หมู่บ้านแสงอรุณกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง แต่ความเงียบสงบในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ มันคือความสงบที่มาพร้อมกับความตึงเครียดและความเตรียมพร้อม ชาวบ้านช่วยกันพาไดชิ ดาอิ และไคลด์ไปที่วิหารเก่า ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่รักษาพยาบาลชั่วคราว
บาดแผลและการเยียวยา ไคลด์มีอาการหนักที่สุด พิษจากศรของชนเผ่าแห่งเงาได้เริ่มซึมซาบเข้าสู่กระแสเลือดของเขา แม้ร่างกายจะแข็งแกร่งดุจหินผา แต่พิษร้ายก็ทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก "นี่มันพิษจาก พฤกษามรณะ" ปู่เฒ่าดาฟกล่าวขณะที่กำลังทำความสะอาดบาดแผลอย่างระมัดระวัง "ชนเผ่าแห่งเงาใช้สารนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณเพื่อทำให้เหยื่ออ่อนแรง...แต่ดีที่เจ้าเป็นบุตรแห่งทะเล ร่างกายจึงต้านทานได้ดีกว่าคนอื่น" ดาอิที่เฝ้าดูอาการของไคลด์อยู่ไม่ห่างรู้สึกผิดที่เธอไม่สามารถปกป้องเขาได้ เธอจึงตัดสินใจใช้พลังอาคมของตนเองเข้าช่วยในการรักษา ไดชิที่ถูกชนเผ่าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่แขนและขา ก็พยุงตัวเองมานั่งข้าง ๆ น้องสาว "ดาอิ...บาดแผลของนาย" ไดชิกล่าวด้วยความเป็นห่วง "ฉันไม่เป็นไรหรอกพี่ไดชิ" ดาอิส่ายหน้า เธอจ้องมองไปที่บาดแผลของไคลด์อย่างตั้งใจ ก่อนจะหลับตาลงเพื่อรวบรวมพลังอาคมจาก ผ้ายันต์แห่งการสร้างสรรค์ และ ผ้ายันต์แห่งความหวัง พลังงานสีเขียวนวลที่อบอุ่นค่อย ๆ แผ่ออกมาจากฝ่ามือของเธอ "ฉันจะลองใช้ วิชาอ้อมกอดแห่งพฤกษา ดูนะคะ" ดาอิกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง "วิชานี้ไม่ได้เน้นแค่การสมานแผลภายนอก แต่เป็นการฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกพิษทำลายจากภายใน" เธอวางมือลงบนบาดแผลของไคลด์ แสงสีเขียวนวลที่อ่อนโยนก็ส่องประกายออกมาจากบาดแผล ไคลด์ที่เคยมีสีหน้าเจ็บปวดก็ดูผ่อนคลายลงทันที พิษร้ายค่อย ๆ ถูกดูดซับออกไปจากร่างกายของเขาอย่างช้า ๆ "เยี่ยมมาก ดาอิ" ปู่เฒ่าดาฟกล่าวด้วยความชื่นชม "พลังของผ้ายันต์แห่งความหวังในตัวเจ้าแข็งแกร่งขึ้นมากจริง ๆ" หลังจากผ่านไปเกือบทั้งคืน ทั้งสามคนก็สามารถฟื้นตัวได้ในระดับที่น่าพอใจ ไคลด์เป็นคนแรกที่ตื่นขึ้นมา เขาลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น "บาดแผลของเจ้าหายเกือบหมดแล้ว" ปู่เฒ่าดาฟกล่าว "แม้แต่พิษก็ถูกขับออกจากร่างกายไปแล้ว ต้องขอบใจแม่หนูดาอิของพวกเรา" ไคลด์หันไปมองดาอิด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม จากที่เคยเย็นชากลับกลายเป็นความเคารพ "ขอบคุณ...น้องสาว ข้าไม่เคยพบพลังฟื้นฟูที่บริสุทธิ์และรวดเร็วขนาดนี้มาก่อน" การฝึกฝนวิชาใหม่ เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว สองพี่น้องก็เริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการยกระดับทักษะของตนเอง การเผชิญหน้ากับชนเผ่าแห่งเงาทำให้พวกเขาเห็นจุดอ่อนอย่างชัดเจน ดาอิ: ผู้บุกเบิกวิชาเยียวยา ดาอิใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงกลางวันศึกษาการแพทย์พื้นบ้านของชาวบ้านควบคู่ไปกับการฝึกฝนวิชา อ้อมกอดแห่งพฤกษา * ดาอิ: "วิชาเยียวยาของฉันยังช้าเกินไปในการต่อสู้จริง ถ้าเกิดพี่ไดชิถูกทำร้ายหนักกว่านี้ระหว่างการต่อสู้ ฉันอาจจะช่วยไม่ทัน" * ไคลด์: (นั่งลับศรอยู่ข้าง ๆ) "การรักษาพยาบาลต้องมาพร้อมกับความรวดเร็วและแม่นยำ เจ้าต้องผนึกพลังอาคมไว้ที่ปลายนิ้วทุกเวลา ให้พร้อมที่จะปล่อยพลังออกมาโดยไม่ต้องร่ายคาถา...เหมือนกับการยิงศรของข้า" * ดาอิพยักหน้า เธอเริ่มฝึกรวบรวมพลังงานอาคมบริสุทธิ์ไว้ที่มือ และปล่อยมันออกมาในรูปของแสงรักษาที่มีความเร็วสูงราวกับการยิงกระสุน การฝึกฝนนี้ทำให้เธอเข้าใจว่าพลังแห่งการสร้างสรรค์สามารถใช้ได้ทั้งการรักษาและการสนับสนุนในการต่อสู้ ไดชิ: ผู้สร้างการป้องกันแบบจู่โจม ไดชิรู้สึกว่าบาเรียของเขานั้นแข็งแกร่งก็จริง แต่กลับไร้ประโยชน์เมื่อต้องเผชิญกับอาวุธที่สามารถทะลุผ่านอาคมได้ เขาจึงพยายามรวมเอา ผ้ายันต์แห่งความกล้าหาญ และ ผ้ายันต์แห่งความรู้ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างการป้องกันที่มีความยืดหยุ่นและตอบโต้ได้ * ไดชิ: "บาเรียที่อยู่นิ่ง ๆ จะถูกทำลายได้ง่าย ฉันต้องการบาเรียที่เคลื่อนไหวได้ราวกับสายน้ำ และสามารถโจมตีกลับไปได้ในทันที" * ไคลด์: "เจ้าพูดถึง อาคมไหล งั้นหรือ...วิชาโบราณที่แทบไม่มีใครทำได้" * ไดชิ: "ใช่! ฉันจะให้มันชื่อว่า บาเรียไหลแห่งความกล้า มันจะสร้างสนามพลังที่เคลื่อนไหวตามฉันตลอดเวลา ถ้าศัตรูโจมตีมา บาเรียก็จะรับและสะท้อนพลังงานส่วนหนึ่งกลับไปพร้อม ๆ กัน!" ไดชิเริ่มฝึกควบคุมบาเรียให้ไม่แข็งตัว แต่ไหลไปตามร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง การฝึกฝนนั้นทรมานมาก บางครั้งพลังอาคมก็หลุดควบคุมและทำร้ายตัวเขาเอง แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งในที่สุด เขาก็สามารถสร้างบาเรียบาง ๆ ที่สามารถเปลี่ยนรูปทรงและเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระรอบตัวเขา พิธีสืบทอดตำแหน่ง หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน ไคลด์ก็ฟื้นตัวเต็มที่ และการฝึกฝนของไดชิและดาอิก็บรรลุผลในระดับหนึ่ง เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำพิธีสืบทอดตำแหน่งผู้พิทักษ์เกาะแสงอรุณ ในช่วงเย็น ชาวบ้านทุกคนมารวมตัวกันที่ จุดบรรจบศักดิ์สิทธิ์ ริมทะเลสาบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาทั้งสามได้ทำลายจอมเวทแห่งเงามืดลง ปู่เฒ่าดาฟยืนอยู่ตรงกลาง พร้อมกับ ผ้ายันต์ทั้งห้าผืน ที่ส่องแสงประกายอยู่บนแท่นศิลา "ไคลด์...บุตรแห่งท้องทะเลและผู้สืบทอดแห่งแสงอรุณ" ปู่เฒ่าดาฟกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวาน "เจ้าได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่าเจ้ามีจิตวิญญาณแห่งการปกป้องที่แท้จริง ไม่ว่าจะถูกพิษร้ายหรือคลื่นยักษ์ เจ้าก็ยังคงยืนหยัดเพื่อความสงบสุขของเกาะนี้" ไคลด์คุกเข่าลงต่อหน้าแท่นศิลา ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมแต่แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น "ข้าขอสาบานต่อเทพธิดาแห่งธรรมชาติ" ไคลด์กล่าวเสียงดังฟังชัด "ข้าจะใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องเกาะแสงอรุณและรักษาสมดุลของผ้ายันต์ทั้งห้าผืน ข้าจะยอมเป็นทั้งความมืดและความสว่าง เป็นผู้เฝ้าดูและผู้จู่โจม เพื่อให้เกาะนี้กลับมาสงบสุขอย่างแท้จริง" ปู่เฒ่าดาฟหันไปทางไดชิและดาอิ "และสำหรับพวกเจ้า...ไดชิและดาอิ ผู้กอบกู้ของเรา พวกเจ้าได้ทำภารกิจสำเร็จแล้ว แต่เส้นทางของพวกเจ้าไม่ได้จบลงที่นี่" ปู่เฒ่าเดินไปหยิบผ้ายันต์แห่งการทำลายล้างและผ้ายันต์แห่งความกล้าหาญออกมา และยื่นให้ไดชิ ส่วนผ้ายันต์แห่งความรู้และความหวังถูกมอบให้ดาอิ "ไคลด์จะรับผ้ายันต์เพียงผืนเดียว นั่นคือ ผ้ายันต์แห่งการสร้างสรรค์ เพราะผู้พิทักษ์ต้องเน้นการสร้างและฟื้นฟู" ปู่เฒ่าดาฟอธิบาย "ส่วนผ้ายันต์ที่เหลือจะอยู่กับพวกเจ้า เพื่อเป็น ทูตแห่งอาคม ที่จะนำพลังของเกาะแสงอรุณออกไปสู่โลกภายนอก" ไคลด์ลุกขึ้นยืน เขาเดินไปหยิบผ้ายันต์แห่งการสร้างสรรค์ (ผ้ายันต์ผืนสุดท้าย) ที่อยู่บนแท่นศิลา ทันใดนั้น ผ้ายันต์ทั้งห้าผืนที่ถูกแบ่งแยกก็ส่องแสงสว่างจ้า พลังงานอาคมทั้งหมดพุ่งเข้าสู่ร่างกายของไคลด์ ลำตัวของเขาถูกปกคลุมด้วยแสงสีฟ้าอมเขียวที่สว่างไสว รอยสักของเขาเรืองแสงเป็นสีขาวบริสุทธิ์ รอบตัวเขาก่อตัวเป็นคลื่นน้ำขนาดย่อมที่หมุนวนอย่างรวดเร็ว "ข้าคือ ไคลด์ ผู้พิทักษ์แห่งเกาะแสงอรุณ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลังราวกับเสียงคลื่นยักษ์ "ข้าขอรับภารกิจนี้ไว้!" พิธีเสร็จสิ้นลงด้วยความงดงามและน่าเกรงขาม ไคลด์ในฐานะผู้พิทักษ์คนใหม่ หันมามองไดชิและดาอิด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ "ตอนนี้เกาะนี้ปลอดภัยแล้ว" ไคลด์กล่าว "แต่ภารกิจของพวกเจ้าในฐานะ ทูตแห่งอาคม...กำลังจะเริ่มต้นขึ้น"หลังจากทำข้อตกลงกับหัวหน้าเผ่าสึนะ ไคลด์ ไดชิ และดาอิ ก็เริ่มต้นภารกิจที่อันตรายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเผชิญมา การเดินทางสู่ แหล่งพลังอาคมแห่งเงาที่แท้จริง ซึ่งซ่อนอยู่ลึกใต้เกาะแสงอรุณ มีเพียงไคลด์เท่านั้นที่รู้ทางเข้า ซึ่งต้องเดินทางผ่านทางน้ำใต้ดินที่ซับซ้อน"พวกเราทุกคนต้องรู้ว่าความมืดมิดที่พวกเจ้าเคยทำลายไปนั้น...เป็นแค่ เปลือกนอก ของพลังงานทั้งหมด" ไคลด์กล่าวขณะนำทางพวกเขาไปยังปากถ้ำที่ถูกซ่อนไว้ใต้รากต้นไม้ใหญ่ริมทะเลสาบ "พลังเงาที่แท้จริงไม่ได้มีไว้เพื่อทำลายล้าง แต่มีไว้เพื่อ รักษาสมดุลของผืนดิน เมื่อหลายศตวรรษก่อน ผู้พิทักษ์รุ่นก่อนได้ผนึกมันไว้ไม่ให้ถูกผู้ใดครอบครอง"ปากทางสู่ความมืดปากถ้ำนั้นแคบและมืดมิด มีเพียงแสงจากตะเกียงอาคมที่ดาอิสร้างขึ้นเท่านั้นที่ช่วยให้พวกเขามองเห็นได้ ไคลด์ลงไปในน้ำก่อน ตามมาด้วยไดชิและดาอิ พวกเขาต้องว่ายน้ำตามกระแสน้ำใต้ดินที่เย็นเฉียบและมืดสนิทไปนานหลายนาทีเมื่อกระแสน้ำสงบลง พวกเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ใน อุโมงค์หินขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำค้างและเสียงสะท้อนที่น่าขนลุก พื้นผิวของผนังถ้ำเต็มไปด้วย คริสตัลเงาสีดำ ที่ส่องแสงสลัว ๆ บ่งบอกถึงความหน
หลังจากที่พิธีสืบทอดตำแหน่งเสร็จสิ้น ไคลด์ก็กลายเป็นผู้พิทักษ์แห่งเกาะแสงอรุณอย่างเป็นทางการ แต่ภัยคุกคามจากชนเผ่าแห่งเงาก็ยังคงเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ไดชิ ดาอิ และไคลด์ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การเจรจาคือหนทางเดียวที่จะนำความสงบสุขที่แท้จริงมาสู่เกาะนี้พวกเขาตัดสินใจเดินทางไปยัง ป่าสนทมิฬ อีกครั้ง สถานที่ที่พวกเขาเคยถูกซุ่มโจมตี โดยมี ปู่เฒ่าดาฟ ร่วมเดินทางไปด้วยในฐานะตัวแทนของชาวเกาะ"การเจรจานี้อันตรายยิ่งกว่าการต่อสู้กับปีศาจ" ปู่เฒ่าดาฟกล่าวขณะเดินนำ "ความบาดหมางระหว่างเรากับชนเผ่าแห่งเงาฝังรากลึกมาตั้งแต่สมัย จอมเวทแห่งเงามืด ยังเป็นมนุษย์""ท่านปู่ ช่วยเล่าเรื่องราวความบาดหมางนั้นให้พวกเราฟังได้ไหมครับ" ไดชิถาม"ได้สิ..." ปู่เฒ่าดาฟเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย "ในอดีต จอมเวทที่ทรยศนั้นเคยเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเวทที่แข็งแกร่งที่สุดบนเกาะ แต่เขามองว่าชาวเกาะธรรมดาและชนเผ่าแห่งเงาที่อาศัยอยู่ในป่าลึกเป็นเพียง เครื่องมือ และ พลังงาน ที่ไร้ค่า เขาต้องการให้ทุกคนกราบไหว้บูชาเขาเพียงผู้เดียว""แล้วชนเผ่าแห่งเงาเกี่ยวข้องอย่างไรคะ" ดาอิถาม"ชนเผ่าเหล่านั้นเป็นกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่
หมู่บ้านแสงอรุณกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง แต่ความเงียบสงบในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ มันคือความสงบที่มาพร้อมกับความตึงเครียดและความเตรียมพร้อม ชาวบ้านช่วยกันพาไดชิ ดาอิ และไคลด์ไปที่วิหารเก่า ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่รักษาพยาบาลชั่วคราวบาดแผลและการเยียวยาไคลด์มีอาการหนักที่สุด พิษจากศรของชนเผ่าแห่งเงาได้เริ่มซึมซาบเข้าสู่กระแสเลือดของเขา แม้ร่างกายจะแข็งแกร่งดุจหินผา แต่พิษร้ายก็ทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก"นี่มันพิษจาก พฤกษามรณะ" ปู่เฒ่าดาฟกล่าวขณะที่กำลังทำความสะอาดบาดแผลอย่างระมัดระวัง "ชนเผ่าแห่งเงาใช้สารนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณเพื่อทำให้เหยื่ออ่อนแรง...แต่ดีที่เจ้าเป็นบุตรแห่งทะเล ร่างกายจึงต้านทานได้ดีกว่าคนอื่น"ดาอิที่เฝ้าดูอาการของไคลด์อยู่ไม่ห่างรู้สึกผิดที่เธอไม่สามารถปกป้องเขาได้ เธอจึงตัดสินใจใช้พลังอาคมของตนเองเข้าช่วยในการรักษา ไดชิที่ถูกชนเผ่าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่แขนและขา ก็พยุงตัวเองมานั่งข้าง ๆ น้องสาว"ดาอิ...บาดแผลของนาย" ไดชิกล่าวด้วยความเป็นห่วง"ฉันไม่เป็นไรหรอกพี่ไดชิ" ดาอิส่ายหน้า เธอจ้องมองไปที่บาดแผลของไคลด์อย่างตั้งใจ ก่อนจะหลับตาลงเพื่
การเดินทางกลับหมู่บ้านเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับ ไคลด์ ผู้พิทักษ์แห่งท้องทะเล ชายหนุ่มลึกลับคนนี้ยังคงเดินนำหน้าอย่างเงียบ ๆ ร่างกายของเขาสง่างามและเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ราวกับว่าเขาไม่ได้เดินอยู่บนพื้นดิน แต่กำลังล่องลอยไปตามกระแสลม ไดชิและดาอิเดินตามหลังเขาไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยความตื่นเต้นและกังวลใจ"ไคลด์..." ไดชิเริ่มต้นบทสนทนาหลังจากที่เดินทางมาได้พักใหญ่ "นายช่วยบอกเราได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทะเลเมื่อวานนี้ คลื่นนั่นมันไม่ใช่คลื่นธรรมชาติใช่ไหม"ไคลด์ไม่หยุดเดิน แต่ตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยแต่แฝงด้วยความหนักแน่น "คลื่นนั้นคือ การปฏิเสธของจิตวิญญาณแห่งทะเล พวกมันไม่ยอมรับผู้ที่ไม่ได้มาจากท้องทะเลให้เข้าใกล้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อเห็นว่าพวกเจ้าไม่ยอมแพ้...พวกมันจึงอนุญาตให้ข้าช่วยนำทางพวกเจ้ากลับมา""แล้วศรเพลิงที่ช่วยเราจากอสูรหินล่ะ" ดาอิถามอย่างกระตือรือร้น "นั่นเป็นของนายใช่ไหม"ไคลด์หันมามองพวกเขาเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำทะเลนั้นสบตาไดชิและดาอิอย่างช้า ๆ "ศรนั่นทำจาก ไม้แห่งภูเขาไฟ ที่ไม่ไหม้ไฟ และอาบด้วยพิษแห่งความมืดที่สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากพลังตกค้างได้...นั่นคือสิ่งที
หลังจากที่เรือกลับถึงฝั่งอย่างปลอดภัย ไดชิและดาอิรีบวิ่งขึ้นจากหาดทรายทันที หัวใจของพวกเขายังเต้นรัวจากความตื่นเต้นและความฉงนสนเท่ห์ที่ได้เห็นชายหนุ่มลึกลับคนนั้น ชายที่สามารถควบคุมพลังของทะเลและซ่อมแซมเรือได้ในพริบตา"เขา...เขาต้องเป็นผู้พิทักษ์คนต่อไปที่เราตามหาแน่ ๆ!" ดาอิกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดขีด"ใช่" ไดชิพยักหน้าอย่างเห็นด้วย "แต่เขาไม่ได้อยากให้เราเจอเลย และการที่เขาพาเรือเรากลับเข้าฝั่งอย่างรวดเร็วขนาดนี้ หมายความว่าเขาอาจจะมุ่งหน้าสู่ใจกลางเกาะแล้ว"สองพี่น้องตัดสินใจเริ่มต้นการตามล่าทันที โดยมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่พวกเขาเชื่อว่าจะเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดสู่ถ้ำของปู่เฒ่าดาฟและหมู่บ้าน ซึ่งพวกเขาเดาว่าชายหนุ่มคนนั้นน่าจะไปที่นั่นก่อนเพื่อพบกับผู้อาวุโสอุปสรรคแรก: ลานหินอัปลักษณ์พวกเขาต้องผ่าน ลานหินอัปลักษณ์ ที่เต็มไปด้วยก้อนหินแหลมคมและเศษซากของต้นไม้ที่ตายแล้ว ซึ่งเคยเป็นอาณาเขตของปีศาจหินก่อนที่เกาะจะฟื้นฟู พวกเขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะพื้นผิวที่ลื่นและไม่มั่นคง"ดาอิ ระวังให้ดี" ไดชิเตือนขณะที่ใช้มือจับดาบอาคม "พลังงานมืดที่นี่จางหายไปแล้ว แต่พลังอาคมของธาตุหิน
หลังจากผ่านบททดสอบที่โหดร้ายทั้งสองครั้ง ไดชิและดาอิก็เข้าใจแล้วว่าการค้นหาผู้พิทักษ์ที่แท้จริงไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่เป็นการ ทดสอบปัญญาและจิตวิญญาณ ของผู้ถูกเลือก ไดชิและดาอิใช้เวลาในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนที่สามในการฝึกฝนร่างกายและจิตใจอย่างหนักหน่วง พวกเขาตระหนักว่าอาคมของพวกเขาจำเป็นต้องผสานเข้ากับธรรมชาติอย่างแท้จริงตามคำแนะนำของปู่เฒ่าดาฟและรูฟ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านทะเลของเกาะ พวกเขาจึงตัดสินใจพาเรือเล็กออกไปฝึกฝนกลางมหาสมุทร"ท่านปู่บอกว่าพลังที่แท้จริงของเกาะแสงอรุณไม่ได้อยู่บนพื้นดินเท่านั้น แต่อยู่ใน ท้องทะเลที่ลึกที่สุด ด้วย" ดาอิกล่าว ขณะที่เธอกำลังตรวจสอบผืนผ้าใบเรือที่ถูกเย็บอย่างแข็งแรง"ใช่" ไดชิกล่าวพร้อมกับดึงเชือกใบเรือให้ตึง ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยเหงื่อ "ที่นี่คือสถานที่ที่ไม่มีกำแพงและไม่มีภาพลวงตา มีเพียงพลังงานบริสุทธิ์ของคลื่นและลมเท่านั้น"พวกเขาแล่นเรือออกไปไกลจากชายฝั่งหลายชั่วโมงจนมองไม่เห็นเกาะแล้ว มีเพียงผืนน้ำสีครามที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ไดชิปิดตาลง พยายามใช้จิตสัมผัสถึงพลังอาคมที่แผ่กระจายอยู่ใต้น้ำ ในขณะที่ดาอิฝึกร่ายคาถาควบคุมสายลม เพื่อให้เรือ