั่งสอนคนแก่ อย่าเรียกฉันว่า หลี่เซียนเลย" หลี่เซียนคลุ้มคลั่งจนขาดสติ ถกแขนเสื้อเชิ้ตของตัวเองขึ้น เงื้อมือขึ้นหมายจะพุ่งเข้ามาตบหน้ายายหลิว
แต่เสี่ยวเหลียนที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วขยับตัวเข้าขวางไว้ทันที เธอปัดมือนั้นออกอย่างแรงจนหลี่เซียนเซถลาไปสองสามก้าว จนเกิดเสียงดังโครมคราม
"พอได้แล้ว" เสี่ยวเหลียนตวาดขึ้นเป็นครั้งแรก น้ำเสียงของเธอทั้งเย็นชาและเด็ดขาด "ที่นี่ไม่ใช่ตลาดสดที่จะมาสาดโคลนใส่ใครก็ได้ตามใจชอบ"
หลี่เซียนที่ถูกหลานสาวนอกไส้ผลักจนเกือบล้มถึงกับตกตะลึง มองเสี่ยวเหลียนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นี่ใช่เด็กสาวขี้ขลาดหัวอ่อนที่เคยเจอเมื่อหลายวันก่อนหรือเปล่า
สายตาคู่นั้น...ทำไมถึงได้แข็งกร้าวและไม่ยอมคน ราวกับเป็นคนละคน
เป็นจังหวะเดียวกับที่ย่าหลี่และหลี่เจียงที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายรีบวิ่งเข้ามาในห้องพอดี
"เกิดอะไรขึ้น ลูกสาม" ย่าหลี่ร้องเสียงหลงขึ้น เมื่อเห็นลูกสาวตัวเองอยู่ในสภาพตกเป็นรองดวงตาแดงก่ำ ดูก็รู้ว่าถูกขัดใจจนถึงที่สุดแล้ว พร้อมจะร้องไห้โวยวายได้ทุกเมื่อ
หลี่เซียนพอเห็นแม่กับพี่ชายมาก็รีบเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ถูกกระทำทันที วิ่งเข้าไปฟ้องเสียงสั่นเครือ
"แม่ พี่ใหญ่ ดูพวกนี้สิ ลูกเลี้ยงของพี่ทำร้ายฉัน ฉันอุตส่าห์เป็นห่วงมาเยี่ยมแท้ๆ แต่กลับด่าทอใส่ร้ายฉัน แถมยังลงไม้ลงมืออีก"
ย่าหลี่พอได้ฟังดังนั้นก็หน้าเขียวทันที ท่านหันมาจ้องหน้ายายหลิวและเสี่ยวเหลียนอย่างกินเลือดกินเนื้อ “จริงเหรอ แม่เสี่ยวเฟิน” ท่านหันไปถามลูกสะใภ้ใหญ่ที่เอาแต่เงียบ และทึกทักเอาเองว่าความเงียบเพียงชั่วอึดใจของลูกสะใภ้คือคำตอบ
"จะเหิมเกริมกันมากเกินไปแล้ว นี่มันบ้านของฉันนะ" จากนั้นก็พูดเสียงลอดไรฟันออกมาเบาๆ
สงครามระลอกใหม่กำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้ง แต่เสี่ยวเหลียนไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เธอมองหน้าศัตรูทีละคน
อาสามที่ขี้ขลาดและเห็นแก่ตัว ย่าหลี่ที่งมงายในอำนาจ พ่อเลี้ยงที่หูเบาและยึดมั่นในศักดิ์ศรีของผู้ชาย และแม่ของเธอที่ยืนตัวสั่นอยู่มุมห้อง
เธอลุกออกจากเตียง ขยับไปยืนเคียงข้างยายหลิวอย่างเงียบๆ เป็นการประกาศจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจน
‘เส้นแบ่งได้ถูกขีดขึ้นแล้ว’ เธอบอกกับตัวเองในใจ ‘มันคือการต่อสู้ระหว่างเราสองคน...กับพวกเขา’
“เฮอะ กล้าดีนี่ หลายวันก่อนยังหงอเป็นไก่อยู่แล้ว ที่ผ่านมาแค่เสแสร้งสิคะ” ย่าหลี่เห็นท่าทางเป็นศัตรูของจ้าวเสี่ยวเหลียนแล้วก็ปักใจเชื่อว่าลูกสาวพูดความจริง
เพราะความจริงแล้วท่านเองก็ไม่ได้ล่วงรู้ความคิดสกปรกของลูกสาวคนโปรดมาก่อน เลยทึกทักเอาเองว่าจ้าวเสี่ยวเหลียนอาจจะไม่พอใจอะไรสักอย่าง เลยคิดจะทำร้ายตัวเองประท้วง และโยนความผิดมาที่บ้านหลี่ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“เสแสร้งอย่างนั้นเหรอ ใครกันแน่ที่เสแสร้ง” เสี่ยวเหลียนจะทนให้คนอื่นด่ายายของเธอได้ยังไงกันล่ะ ทั้งที่รู้แก่ใจว่าใครกันแน่ที่เสแสร้ง
“แม่ดูเอาเถอะค่ะ นี่ขนาดต่อหน้าแม่กับพี่ใหญ่นะคะ” หลี่เซียนเห็นว่าโอกาสมาถึงแล้วก็รีบขยี้ทันที
“เสี่ยวเหลียน” หลิวซือได้ยินเสียงของลูกสาวก็เงยหน้า มุ่นคิ้วไม่พอใจทันที
ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง ก็แค่ก้มหน้าเงียบ ให้พวกเขาตำหนิ เหนื่อยแล้วก็หยุดไปเอง เลี่ยงการปะทะน้ำลายได้เป็นอย่างดี
“แกจะไปตำหนิลูกทำไม เสี่ยวเหลียนพูดถูกแล้ว ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่เสแสร้ง” ยายหลิวพูดเสียงเข้ม
หลี่เจียงเห็นท่าไม่ดี ต่อให้เขาจะกล้ามากแค่ไหน ก็ไม่บ้าบิ่นถึงขั้นเอาเรื่องแม่ยาย เลยได้แต่กลืนความไม่พอใจลงท้อง และถามออกไปอย่างใจเย็นว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากได้ฟังเรื่องราวย่าหลี่ถึงกับยืนไม่อยู่ ท่านไม่ได้ตกใจเรื่องที่จะจับจ้าวเสี่ยวเหลียนแต่งงานกับลูกชายคนเล็ก แต่ตกใจว่าคนอื่นรู้ได้ยังไงว่าลูกชายเป็นพวกชอบตัดแขนเสื้อ
ย่าหลี่เหมือนจะตั้งสติได้ เป็นตาร้ายดียังไง ท่านก็ไม่มีวันยอมรับว่าลูกชายเป็นพวกนั้น ทั้งยังไม่มีวันยอมให้ใครมาพูดถึงลูกชายที่อนาคตกำลังไปได้สวยในทางไม่ดีด้วย "แม่เสี่ยวเฟิง นี่คือวิธีที่คนบ้านหลิวตอบแทนพวกเราอย่างนั้นเหรอ มาอยู่แค่ไม่กี่วันก็ใส่ร้ายลูกชายฉัน หล่อนสั่งสอนลูกสาวให้ปฏิบัติกับผู้มีพระคุณแบบนี้เหรอ" ประโยคสุดท้ายท่านหันไปตวาดใส่ลูกสะใภ้ที่ยืนตัวลีบอยู่มุมห้องเพราะลูกชายแต่งงานกับลูกสะใภ้คนนี้มาตั้งแต่ที่หล่อนหนีซมซานมายังเมืองแห่งนี้ ในตอนแรกก็โกหกว่าเป็นหญิงสาวยังไม่แต่งงาน แต่เพราะอาบน้ำร้อนมาก่อนจึงมองออก ทำให้ต้องสารภาพว่าเคยแต่งงานทั้งยังมีลูกติด แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้หอบลูกมาเป็นภาระเพิ่มแต่เพราะลูกชายรักผู้หญิงคนนี้มาก ท่านเลยขัดไม่ได้ แต่นับตั้งแต่นั้นมา หลิวซือก็อยู่ในโอวาท ภายใต้ความกดขี่จากคนบ้านหลี่มาโดยตลอด อาศัยเพียงความรักของสามีที่มีให้กับถึงอยู่รอดได้ไปวันๆหลี่เจียงผู้เป็นเสาหลักของบ้านขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าคมคายที่คล้ำแดดจากการทำงานหนักในโรงงานเหล็กกล้าตอนนี้แดงก่ำไปด้วยความโกรธระคนอับอายเขาไม่ได้สนใจว่าใครถูกใครผิด สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงอย่างเดียวคือความส
"คุณ...คุณป้าพูดเรื่องอะไรคะ ฉันแค่เป็นห่วงอนาคตของเด็กที่กำพร้าพ่อคนหนึ่งก็เท่านั้น อย่าลืมสิคะว่าเด็กคนนี้พี่ชายฉันเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ ฉันเองก็รักเหมือนหลานสาวแท้ๆคนหนึ่ง"เธอไม่ได้มานั่งสนใจหรอกว่าพี่ชายจะสนใจไยดีลูกเลี้ยงของตัวเองหรือเปล่า เพราะถ้าจะพูดไปแล้ว เธอแต่งงานก่อนพี่ชายเสียด้วยซ้ำ “เลี้ยงงั้นเหรอ” ยายหลิวแสยะยิ้มแล้วพูดต่อว่า "ข้าวเม็ดไหนที่ที่เอามาป้อน ไม่ใช่ว่ามีแต่ยายแก่คนนี้เหรอที่หาเลี้ยงตัวคนเดียวมาตลอด" สายตาของท่านจ้องมองไปที่ลูกสาวเพียงคนเดียวที่เอาแต่เก่งกับคนในครอบครัว แต่กับคนอื่นกลับหงอเป็นไก่ หรือว่าแท้จริงแล้วท่านได้สูญเสียลูกสาวให้กับบ้านอื่นไปแล้ว“เป็นห่วงอย่างนั้นเหรอ” ยายหลิวหัวเราะในลำคอเสียงเย็น "ที่ชาวบ้านเขานินทากันมันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ มีคนสติดีที่ไหนเขาทำเรื่องผิดศีลธรรมแบบนี้กัน ให้หลานแต่งกับอาตัวเอง ไม่รู้สึกว่ามันน่าขยะแขยงสักนิดบ้างเหรอ""แล้วยังไงล่ะ มันไม่ผิดกฎหมายนี่คะ อีกอย่างเจ้าสี่ก็เป็นคนดี ในบรรดาพี่น้องเรา เขาหน้าที่การงานดีที่สุด เป็นถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีชามข้าวเหล็กในมือ ต่อไปยังไงก็ไม่มีทางลำบากมีแต่จะก้าวหน้า" หลี่เซียนเถ
จ้าวเสี่ยวเหลียนที่นั่งเงียบอยู่นานก็กระแอมขึ้นมา เป็นการตัดบทสนทนาที่น่าอึดอัดนั้น และแล้วก็ได้ผล เพราะยายหลิวหันกลับมามองหลานสาวที่เป็นดั่งไข่มุกในอุ้งมือของท่าน "กินข้าวก่อนเถอะเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง" ยายหลิวถอนหายใจ สุดท้ายท่านก็ยอมใจอ่อนอีกจนได้หลิวซือได้แต่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย พร้อมทั้งนั่งป้อนข้าวลูกสาวที่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่แรงจะเชือดไก่ ใบหน้าซีดเซียวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าลูกสาวจมน้ำ แต่คนว่ายน้ำเก่งระดับจังหวัดจะจมน้ำได้ยังไง นกเสียจากว่าลูกสาวจะตั้งใจแล้วเหตุผลอะไรล่ะถึงทำให้ต้องคิดสั้นแบบนั้น แต่พอนึกย้อนไปถึงเรื่องที่ตนสันนิษฐานและเกริ่นไปตั้งแต่ตอนแรกก็แอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เพราะหากเป็นเรื่องจริง ตนคงจะเสียใจมากที่ไม่ได้พูดกับลูกสาวใช้ชัดเจน เพราะต่อให้จะหัวอ่อนและอ่อนแอกับบ้านสามีมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางยอมให้ลูกสาวแต่งงานกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาอย่างแน่นอน แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดก็เถอะบรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงซดข้าวต้มเบาๆ ของเสี่ยวเหลียนเท่านั้น เธอรู้ดีว่านี่เป็นเพียงความสงบก่อนพายุลูกใหญ่จะมาถึง และเธอก็ไม่ต้องรอนานเสียงฝีเท
หลิวซือและหลี่เจียงเดินออกจากห้องไปแล้ว ทิ้งให้ภายในห้องเล็กที่มีเพียงเตียงไม้กับโต๊ะเก่าๆอีกหนึ่งตัว ไม่มีแม้กระทั่งตู้เสื้อผ้า เพราะภายในห้องมีเสื้อผ้าตากเอาไว้บนเชือกที่ขึงในมุมหนึ่งของห้องเท่านั้น ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่ความเงียบที่ว่างเปล่า เพราะยังมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในห้องนี้หญิงชราผมดำเงานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตรงมุมห้อง ท่านมองมายังหลานสาวด้วยแววตาที่ซับซ้อนยากจะคาดเดา เต็มไปด้วยความเสียใจ ความผิดหวัง แต่ลึกลงไปในนั้น กลับสัมผัสได้ถึงความรักและความห่วงใย"ยาย" เสี่ยวเหลียนเรียกเสียงแผ่ว ในความทรงจำที่ผุดขึ้นมานั้น บอกกับเธอว่าเจ้าของร่างรักยายมากแค่ไหนยายหลิวถอนหายใจยาว เสียงถอนหายใจนั้นราวกับแบกรับความทุกข์มาทั้งชีวิต "อุทกภัยมันพรากบ้าน พรากที่ดินของเราไป แต่ยายไม่เคยคิดเลยว่ามันจะพรากเอาสติปัญญาของหลานไปด้วย การศึกษาคือหนทางเดียวที่จะทำให้คนอย่างเราได้ลืมตาอ้าปาก แต่การตาย...มันไม่ใช่ทางออกเลยสักนิดเดียว ไหนลองพูดมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น"น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากหางตาของเธอโดยไม่รู้ตัว มันไม่ใช่ความเศร้าของเธอเอง แต่เป็นความรู้สึกผิดที่ตกค้างอยู่ใน
ความเย็นยะเยือกคือสัมผัสแรก ปลุกเร้าสติที่กำลังจะเลือนหายของจ้าวเสี่ยวเหลียน ให้แทรกซึมผ่านเสื้อที่ทำจากฝ้ายเนื้อบางเข้าสู่ทุกอณูของร่างกาย ปอดของหญิงสาวแสบร้อนจากการสำลักน้ำเข้าไปจนเต็ม เธอพยายามจะกรีดร้อง แต่สิ่งที่ไหลทะลักเข้าไปในลำคอมีเพียงมวลน้ำอันเย็นเฉียบและขุ่นคลั่กของคลองส่งน้ำท้ายหมู่บ้านในห้วงสุดท้ายของสติสัมปชัญญะ ภาพความทรงจำสุดท้ายของเจ้าของร่างเดิมฉายชัดขึ้นมา ใบหน้าที่บ่งบอกว่าผิดหวังของแม่ แววตาตำหนิติเตียนของพ่อเลี้ยง และคำพูดเฉือดเฉือนของอาสามที่บังคับให้หญิงสาวต้องทิ้งความฝันเรื่องการเรียนต่อเพื่อแต่งงานกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาความสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่จิตใจที่บอบช้ำของหญิงสาววัย 15 ปีและแล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง“พ่อหนุ่ม นะ นั่นกำลังจะทำอะไร” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยถามตะกุกตะกัก ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับที่ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ และพ่อหนุ่มที่ท่านพูดด้วยอยู่ในตอนนี้นั้น ก็คือคนเดียวกับที่สวมบทบาท วีรบุรุษช่วยสาวงาม ทันทีที่เห็นว่าคนถูกช่วยเป็นใคร ก็สวมบทบาทนักวิ่งระดับชาติ วิ่งมายังบ้านสองชั้นกลางเก่ากลางใหม่ ถ้าเทียบแล้วก็ถือว่ามีฐานะระดับหนึ่งในเมืองนี้เนื่องจา
1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง“ปีนี้เสี่ยวเหลียนก็อายุย่าง 16 ปีแล้วสินะคะ” เสียงแหลมของอาสาม หลี่เซียน ซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อเลี้ยงเอ่ยขึ้น ทำเอาทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นงงไปตามๆ กันจ้าวเสี่ยวเหลียน เด็กสาวอายุ 15 ปี อาศัยอยู่กับยายที่ชนบท แต่เพราะหมู่บ้านทางน้ำของพวกเธอถูกอุทกภัยพัดหายไปกับสายน้ำ หลิวซือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ ผู้หญิงที่อายุเพิ่งเข้าเลขสาม ทว่ายังคงความสวยตามแบบฉบับของผู้เป็นแม่ ซึ่งก็คือ ยายหลิว เจ้าของผมสีดำขลำแม้ว่าอายุจะล่วงเลยเข้าสู่เลขห้าแล้วก็ตาม ท่านเป็นคนเลี้ยงเสี่ยวเหลียนมาตั้งแต่แบเบาะ ถ้าจะพูดให้ถูกคือตั้งแต่คลอดออกมาเสียด้วยซ้ำ ทันทีที่ทราบข่าวก็รีบบอกให้ทั้งสองคนเร่งเดินทางมาอยู่กับตนและครอบครัวใหม่ยังอีกมณฑลหนึ่งโชคดีที่อยู่ในช่วงปิดภาคเรียนการศึกษา อีกทั้งจ้าวเสี่ยวเหลียนก็เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมต้น จากโรงเรียนมัธยมระดับ 17เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ที่ย้ายมาอยู่กับผู้เป็นแม่ และถือว่าเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นหน้าตาของคนในครอบครัวใหม่ที่แม่มอบให้ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่อยากได้เลยก็ตาม“ใช่แล้วล